[รีวิวเรื่องที่ 110] The Mockingjay Part 2



[เรื่องที่ 110] The Mockingjay Part 2 ; (Francis Lawrence, 2015)

คะแนน : 7.5/10

ได้ฤกษ์งามยามดีมีภาคจบกับเขาซักทีกับหนังกระแสแรงแห่งปีอย่าง The Hunger Games ; ซึ่งเนื้อเรื่องต่อเนื่องจากภาคที่แล้วหลังจากที่แคทนิสรับหน้าที่สวมหัวโขนเป็น 'ม็อกกิ้งเจย์' เพื่อเป็นผู้นำจุดชนวนกบฏต่อแคปิตอลและระบอบการปกครองของสโนว์

แน่นอนว่าจุดเด่นของภาคนี้ก็คือพล็อตที่มีสเกลเว่อวังอลังการสืบทอดมาจาก part 1 ซึ่งเกี่ยวพันกับการล้มล้างระบอบการปกครอง อีกทั้งคอนฟลิกต์ของตัวละครเอกสาวอย่าง 'แคตนิส' ที่ยังโรมรันพันตูตัดสินใจเลือกไม่ได้กับหนุ่มหล่อสองสไตล์อย่างเกลและพีต้า ... เท่านั้นยังไม่พอ ยังพ่วงปมของความเป็นแฟมิลี่เกิร์ลของแคทนิสเข้ามาอีก เรียกได้ว่าประเด็นหลักของหนังนั้นครอบคลุมทุกด้านจริงๆ

.. ปัญหามันก็เริ่มจากตรงนี้แหละ เชื่อว่าหลายๆคนที่ดูภาคนี้จบก็คงจะสัมผัสได้ถึงการที่หนังมัน 'ไปไม่สุดทางเลยซักด้าน' เนื่องด้วยเนื้อเรื่องมันต้องสโคปหลายๆอย่างไปพร้อมๆกัน อย่างเรื่องของรักสามเศร้าที่ยื้อกันไปกันมาในสองภาคแรก กลับกลายเป็นพล็อตประกอบฉากไปเสียฉิบ ช่วงที่ตัวละครได้ส่งต่อไดอะล็อกโรมานซ์กันจริงๆมีแค่เสี้ยวเดียว มันน้อยมาก น้อยจนไม่สามารถโน้มน้าวเราได้ว่าเออเว้ย ความรักที่มันลงเอยแบบในตอนจบได้มันมีที่มาที่ไปเป็นยังไง มันไม่มีน้ำหนักพอ.

ที่น่าผิดหวังต่อมาก็คือการดำเนินพล็อตหลักของเรื่อง ที่ว่าคร่าวๆก็คือแคตนิสจะต้องไปล้มสโนว์ให้ได้ด้วยแรงสนับสนุนจากกองทัพกบฏที่ใช้เวลาบิ้วมาเกือบสองชั่วโมงใน part 1 แต่พอเอาเข้าจริงแล้วบทบาทส่วนของประชาชนที่ลุกฮือมาก่อนสงครามนั้นก็ถูกเบียดตกลงไปอย่างน่าเสียดาย, ตัวหนังกลับโฟกัสไปที่กลุ่มตัวละครหลักในสเกลแคบๆแทน แถมยังใช้เวลานานเกินกว่าที่ควรจนชวนง่วงเสียด้วยซ้ำ (อาจจะมีเรื่อง 'พ็อด' เข้ามาแทรกนิดหน่อยพอจะน่าสนใจบ้าง) โดยเฉพาะใน part ลงใต้ดินนี่คือหลุดธีมมากๆ ตัวผู้เขียนเองนึกว่าดู Resident Evil อยู่, ทั้งมุมกล้อง ทั้งซาวน์ มันไปในทิศทางนั้นหมดจนเราไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับภาคที่ผ่านมาของหนังได้เท่าไรนัก

ถ้าสองหัวข้อที่ผ่านมาว่าฟาวล์แล้ว เนื้อเรื่องส่วนของครอบครัวนี่ก็คงถูกพัดหายไปพร้อมกับคลื่นน้ำมันแล้วล่ะ เพราะเอาจริงๆเราได้เห็นหน้าตาแม่+น้องสาวของแคทนิสในภาคนี้ไม่เกิน 2 ฉากเลยมั้ง ส่งผลให้เราไม่ค่อย 'อิน' กับเหตุการณ์หลักๆในหนังซักเท่าไหร่ ทั้งๆที่หากว่ากันตามเนื้อเรื่องภาคแรกแล้ว การที่ 'แคทนิส' ได้ลงแข่งขันในฮังเกอร์เกมส์นั้นก็เป็นเพราะเธอเสียสละตัวเองแทนน้องสาว และยังไม่ลืมที่จะฝากฝังครอบครัวให้เกลดูแลอีก ซึ่งนั่นก็บ่งบอกแล้วว่าการที่แคทนิสอยู่ในฐานะมาสคอตของฝ่ายกบฏและยอมให้ ปธน.คอยน์ใช้เป็นตัวหมาก ไม่ใช่เพราะเธอโหยหาอำนาจทางการเมืองหรือมีความโกรธเคืองในความเหลื่อมล้ำกับชาวแคปิตอล (โอเค แต่เธอก็ยังเคืองสโนว์กับหลายๆเรื่องแหละ) แต่เพราะเหตุผลง่ายๆที่ว่า 'ครอบครัวสำคัญที่สุดสำหรับเธอ' แค่นั้นเอง ซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าหนังบกพร่องไป

... แต่ถึงแม้หนังมันจะกะท่อนกะแท่นปานไหน สิ่งที่ต้องยืนตรงปรบมือโอเวชั่นให้งามๆก็คงหนีไม่พ้นการแสดงของ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ปังเหลือเกิน ทั้งแววตาสีหน้ามาครบชนิดเบียดเพื่อนร่วมฉากตกรอบกันไปกราวๆ ซึ่งความดีงามในส่วนนี้ถือว่าเป็นสิ่งเดียวที่ยังพอยึดเหนี่ยวชิ้นส่วนต่างๆของ Mockingjay พาร์ทนี้ให้มันกลายเป็นอะไรซักอย่างที่เป็นชิ้นเดียวได้ ยิ่งโดยเฉพาะฉากนางเหวี่ยงแมวนี่คืออีปิกมากๆ และคงจะถูกจดจำไปได้อีกนาน

ทั้งหมดทั้งมวลแล้วผู้เขียนก็ยังคิดว่าจุดพีคของ Hunger Games มันก็ยังอยู่ในภาค 1 นี่แหละ ที่มีจุดเด่นเอกลักษณ์หลายๆอย่างให้จดจำและพูดถึงต่อได้อย่างน่าสนใจ ยังไงก็ตามสำหรับคนที่ติดตามมาตลอดก็อย่าลืมไปอุดหนุนภาคปิดของแฟรนชายหนังขายดีเรื่องนี้อย่าให้ค้างคานะคร้าบ

ป.ล.ส่วนตัวคิดว่าฉากสนทนาระหว่างแคตนิสกับสโนวสั้นๆไม่กี่นาทีนั้นดูเลอค่าที่สุดในหนังเรื่องนี้แล้ว
ป.ล.2 ฉากปธน.รักษาการนี่ชวนให้ระลึกถึงประเทศนึงจริงๆให้ดิ้นตาย

ขอเชิญติดตามรีวิว/ข่าวสารและร่วมกันพูดคุยเรื่องหนังได้ที่เพจครับ : https://www.facebook.com/expensivemovie
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่