[Loser Voice] “ดราม่า กยศ.” และ “เรียกร้องคือขี้เกียจ” : ถามชาวเน็ตไทย..จะต้องเก่งและดีแค่ไหนจึงจะพอใจกัน?

[Loser Voice] “ดราม่า กยศ.” และ “เรียกร้องคือขี้เกียจ” : ถามชาวเน็ตไทย..จะต้องเก่งและดีแค่ไหนจึงจะพอใจกัน?
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com , tonymao.nk@gmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
หลายปีมานี้..ผมมักจะบอกกับหลายๆ คนเสมอว่า “เรื่องลบๆ ชีวิตบัดซบของตัวเอง เก็บไว้เงียบๆ เถอะ อย่าเอามาโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตเลย จะโดนด่าเปล่าๆ” เพราะส่วนมากมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ล่าสุดที่กำลังเป็นดราม่าอยู่ตอนนี้ กรณี นศ.สาวรายหนึ่งที่ต้องไปขายตัวหาเงินมาใช้จ่าย หลังเงิน กยศ. ที่ควรจะได้รับกลับไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรื่องราวก็เล่าอยู่ชัดๆ ว่าก่อนหน้านี้ดำรงชีวิตด้วยเงินค่าครองชีพ บวกกับทำงานพิเศษเล็กๆ น้อยๆ  มันก็ยังพออยู่ได้ กระทั่งระบบใหม่ที่ค่าครองชีพจ่ายแบบล่าช้านั่นแหละ เลยเป็นที่มาของดราม่าดังกล่าว
.
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับ จะว่าไปแทบทุกครั้งเสียด้วยซ้ำเวลามีดราม่าประเภท “เพื่อให้มีชีวิตรอด ฉันจำเป็นต้องทำในสิ่งที่หมิ่นเหม่กฎหมายและศีลธรรม” กระแสของชาวเน็ตส่วนใหญ่เป็นไปในทาง “ก้อนหิน” มากกว่า “ดอกไม้” ก่นด่าและประณาม ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามอธิบายยังไงก็มักไม่มีใครฟัง มีแต่จะบอกว่าไม่ปรับตัวบ้าง ขี้เกียจบ้าง โง่บ้าง ไม่วางแผนให้รอบคอบรัดกุมบ้าง ฯลฯ บลาๆๆ แล้วแต่จะว่ากันไป
.
อย่างเรื่องที่ยกตัวอย่างมานี้ ผมเห็นหลายคนบอกว่าให้ Drop แล้วไปหางานทำบ้าง ให้ไปเรียน ม.เปิดบ้าง ห้องเช่า 4 พันแพงไปบ้าง เลยอยากจะเล่าสิ่งที่พบมากับตัวให้ฟังหน่อย ในฐานะอดีตคนทำงานไปเรียนไป เชื่อไหมครับว่า “ในเมืองไทยถ้าคุณมีวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี ชีวิตคุณก็ไม่ต่างอะไรจากทาส” ย้อนไปเมื่อปี 2547 ผมจบ ม.6 แล้วเลือกไปรามคำแหงทันที ( แน่นอนผมถูกบ่นจากคนรอบตัว มีแต่คนว่าผมบ้าเพราะไม่ยอมเอ็นทรานซ์ ) พร้อมกับทำงานไปด้วย ผมใช้ชีวิตตั้งแต่กลางปี 2547 ถึงต้นปี 2553 อยู่ในสังคมโรงงาน รับค่าแรงขั้นต่ำครั้งแรก วันละ 181 บาท จนวันสุดท้ายก่อนลาออกเพราะเรียนจบได้วันละ 215 บาท
.
บอกเลยว่า “ไม่พอกิน”!!!
.
ผมอาจจะโชคดีหน่อยเพราะผมอยู่บ้านตัวเอง ไม่ต้องเช่าห้อง อีกทั้งค่าเทอมท่านพ่อผมเป็นคนออกให้ ข้าวเช้า-เย็นก็กินกับที่บ้าน ( ซึ่งจริงๆ ที่บ้านไม่อยากให้ผมทำงาน อยากให้เรียนอย่างเดียว สาเหตุที่ผมอยากทำงาน เพราะผมใช้เงินเปลืองครับ ชอบดูหนัง ชอบกินข้าวในห้างและร้านสะดวกซื้อ เลยไม่อยากรบกวนทางบ้าน ) เลยไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากนัก แต่เมื่อมองไปรอบๆ เห็นชีวิตเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่มาจากต่างจังหวัด บอกเลยว่า “หดหู่” เพราะในขณะที่ผมเข้างานแปดโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น มีเวลาเหลือเฟือสำหรับอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย ( หรือแม้แต่มาเกรียนบนโลกออนไลน์ ) คนอื่นๆ กลับต้องทำงานล่วงเวลา ( โอที ) บ้าง หรือไปรับงานพิเศษรายเหมามาทำบ้าง เฉลี่ยแล้วคนเหล่านี้กลับบ้านเร็วที่สุดหลังสองทุ่ม และช้าที่สุดหลังเที่ยงคืน
.
มีหนหนึ่ง..ด้วยความที่ที่ทำงานผมตอนนั้นมันใกล้บ้านมาก ผมสามารถเดินไปเดินกลับได้ เลยออกจากบ้านแต่เช้ามืดไปออกกำลังกายในที่ทำงานผมประจำ พอพระอาทิตย์เริ่มส่องค่อยไปอาบน้ำ ( ที่ทำงานนี้เขาให้อาบน้ำได้ครับ ) ผมมักนึกเสมอว่าผมจะต้องมาคนแรก จะต้องไม่มีใครอื่นมาก่อนผม ยกเว้นคนเข้ากะกลางคืนที่จะเลิกงานเวลาแปดโมงเช้าเท่านั้น อย่าลืมว่าขณะนั้นเป็นเวลาราวตีห้า ฟ้ายังมืด รถราบนถนนหน้าโรงงานก็ยังไม่ค่อยจะมีแล่นผ่านด้วยซ้ำ ทว่าผิดคาดครับ..พื้นที่ใกล้ๆ กับแผนกผม มีพนักงานมาทำงานประเภทรายเหมา ทำมากได้มากทำน้อยได้น้อยกันแล้ว
.
เท่าที่เคยสอบถาม..บางวันพวกเขามากันตั้งแต่ “ตีสี่” และเลิกงานตอน “เกือบเที่ยงคืน”!!!
.
ถามว่ารายได้เป็นอย่างไร? เท่าที่ฟังๆ ดู ว่ากันว่าทุกๆ ครึ่งเดือน ( ที่นี่เงินออก 2 รอบครับ กลางเดือนกับสิ้นเดือน ) พวกเขาจะได้เงินเฉลี่ยแล้วประมาณเกือบๆ เจ็ดพันบาท ( หรือบางครั้งก็มากกว่านี้ ) รวมๆ เดือนหนึ่งก็ได้ประมาณหนึ่งหมื่นสี่พันบาท ส่วนจะคุ้มหรือไม่? อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองจริงๆ ถ้าถามตัวผม ผมคงบอกว่าไม่คุ้ม เพราะคุณมีเวลานอนแค่ 4-6 ชั่วโมงเท่านั้น และเวลาในการเอาไปพัฒนาตนเองนั้น ต้องบอกว่า “ลืมมันไปได้เลย” แต่ในมุมของพวกเขาเหล่านั้น คนจากต่างจังหวัดต้องเช่าห้องอยู่ และ/หรือต้องส่งเงินให้ทางบ้าน พวกเขาคงบอกว่าคุ้ม เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่น ไม่ได้จบ ป.ตรี แถมบางคนอายุก็มากแล้ว เป้าหมายของคนกลุ่มนี้น้อยคนที่จะพูดเรื่องเรียนต่อ ส่วนมากคือหวังจะหาเงินไปซื้อมอเตอร์ไซค์มาขับวิน ซื้อรถเก๋งมาขับแท็กซี่ ไม่ก็ลงทุนเปิดร้านอาหารตามสั่ง  แผงหมูปิ้ง ฯลฯ
.
นี่คือชีวิตจริงของคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี..ถามว่าเขา “ขี้เกียจเรียน” อย่างที่หลายคนว่าหรือเปล่า?
.
สิ่งหนึ่งที่สะท้อนว่ามนุษย์แรงงานเหล่านี้อยู่ได้ด้วยโอที ไม่มีโอทีคือตาย คือปรากฎการณ์ค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ผมยกเรื่องนี้ไม่ได้อยากจะทำให้เป็นประเด็นการเมืองนะครับ แน่นอนผมเข้าใจว่ารัฐบาลนั้นคงอยากให้ชีวิตแรงงานระดับล่างดีขึ้น แต่กลายเป็นว่า พอปรับค่าแรงเป็น 300 ต่อวันปุ๊บ โอทีเอย สวัสดิการเอยที่มีหายไปบ้าง ลดลงบ้าง อย่างโรงงานอีกแห่ง คนทำงานที่นั่นเคยเล่าให้ผมฟังว่า ยุคก่อนค่าแรง 300 ที่นี่เป็นทีที่หลายคนอยากไปทำงานกันมาก เพราะมีโอทีตลอด แถมเถ้าแก่กล้าจ่าย เช่น ถ้าทำถึงสองทุ่ม จ่ายคูณ 1.5 ต่อชั่วโมง ถ้าทำต่อหลังสองทุ่มไปแล้ว ชั่วโมงนับตั้งแต่สองทุ่มเป็นต้นไปจ่ายคูณ 2 ต่อชั่วโมง และถ้าทำหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ชั่วโมงนับแต่หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป จ่ายคูณ 2.5 ต่อชั่วโมง คนโรงงานนี้ปกติกลับบ้านเฉลี่ยสี่ทุ่มบ้างเที่ยงคืนบ้าง แต่ถ้าเป็นคืนวันเสาร์พวกเขาจะอยู่ถึงเช้าวันอาทิตย์ครับ ทำโอทีทั้งคืนนั่นแหละ เลิกกันประมาณตีห้าได้ ทว่าหลังค่าแรงเป็น 300 ระบบโอทีแบบนี้ก็หายไป กลายเป็นห้ามทำโอทีเกิน 2 ทุ่ม และต้องสลับกันทำ ซึ่งผมลองถามคนโรงงานอื่นๆ ก็พบว่ามีการปรับเปลี่ยนที่คล้ายๆ กัน คือโอทีลดลง นั่นคือรายรับของคนงานก็ลดลงด้วย เมื่อรวมกับราคาข้าวของที่แพงขึ้น เลยกลายเป็นว่าค่าครองชีพสูงขึ้นตามค่าแรงที่ก้าวกระโดดไปโดยปริยาย
.
ผมบอกเลยว่าถ้าผมไม่ได้โชคดีตามที่กล่าวข้างต้น ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าวันนี้จะเรียนจบปริญญาตรีไหม? เพราะต้องใช้ชีวิตเกือบ 3 ใน 4 ของวัน หมดไปกับการทำงานเพื่อให้มีเงินใช้เดือนชนเดือน และคำว่าเดือนชนเดือน ไม่ค่อยมีเงินออมมากมาย ( เรื่องลงทุนไม่ต้องพูดถึง เอาแค่มีเงินออมสม่ำเสมอก่อน ) นี่แหละครับ เป็นคำที่เราพบได้ทั่วไปในสังคมไทย แม้กระทั่งคนที่เลื่อนชนชั้นขึ้นมาเป็นมนุษย์ออฟฟิศแล้วก็ตาม ซึ่งถ้าให้แจกแจงสาธยายสาเหตุมันเยอะมาก เนื้อที่วันนี้คงไม่พอแน่ๆ ไว้ค่อยว่ากันในโอกาสต่อไป แต่ไม่ใช่เพราะโง่และ/หรือขี้เกียจทุกกรณีแน่นอน
.
ประการต่อมา บางคนบอกว่าห้องพักเดือนละ 4 พันฟุ่มเฟือยเกินไป เรื่องนี้เอาจริงๆ ห้องพักที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย สะอาด บรรยากาศพอใช้ “ไม่มีที่ไหนราคาต่ำกว่าสามพันบาทต่อเดือน” สำหรับใน กทม. ห้องพักเกรดนี้มักมีกล้องวงจรปิด มีคีย์การ์ดเข้าออกประตูหน้า หรือมี รปภ. คอยซักคอยถามคนนอกที่จะเข้าไป สภาพห้องค่อนข้างสะอาดไม่มีกลิ่นอับ บรรยากาศดีเพราะอยู่ริมถนนหลัก การเดินทางเป็นไปได้สะดวก ขณะที่ห้องพักที่ราคาต่ำกว่านี้ ถึงความปลอดภัยในอาคารยังมีครบตามที่กล่าวมาข้างต้น แต่ความปลอดภัยในการเดินทางอาจจะไม่มี เพราะอยู่ในซอยลึก บางแห่งไฟถนนก็แทบไม่มี ทางเปลี่ยวมาก หรือบางแห่งอาจจะอยู่ริมถนนหลัก เดินทางสะดวก แต่ระบบความปลอดภัยในอาคารก็น่าห่วง เพราะคนนอกเดินเข้าเดินออกได้เสรี ไม่มี รปภ. หรือแม้แต่กล้องวงจรปิด หรือแม้แต่เหล็กดัดระเบียงห้องที่อยู่ชั้นล่างก็ยังไม่มี
.
พูดถึงห้องพักเกรดต่างๆ ผมอดที่จะเล่าถึงประสบการณ์สำรวจห้องพักของคนชั้นล่างไม่ได้ นิยามของห้องพักประเภทนี้คือค่าเช่าเดือนละพันกว่าบาท สิ่งที่พบคือสภาพห้องค่อนข้างอับ ระบบความปลอดภัยใดๆ ไม่มี ยังไม่นับชนิดของประชากรที่อยู่อาศัยในห้องเช่าเหล่านี้ ที่จำนวนมากชอบก๊งเหล้าพูดคุยเสียงดัง วันดีคืนดีเมาแล้วก็ชกต่อยกัน คนมีรถ ( เช่นแท็กซี่หรือมอเตอร์ไซค์ที่ไปแต่งเครื่องเสียงมา ) ก็เอามาเปิดเพลงเสียงดังยันดึกๆ ดื่นๆ ทั้งที่ไม่ใช่ช่วงเทศกาล บางทีผัวเมียทะเลาะกันก็ลงไม้ลงมือให้เห็นแบบไม่แคร์สายตาคนอื่นๆ ฯลฯ ถามว่ามันน่าอยู่ไหม? ผมเชื่อว่าทุกคนตอบได้
.
อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนี้..อย่าเพิ่งคิดเรื่องพัฒนาตนเองเลย เอาแค่ให้รอดไปวันๆ ก่อนก็พอ ขนาดผู้ชายอยู่ยังเหนื่อย ผู้หญิงอยู่ยิ่งอันตรายกว่าผู้ชายหลายเท่า!!!

( มีต่อ )

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่