ต่อจาก PART 1 :
http://pantip.com/topic/34480813
วันที่สอง : อุทยานแห่งชาติแม่วงก์-น้ำตกคลองลาน-ตลาดนครชุม

อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ : ยากันยุง ป้องกันตัวคุ่นกัด (ที่หน้าตาเหมือนแมลงหวี่ดูดเลือด พบมากที่ช่องเย็น ช่วงสาย และ บ่าย)
ฝนตกหนักตลอดตั้งแต่ตี 3 ตกมาตลอดทางจน 10 โมงเช้า ด้วยความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สองสาวก็ประนมมืออธิษฐาน

ขอให้ฝนหยุดตกตอนไปถึงช่องเย็น เพื่อที่จะได้เห็นหมอกฝนเป็นบุญตา

และปาฏิหาริย์ก็มีจริง พอถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ฝนก็หยุดตกทันใด >_< สุดยอดไปเลยค่า

ถึงทางเข้าอุทยานแล้ว แวะลงทะเบียนที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อน ในศูนย์บริการก็มีโมโกจูจิ๋วให้ถ่ายรูปด้วยนะ

ลงทะเบียนแล้วเดินทางต่อกันเลย ..
จขกท ขับเอง ไม่ชันค่ะใส่เกียร์ D เกียร์เดียวไปโลด ^_^ ระหว่างทางอากาศดีมากปิดแอร์เปิดกระจกสูดกลิ่นธรรมชาติให้เต็มปอด
ระหว่างทางขอแวะจุดชมวิวกิ่วกระทิงก่อน เห็นหมอกตามคาด สวยงาม
ขับต่อไปอีกไม่ไกลถึงขุนน้ำเย็น จุดชมวิวอีกจุดหนึ่ง จอดรถไว้ด้านล่างและเดินเท้าขึ้นมาตามทางลูกรังอีกประมาณ 50 เมตร
เดินทางสู่ ช่องเย็น ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี
เวลาเกือบเที่ยง อุณหภูมิกำลังดี ประมาณ 21 องศา มีน้ำค้างเยอะ ค่อนข้างชื้น เลยต้องใส่หมวกใส่เสื้อแขนยาว

มีดอกบัวตองเป็นพุ่มๆ ให้เห็นตลอดทาง

วิวเกาหลี ก็มา
มีนักท่องเที่ยวนั่งส่องนกกันอยู่ด้วยหละ จขกท ก็ไม่มีอุปกรณ์หรอกนะ ก็เดินเข้าไปคุยกับพี่ๆเค้าเลย
พี่เค้าก็ใจดีให้เรายืมกล้องส่องด้วย เห็นนกมากินผลไม้บนยอดไม้ใกล้ๆ อะหือ ธรรมชาติสุดๆ
แล้วก็สังเกตว่ามีเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วยหละ ระยะทาง 1.5 กม. จขกท ก็ตัดสินใจลุยเข้าไปพร้อมรองเท้าคัชชู (เตรียมตัวมาดี๊ดี แหม่)

เด็กหญิงนุ่น .. ตากล้องที่น่ารัก ของ จขกท

ทางเปียกมากจ้า ได้ยินเสียงนกคุยกันหลายชนิดเลย พอหยุดยืนซึมซับธรรมชาติอยู่นิ่งๆ ก็มี “ตัวคุ่น” มาทักทาย
อุตส่าห์มาเยือนตอนเที่ยงแล้วนะ ยังจะออกมาเจออีก แต่ที่ระทึกกว่าตัวคุ่นคือ จขกท ได้ยินเสียงเหมือน สุนัขขู่ ถึง 2 ครั้ง ..
มั่นใจว่า ไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เลยบอกเพื่อนสาวที่ยืนส่องนกอยู่ว่า ออกกันเถ๊อะ เจ้าถิ่นมาเตือนละ ..
พวกเราเลยขอบ๊ายบายเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เพราะไม่ได้ศึกษาวิธีการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาก่อน
เดินออกมาก็เล่าสู่กันฟังกับนักท่องเที่ยวที่คุยกันก่อนหน้านี้ พี่เขาบอกเมื่อคืนเห็น หมาไม้ ด้วย อาจจะใช่ก็ได้นะ ..
แต่หมาไม้หน้าตาเป็นยังไงกันนะ? ตาม Link ไปเลย เผื่อท่านผู้อ่านได้มีโอกาสไปพบปะพวกเค้า (เอาจริงๆไม่รู้ว่ามันร้องยังไงด้วยซ้ำ)
http://www.tistr.or.th/sakaerat/Flora_Fauna/MAMMALS/mammals1/mam022.pdf
ที่ช่องเย็นจะมีป้าย “จุดชมวิว ภูสวรรค์” บอกระยะทาง 300 เมตร เลยตัดสินใจลุยเข้าไป
พบเส้นทางเป็นทางชัน (มาก) ต้นทางยังเป็นขั้นบันได แต่ลึกเข้าไปเป็นการปีนหิน

จนมาถึงจุดที่สองข้างทางเป็นหน้าผาแบบไร้ที่กั้น เลยตัดสินใจหยุดที่จุดนี้
ยังเห็นภาพร่องภูเขาสลับไปมากับหมอกฝนที่ยังไม่หายไป ณ เวลาเกือบบ่าย เลยขอชักภาพเป็นที่ระทึก
ลงมาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานก็จะมีครัวประกอบอาหาร
เราจึงเลือกทานอาหารเที่ยงที่นั่น และออกเดินทางสู่น้ำตกคลองลาน

ถึงแล้วจ้า จุด Check-in ที่สองของวันนี้ น้ำตกคลองลาน ออกมาโชว์ตัวกันตั้งแต่เห็นป้ายเลย
สวยงามมากจริงๆ น้ำใสไหลเย็น แต่ไม่เห็นปลา ฮ่าๆ นั่งพักสูดความชื้นและกลิ่นไอธรรมชาติกันไปอีก
ธรรมชาติยังดีมาก เจอผีเสื้อมาทักทายด้วยนะ
หลังจากอิ่มกับธรรมชาติมาตลอดทั้งวัน เราก็เดินทางกลับที่พัก นอนชาร์จพลัง และออกเดินทางมาฝั่งนครชุมอีกครั้ง
เพื่อตามหา สุภาพผัดไท เจ้าดังกระแทกท้อง

ร้านอยู่บริเวณตลาดย้อนยุคนครชุม ตรงข้ามร้านข้าวต้มสู้ชีวิต มีคุณป้ายืนผัดผัดไทในกะทะใหญ่ กลิ่นนี่อย่างหอมเลยจ้า ไม่กินไม่ได้แล้ว

ทำไมต้องผัดไทที่นี่? เพราะเขาใส่แคปหมู ให้ความกรุบกรอบ เป็นการผสาน texture ที่ดีระหว่างเส้นนุ่มหนึบกับความกรอบได้อย่างลงตัว
จะให้ดีไปอีกคือต้องสั่ง หมูหมัก on top ด้วยนะจ๊ะ (เห็นโต๊ะอื่นสั่งกันเยอะ)

ร้านนี้นอกจากอร่อยแล้ว ยังสตรองมากด้วยนะจ๊า

ของคาวไปแล้วไม่มีของหวานเดี๋ยวกระเพาะจะทำงานไม่ครบวงจร หน้าร้านผัดไทมีรถเข็นขายขนมโบราณ
ทีเด็ดคือ ขนมสาลี่มะพร้าวอ่อน อยากให้ลองกันจริงๆ บอกเลยว่าเด็ดต้องมาโดนให้ได้
พูดเลยว่า กระยาสารทชิดซ้าย เฉาก๊วยหักหลบไปเลย ป้าแกขายราคาถูกแสนถูก แถวละ 20 บาท โอ่ย กินแล้วอิ่มกว่าแมคพายอีก

เอร็ดอร่อย อยากอวด 55 :
https://youtu.be/jiJq9Iarqhs
หลังจากบ๊ายบายนครชุมแล้ว เราก็กลับเข้าเมืองมาตามหาชีวิตคนเมืองที่คิดถึงบ้าง อารมณ์แบบห่างบ้านมา 2 วันแล้ว
แอบคิดถึง กทม ยามค่ำคืน สอบถามอากู๋ก็เจอร้านนี้ปิด 5 ทุ่ม ชื่อร้าน Common Café กลางวันเป็นร้านกาแฟ รสชาติดีทีเดียว
ตอนเย็นมีขายเครื่องดื่ม 20+ ร่วมด้วย สองสาวกทม.รีบดุ่ยไปเลยฮะ ร้านนี้ขายเบียร์หลากหลายมากเลยนะฮะ มี Signature Cocktail ด้วย
(ไม่ลงรูป เครื่องดื่มแล้วกัน เด๋วถูกหาว่าชี้นำเยาวชน)
วันที่สาม : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกำแพงเพชร-พิพิธภัณฑ์เรือนไทยเฉลิมพระเกียรติ-โรงงานเฉาก๊วย-สวนกล้วยไข่-ร้านเซี้ยงบะหมี่-บ้านขนมข้าวตอกตัด
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาไปเที่ยวต่างประเทศเราถึงไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์? ทำไมอยู่เมืองไทยเราถึงไปเยือนสถานที่แห่งนี้น้อยครั้งนัก?
จขกท เลยตัดสินใจเข้าไปเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกำแพงเพชรซักหน่อย เข้าไปแล้วรู้สึกประหลาดใจ จนร้องออกมาว่า Amazing (จริงๆนะ)
คือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดูทันสมัย น่าเยี่ยมชมมาก ที่สำคัญ แอร์เย็น !!
ที่นี่เราได้เรียนรู้ว่าทำไมเมืองกำแพงเพชรถึงดูร้างๆ เพราะกำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
รับศึกกับพม่าบ่อยครั้งในสมัยอยุธยา จนสมัยรัตนโกสินทร์เพิ่งได้บูรณะใหม่ มีการวางระบบการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงได้ยกระดับเป็นจังหวัดกำแพงเพชรนับแต่นั้นมา
นอกจากกล้วยไข่ กระยาสารท และเฉาก๊วยชากังราว กำแพงเพชรยังถือว่าเป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติที่สำคัญด้วยนะ
เช่นมีแหล่งน้ำมันดิบ และมีแหล่งผลิตหินอ่อนส่งออกต่างประเทศอีกด้วย โอ๊ย! มากมายได้อีก
ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันเดินทางกลับ เราก็ยังไม่หยุดภารกิจค้นหา เพชร ในเมืองทางผ่าน
ซึ่งทริปนี้จะจบสวยๆไม่ได้เลยถ้าเราไม่ได้กินกล้วยไข่ และเฉาก๊วยชากังราว
Check-in ต่อไปจึงเป็น โรงงานเฉาก๊วยชากังราว โดยหวังว่าจะได้กินเฉาก๊วยสดๆที่โรงงาน
แต่พอไปถึง ผ่าง ! อยู่ในช่วงพักพอดีจ้า อดเข้าไปดูกรรมวิธีการผลิต และอดกินเฉาก๊วย
เพราะเขาไม่ขายใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟ มีแต่แบบเป็นถุงๆให้ซื้อกลับบ้านนะจ๊ะ
เลยต้องเดินคอตกออกมา และตั้งใจไปหาตามร้านอาหารในเมืองแล้วกัน
เพื่อให้บรรลุภารกิจ จากข้อมูลที่เราได้เกี่ยวกับกล้วยไข่กำแพงเพชรที่พิพิธภัณฑ์เรือนไทยเฉลิมพระเกียรติ
ซึ่งนอกจากจะมีการจัดแสดงความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองกำแพงเพชรแล้ว ยังมีพื้นที่แสดงพันธุ์กล้วยต่างๆ
ที่มาจากทั่วประเทศไทยและต่างประเทศด้วย แน่นอนว่าเราต้องมาตามหา “กล้วยไข่กำแพงเพชร” นี่แหล่ะ!!
ยังไงคะ!! ไหนกล้วยไข่กำแพงเพชร!!?? เราเลยไปถามลุงกับป้าที่ดูแลสวน ท่านทั้งสองได้บอกทางไปหาสวนกล้วยแถวคูเมือง เราก็ตะลุยไปจนเจอ!!
เจ้าของสวนก็บอกว่าตัดขายไปหมดแล้ว ถ้าจะมาดูกล้วยบนต้นต้องมาก่อนเข้าพรรษานะ กล้วยจะเริ่มออก และเห็นเป็นเครือๆเลย เอาหล่ะ เหลือต้นเดียว จขกท ก็เอา ถ่ายรูปเป็นที่ระทึก
มาคราวนี้ก็ได้ความรู้จากคุณเจ้าของสวนกล้วยว่า กล้วยไข่แถบเนี้ย มีมาจากจังหวัดอื่นด้วยนะ

ได้ทริคในการแยกแยะมาว่า ถ้าเป็นกล้วยไข่กำแพงเพชรจะใบเล็กมีรสหวาน แต่ถ้าเป็นกล้วยจากจังหวัดตากหรือจังหวัดอื่นใบจะใหญ่ ไส้ปนเปรี้ยว นะจ๊ะ
ยัง! ทริปนี้ยังไม่จบ เพราะยังไม่ได้กินเฉาก๊วยชากังราว จขกท และเพื่อนสาวจึงไปฝากกระเพาะมื้อเที่ยงกับ ร้านเซี้ยงบะหมี่
ซึ่งเป็นร้านพี่น้องกันกับร้าน บะหมี่ชากังราว (เจ้าเก่า) ที่กินไปเมื่อวันแรก รสชาติต่างกันตรงที่ร้านเซี้ยงจะกลมกล่อมกว่าร้านบะหมี่ชากังราวที่ปรุงหนักไปทางหวาน แล้วปิดท้ายด้วยเฉาก๊วยชากังราว เนื้อนุ่มหนึบหนับ สมใจเสียที

ข้อความเกิน Quota อีกละ .. พบกับ Super highlight ของจังหวัดกำแพงเพชรที่ จขกท ภูมิใจนำเหนอใน PART 3 นะจ๊ะ
PART 3 มาแว้ว :
http://pantip.com/topic/34481185
[รีวิว] กำแพงเพชร :: มองข้าม "กำแพง" มาค้นหา "เพชร" ในเมืองทางผ่าน PART 2
วันที่สอง : อุทยานแห่งชาติแม่วงก์-น้ำตกคลองลาน-ตลาดนครชุม
ฝนตกหนักตลอดตั้งแต่ตี 3 ตกมาตลอดทางจน 10 โมงเช้า ด้วยความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สองสาวก็ประนมมืออธิษฐาน
และปาฏิหาริย์ก็มีจริง พอถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ฝนก็หยุดตกทันใด >_< สุดยอดไปเลยค่า
ถึงทางเข้าอุทยานแล้ว แวะลงทะเบียนที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อน ในศูนย์บริการก็มีโมโกจูจิ๋วให้ถ่ายรูปด้วยนะ
ลงทะเบียนแล้วเดินทางต่อกันเลย ..
จขกท ขับเอง ไม่ชันค่ะใส่เกียร์ D เกียร์เดียวไปโลด ^_^ ระหว่างทางอากาศดีมากปิดแอร์เปิดกระจกสูดกลิ่นธรรมชาติให้เต็มปอด
ระหว่างทางขอแวะจุดชมวิวกิ่วกระทิงก่อน เห็นหมอกตามคาด สวยงาม
ขับต่อไปอีกไม่ไกลถึงขุนน้ำเย็น จุดชมวิวอีกจุดหนึ่ง จอดรถไว้ด้านล่างและเดินเท้าขึ้นมาตามทางลูกรังอีกประมาณ 50 เมตร
เดินทางสู่ ช่องเย็น ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี
เวลาเกือบเที่ยง อุณหภูมิกำลังดี ประมาณ 21 องศา มีน้ำค้างเยอะ ค่อนข้างชื้น เลยต้องใส่หมวกใส่เสื้อแขนยาว
มีดอกบัวตองเป็นพุ่มๆ ให้เห็นตลอดทาง
วิวเกาหลี ก็มา
มีนักท่องเที่ยวนั่งส่องนกกันอยู่ด้วยหละ จขกท ก็ไม่มีอุปกรณ์หรอกนะ ก็เดินเข้าไปคุยกับพี่ๆเค้าเลย
พี่เค้าก็ใจดีให้เรายืมกล้องส่องด้วย เห็นนกมากินผลไม้บนยอดไม้ใกล้ๆ อะหือ ธรรมชาติสุดๆ
แล้วก็สังเกตว่ามีเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วยหละ ระยะทาง 1.5 กม. จขกท ก็ตัดสินใจลุยเข้าไปพร้อมรองเท้าคัชชู (เตรียมตัวมาดี๊ดี แหม่)
เด็กหญิงนุ่น .. ตากล้องที่น่ารัก ของ จขกท
ทางเปียกมากจ้า ได้ยินเสียงนกคุยกันหลายชนิดเลย พอหยุดยืนซึมซับธรรมชาติอยู่นิ่งๆ ก็มี “ตัวคุ่น” มาทักทาย
อุตส่าห์มาเยือนตอนเที่ยงแล้วนะ ยังจะออกมาเจออีก แต่ที่ระทึกกว่าตัวคุ่นคือ จขกท ได้ยินเสียงเหมือน สุนัขขู่ ถึง 2 ครั้ง ..
มั่นใจว่า ไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เลยบอกเพื่อนสาวที่ยืนส่องนกอยู่ว่า ออกกันเถ๊อะ เจ้าถิ่นมาเตือนละ ..
พวกเราเลยขอบ๊ายบายเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เพราะไม่ได้ศึกษาวิธีการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาก่อน
เดินออกมาก็เล่าสู่กันฟังกับนักท่องเที่ยวที่คุยกันก่อนหน้านี้ พี่เขาบอกเมื่อคืนเห็น หมาไม้ ด้วย อาจจะใช่ก็ได้นะ ..
แต่หมาไม้หน้าตาเป็นยังไงกันนะ? ตาม Link ไปเลย เผื่อท่านผู้อ่านได้มีโอกาสไปพบปะพวกเค้า (เอาจริงๆไม่รู้ว่ามันร้องยังไงด้วยซ้ำ)
http://www.tistr.or.th/sakaerat/Flora_Fauna/MAMMALS/mammals1/mam022.pdf
ที่ช่องเย็นจะมีป้าย “จุดชมวิว ภูสวรรค์” บอกระยะทาง 300 เมตร เลยตัดสินใจลุยเข้าไป
พบเส้นทางเป็นทางชัน (มาก) ต้นทางยังเป็นขั้นบันได แต่ลึกเข้าไปเป็นการปีนหิน
จนมาถึงจุดที่สองข้างทางเป็นหน้าผาแบบไร้ที่กั้น เลยตัดสินใจหยุดที่จุดนี้
ยังเห็นภาพร่องภูเขาสลับไปมากับหมอกฝนที่ยังไม่หายไป ณ เวลาเกือบบ่าย เลยขอชักภาพเป็นที่ระทึก
ลงมาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานก็จะมีครัวประกอบอาหาร
เราจึงเลือกทานอาหารเที่ยงที่นั่น และออกเดินทางสู่น้ำตกคลองลาน
สวยงามมากจริงๆ น้ำใสไหลเย็น แต่ไม่เห็นปลา ฮ่าๆ นั่งพักสูดความชื้นและกลิ่นไอธรรมชาติกันไปอีก
ธรรมชาติยังดีมาก เจอผีเสื้อมาทักทายด้วยนะ
หลังจากอิ่มกับธรรมชาติมาตลอดทั้งวัน เราก็เดินทางกลับที่พัก นอนชาร์จพลัง และออกเดินทางมาฝั่งนครชุมอีกครั้ง
เพื่อตามหา สุภาพผัดไท เจ้าดังกระแทกท้อง
ร้านอยู่บริเวณตลาดย้อนยุคนครชุม ตรงข้ามร้านข้าวต้มสู้ชีวิต มีคุณป้ายืนผัดผัดไทในกะทะใหญ่ กลิ่นนี่อย่างหอมเลยจ้า ไม่กินไม่ได้แล้ว
ทำไมต้องผัดไทที่นี่? เพราะเขาใส่แคปหมู ให้ความกรุบกรอบ เป็นการผสาน texture ที่ดีระหว่างเส้นนุ่มหนึบกับความกรอบได้อย่างลงตัว
จะให้ดีไปอีกคือต้องสั่ง หมูหมัก on top ด้วยนะจ๊ะ (เห็นโต๊ะอื่นสั่งกันเยอะ)
ร้านนี้นอกจากอร่อยแล้ว ยังสตรองมากด้วยนะจ๊า
ของคาวไปแล้วไม่มีของหวานเดี๋ยวกระเพาะจะทำงานไม่ครบวงจร หน้าร้านผัดไทมีรถเข็นขายขนมโบราณ
ทีเด็ดคือ ขนมสาลี่มะพร้าวอ่อน อยากให้ลองกันจริงๆ บอกเลยว่าเด็ดต้องมาโดนให้ได้
พูดเลยว่า กระยาสารทชิดซ้าย เฉาก๊วยหักหลบไปเลย ป้าแกขายราคาถูกแสนถูก แถวละ 20 บาท โอ่ย กินแล้วอิ่มกว่าแมคพายอีก
เอร็ดอร่อย อยากอวด 55 : https://youtu.be/jiJq9Iarqhs
หลังจากบ๊ายบายนครชุมแล้ว เราก็กลับเข้าเมืองมาตามหาชีวิตคนเมืองที่คิดถึงบ้าง อารมณ์แบบห่างบ้านมา 2 วันแล้ว
แอบคิดถึง กทม ยามค่ำคืน สอบถามอากู๋ก็เจอร้านนี้ปิด 5 ทุ่ม ชื่อร้าน Common Café กลางวันเป็นร้านกาแฟ รสชาติดีทีเดียว
ตอนเย็นมีขายเครื่องดื่ม 20+ ร่วมด้วย สองสาวกทม.รีบดุ่ยไปเลยฮะ ร้านนี้ขายเบียร์หลากหลายมากเลยนะฮะ มี Signature Cocktail ด้วย
(ไม่ลงรูป เครื่องดื่มแล้วกัน เด๋วถูกหาว่าชี้นำเยาวชน)
วันที่สาม : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกำแพงเพชร-พิพิธภัณฑ์เรือนไทยเฉลิมพระเกียรติ-โรงงานเฉาก๊วย-สวนกล้วยไข่-ร้านเซี้ยงบะหมี่-บ้านขนมข้าวตอกตัด
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาไปเที่ยวต่างประเทศเราถึงไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์? ทำไมอยู่เมืองไทยเราถึงไปเยือนสถานที่แห่งนี้น้อยครั้งนัก?
จขกท เลยตัดสินใจเข้าไปเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกำแพงเพชรซักหน่อย เข้าไปแล้วรู้สึกประหลาดใจ จนร้องออกมาว่า Amazing (จริงๆนะ)
คือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดูทันสมัย น่าเยี่ยมชมมาก ที่สำคัญ แอร์เย็น !!
ที่นี่เราได้เรียนรู้ว่าทำไมเมืองกำแพงเพชรถึงดูร้างๆ เพราะกำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
รับศึกกับพม่าบ่อยครั้งในสมัยอยุธยา จนสมัยรัตนโกสินทร์เพิ่งได้บูรณะใหม่ มีการวางระบบการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงได้ยกระดับเป็นจังหวัดกำแพงเพชรนับแต่นั้นมา
นอกจากกล้วยไข่ กระยาสารท และเฉาก๊วยชากังราว กำแพงเพชรยังถือว่าเป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติที่สำคัญด้วยนะ
เช่นมีแหล่งน้ำมันดิบ และมีแหล่งผลิตหินอ่อนส่งออกต่างประเทศอีกด้วย โอ๊ย! มากมายได้อีก
ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันเดินทางกลับ เราก็ยังไม่หยุดภารกิจค้นหา เพชร ในเมืองทางผ่าน
ซึ่งทริปนี้จะจบสวยๆไม่ได้เลยถ้าเราไม่ได้กินกล้วยไข่ และเฉาก๊วยชากังราว
Check-in ต่อไปจึงเป็น โรงงานเฉาก๊วยชากังราว โดยหวังว่าจะได้กินเฉาก๊วยสดๆที่โรงงาน
แต่พอไปถึง ผ่าง ! อยู่ในช่วงพักพอดีจ้า อดเข้าไปดูกรรมวิธีการผลิต และอดกินเฉาก๊วย
เพราะเขาไม่ขายใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟ มีแต่แบบเป็นถุงๆให้ซื้อกลับบ้านนะจ๊ะ
เลยต้องเดินคอตกออกมา และตั้งใจไปหาตามร้านอาหารในเมืองแล้วกัน
เพื่อให้บรรลุภารกิจ จากข้อมูลที่เราได้เกี่ยวกับกล้วยไข่กำแพงเพชรที่พิพิธภัณฑ์เรือนไทยเฉลิมพระเกียรติ
ซึ่งนอกจากจะมีการจัดแสดงความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองกำแพงเพชรแล้ว ยังมีพื้นที่แสดงพันธุ์กล้วยต่างๆ
ที่มาจากทั่วประเทศไทยและต่างประเทศด้วย แน่นอนว่าเราต้องมาตามหา “กล้วยไข่กำแพงเพชร” นี่แหล่ะ!!
ยังไงคะ!! ไหนกล้วยไข่กำแพงเพชร!!?? เราเลยไปถามลุงกับป้าที่ดูแลสวน ท่านทั้งสองได้บอกทางไปหาสวนกล้วยแถวคูเมือง เราก็ตะลุยไปจนเจอ!!
เจ้าของสวนก็บอกว่าตัดขายไปหมดแล้ว ถ้าจะมาดูกล้วยบนต้นต้องมาก่อนเข้าพรรษานะ กล้วยจะเริ่มออก และเห็นเป็นเครือๆเลย เอาหล่ะ เหลือต้นเดียว จขกท ก็เอา ถ่ายรูปเป็นที่ระทึก
มาคราวนี้ก็ได้ความรู้จากคุณเจ้าของสวนกล้วยว่า กล้วยไข่แถบเนี้ย มีมาจากจังหวัดอื่นด้วยนะ
ได้ทริคในการแยกแยะมาว่า ถ้าเป็นกล้วยไข่กำแพงเพชรจะใบเล็กมีรสหวาน แต่ถ้าเป็นกล้วยจากจังหวัดตากหรือจังหวัดอื่นใบจะใหญ่ ไส้ปนเปรี้ยว นะจ๊ะ
ยัง! ทริปนี้ยังไม่จบ เพราะยังไม่ได้กินเฉาก๊วยชากังราว จขกท และเพื่อนสาวจึงไปฝากกระเพาะมื้อเที่ยงกับ ร้านเซี้ยงบะหมี่
ซึ่งเป็นร้านพี่น้องกันกับร้าน บะหมี่ชากังราว (เจ้าเก่า) ที่กินไปเมื่อวันแรก รสชาติต่างกันตรงที่ร้านเซี้ยงจะกลมกล่อมกว่าร้านบะหมี่ชากังราวที่ปรุงหนักไปทางหวาน แล้วปิดท้ายด้วยเฉาก๊วยชากังราว เนื้อนุ่มหนึบหนับ สมใจเสียที
PART 3 มาแว้ว : http://pantip.com/topic/34481185