อย่างที่ผมเคยเล่าว่าผมดูแลน้องสาวที่เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นแต่เมื่อเขากลับไป ผมเก็บความสงสัยไว้ เลยลองมาถามห้องชานเรือนนะครับ
1. การที่ผมเข้มงวดกับการที่ผมสอนน้องสาวในทุกเรื่อง เช่น เรื่องการถอดคำประพันธ์ ผมจะให้เขาพยายามถึงที่สุดก่อน ถ้าทำไม่ได้ ผมจะช่วย แต่ส่วนใหญ่ เขาจะไม่ยอมให้ผมช่วย (แกมีทิษฐิมากครับ ประเภทฉันต้องทำให้ได้ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน) บางครั้งถึง ตี 1 ตี 2 มันเหมาะไหมครับ เพราะผมดูเหมือนจะเข้มงวดกับน้องสาวเกินไป (ถ้ามองจากมุมมองคนไทย) แต่สำหรับตัวเขาผมใจดีกับเขามากกว่าแม่ของเขา (เพราะแม่ของเขาเป็น Tiger Mom) หรือ เรื่องการเรียนวิชาอื่นๆ ผมจะเข้มงวดเรื่องการบ้าน และ การทำรายงานมาก รวมถึงการบังคับให้เขาต้องอ่านหนังสือภาษาไทยให้ผมฟัง 15 หน้าทุกคืน
2. ผมพยายามจะทำให้เขาพยายามสื่อสารกับเพื่อนให้ได้เร็วที่สุด แต่มันไม่ได้ผลเพราะเพื่อนต่อต้านเขา (เพราะน้องสาวเป็นเด็กเรียนเก่งระดับเดียวกับพวกเด็กห้องคิงแต่ไปอยู่ห้องบ๊วยเพราะคะแนนคัดห้องได้แย่มาก เพราะคะแนนวิชาภาษาไทยได้น้อยมากแค่ 2-3 คะแนน เต็ม 30)ผมเลยเข้าไปแทรกแซงการสื่อสารระหว่างน้องกับเพื่อนร่วมห้อง โดยพยายามให้เขาสื่อสารกับเพื่อนให้ได้ เช่นพยายามให้เด็กๆในห้องคนอื่นเข้าใจวัฒนธรรมที่ต่างกันระหว่าง ไทย กับ ญี่ปุ่น แต่ปรากฎว่า มันทำให้น้องสาวผมกลายเป็นถูกโดดเดี่ยวในห้อง เพราะคุณครูประจำชั้นไม่ชอบหน้าผม (เพราะผมเคยหักหน้าเขาในเรื่องวิชาการ) และเขาเห็นว่า น้องสาวผมต้องเข้ากับเพื่อนให้ได้ โดยไม่สนเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม เช่นบังคับให้น้องสาวยอมรับเรื่องการทำงานแบบเฉื่อยๆของเด็กไทย ซึ่งน้องสาวผมรับไม่ได้ เพราะเด็กคนอื่นจ้องจะลอกการบ้านเขาตลอดเวลา และน้องสาวผมยึดเรื่องเวลามาก จนไม่สามารถโอนอ่อนผ่อนตามได้
ผมเลยรู้สึกว่า ผมผิดเองที่เลี้ยงเขาเข้มงวดทำให้เขาเกิดปัญหาขึ้นในการปรับตัว กว่าที่เขาจะยอมพูดภาษาไทยกับเพื่อนจริงๆแบบเพื่อนสนิทต้องไปรอถึง ม.3 เป็นเวลา 3 ปีที่เขาต้องว้าเหว่กับการที่ไม่มีเพื่อน และพูดภาษาไทยแบบไม่เต็มใจเท่าไร
ยังงงถึงทุกวันนี้ว่าเราทำถูกไหม (เรื่องการเลี้ยงน้องสาวลูกครึ่งญี่ปุ่น)
1. การที่ผมเข้มงวดกับการที่ผมสอนน้องสาวในทุกเรื่อง เช่น เรื่องการถอดคำประพันธ์ ผมจะให้เขาพยายามถึงที่สุดก่อน ถ้าทำไม่ได้ ผมจะช่วย แต่ส่วนใหญ่ เขาจะไม่ยอมให้ผมช่วย (แกมีทิษฐิมากครับ ประเภทฉันต้องทำให้ได้ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน) บางครั้งถึง ตี 1 ตี 2 มันเหมาะไหมครับ เพราะผมดูเหมือนจะเข้มงวดกับน้องสาวเกินไป (ถ้ามองจากมุมมองคนไทย) แต่สำหรับตัวเขาผมใจดีกับเขามากกว่าแม่ของเขา (เพราะแม่ของเขาเป็น Tiger Mom) หรือ เรื่องการเรียนวิชาอื่นๆ ผมจะเข้มงวดเรื่องการบ้าน และ การทำรายงานมาก รวมถึงการบังคับให้เขาต้องอ่านหนังสือภาษาไทยให้ผมฟัง 15 หน้าทุกคืน
2. ผมพยายามจะทำให้เขาพยายามสื่อสารกับเพื่อนให้ได้เร็วที่สุด แต่มันไม่ได้ผลเพราะเพื่อนต่อต้านเขา (เพราะน้องสาวเป็นเด็กเรียนเก่งระดับเดียวกับพวกเด็กห้องคิงแต่ไปอยู่ห้องบ๊วยเพราะคะแนนคัดห้องได้แย่มาก เพราะคะแนนวิชาภาษาไทยได้น้อยมากแค่ 2-3 คะแนน เต็ม 30)ผมเลยเข้าไปแทรกแซงการสื่อสารระหว่างน้องกับเพื่อนร่วมห้อง โดยพยายามให้เขาสื่อสารกับเพื่อนให้ได้ เช่นพยายามให้เด็กๆในห้องคนอื่นเข้าใจวัฒนธรรมที่ต่างกันระหว่าง ไทย กับ ญี่ปุ่น แต่ปรากฎว่า มันทำให้น้องสาวผมกลายเป็นถูกโดดเดี่ยวในห้อง เพราะคุณครูประจำชั้นไม่ชอบหน้าผม (เพราะผมเคยหักหน้าเขาในเรื่องวิชาการ) และเขาเห็นว่า น้องสาวผมต้องเข้ากับเพื่อนให้ได้ โดยไม่สนเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม เช่นบังคับให้น้องสาวยอมรับเรื่องการทำงานแบบเฉื่อยๆของเด็กไทย ซึ่งน้องสาวผมรับไม่ได้ เพราะเด็กคนอื่นจ้องจะลอกการบ้านเขาตลอดเวลา และน้องสาวผมยึดเรื่องเวลามาก จนไม่สามารถโอนอ่อนผ่อนตามได้
ผมเลยรู้สึกว่า ผมผิดเองที่เลี้ยงเขาเข้มงวดทำให้เขาเกิดปัญหาขึ้นในการปรับตัว กว่าที่เขาจะยอมพูดภาษาไทยกับเพื่อนจริงๆแบบเพื่อนสนิทต้องไปรอถึง ม.3 เป็นเวลา 3 ปีที่เขาต้องว้าเหว่กับการที่ไม่มีเพื่อน และพูดภาษาไทยแบบไม่เต็มใจเท่าไร