ช่วงปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวรัสเซีย กับครอบครัว รวมทั้งกรุ๊ปมี 4 คน โดยมีภรรยาผมที่กำลังตั้งครรภ์ไปด้วย ตอนแรกก็คงเหมือนหลายๆ คนที่จะไปรัสเซีย คือวางแผนไปเที่ยว St. Petersburg กับ Moscow แต่เนื่องจากครอบครัวเราไม่ได้ชอบดูวังอะไรมาก จึงตัดสินใจว่าจะลองหาที่เที่ยวอื่นๆ ด้วย พอดีไปเจอในบอร์ด
Trekkingthai ว่า Russia เองก็ดูแสงเหนือได้นะ (น่าจะเป็นประเทศเดียวเลยนะเนี่ย ที่ดูได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า) โดยที่นิยมไปกัน คือ เมือง Murmansk อยู่ในเขต Arctic circle ซึ่งถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิอากาศแถบนี้เลย แต่เนื่องจากทั้งกลุ่มไม่มีใครรู้ภาษารัสเซียเลย เราจึงหาทัวร์ภาษาอังกฤษ ก็ไปพบบริษัททัวร์แห่งหนึ่งที่ดูน่าเชื่อถือ ชื่อ
Nordic travel เราจึงตัดสินใจจองทริป ไป Murmansk ต่อด้วยเมือง Lovozero ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ เพื่อไปพบกับชนเผ่า Sami แล้วนั่งรถลงมา Petrozavodsk ไปเกาะ Kizhi เพื่อดูโบสถ์ไม้

โบสถ์ไม้ที่ตั้งใจไปดู (หาจาก Google)
แต่ปรากฏว่าช่วงที่เราไป เกาะ Kizhi ดันปิดซะอย่างนั้น จะไปได้ก็แต่ทางเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น ถ้าจะไปกับทัวร์เค้า เค้าจะพาเราไปเที่ยวในตัวเมือง Petrozavodsk อย่างเดียวแทน ซึ่งไม่ใช่เมืองที่เราอยากไป เพราะมันอยู่เลยเขตดูแสงเหนือ เหมือนเสียวันไปฟรีๆ แถมไม่ได้เห็นโบสถ์ไม้ เราลองขอเค้าอยู่แต่ใน Murmansk เค้าก็บอกไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำ ถ้าสมมติไปแล้วไม่เห็นแสงเหนือเลยทริปก็จะน่าเบื่อมากเลยนะ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเผื่อใจ บางคนไปตามล่าที่ไอซ์แลนด์ 2 สัปดาห์ยังไม่เห็นเลย) เค้าจึงเสนอเมืองอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเพิ่งเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ไม่กี่ปี ช่วงกลางวันมีกิจกรรมให้ทำ มีชนเผ่าท้องถิ่นให้ไปเยี่ยมชมเหมือนกัน เราก็เออออตาม จึงเปลี่ยนเมือง ไปเที่ยว Naryan-Mar แทน ซึ่งกลายเป็นที่มาของทริปนี้

โปรแกรมทัวร์ ขออภัยที่ภาพไม่ชัดนะครับ
ขอเล่าเกี่ยวกับเมืองนี้คร่าวๆ ก่อน เพราะเชื่อว่าเกือบทุกคนคงไม่เคยได้ยิน (เราก็ไม่เคย... แหะๆ) Naryan-Mar เป็นเมืองหลวงของเขตปกครองตนเองชาวเนเน็ต (Nenets Autonomous Okrug – NAO) ซึ่งอยู่ทางเหนือของรัสเซีย เลยไปอีกนิดเดียว ก็ถึงเขตขั้วโลก ถึงแม้เขต NAO จะกว้างใหญ่มาก แต่มีประชากรแค่ 40,000 คนเอง โดยราวครึ่งหนึ่ง อยู่ในเมือง Naryan-Mar เรียกได้ว่า 1 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนประชากรไม่ถึงขา 1 ข้าง (น้อยกว่าครึ่งคน) พื้นที่ส่วนใหญ่รกร้างว่างเปล่า เนื่องจากอากาศหนาวเย็นมาก ต้นไม้จึงขึ้นได้ยาก เรียกว่าอยู่ในเขตทุนดร้า ฤดูร้อนอาจเห็นต้นมอสขึ้นตามพื้น หรือเป็นพุ่มของเบอรี่นานาชนิด ถนนหลายแห่งจะถูกตัดขาดช่วงหน้าร้อนเนื่องจากน้ำแข็งละลาย แม่น้ำท่วมสูง แต่ในฤดูหนาว ทุกพื้นที่จะเต็มไปด้วยหิมะ การสัญจรต้องใช้ Snowmobile หรือสัตว์ลากเลื่อนเท่านั้น

แผนที่เขต (รูปจาก Grida.no และ Wikipedia)
จุดประสงค์ที่มารีวิว นอกจากเรื่องท่องเที่ยว ขอถือโอกาสเสริมเรื่องราววิธีการคิดของคนรัสเซีย ในการจัดการกับคนกลุ่มน้อยไปด้วยนะครับ
เราวางแผนบินไป St Petersburg ก่อน แล้วมาที่นี่ หลังจากเที่ยวเสร็จจะไป Moscow ก่อนกลับไทย พยายามหลีกช่วงเวลาพระจันทร์เต็มดวงออกไป (กลัวไม่เห็นแสงเหนือ) เครื่องบินเที่ยว St Petersburg ไป Naryan-Mar บินแค่สัปดาห์ละครั้ง แถมเที่ยวบินหน้าหนาวกับหน้าร้อนไม่เหมือนกันอีก (สร้างความสับสนตอนจองตั๋วมาก ขนาดเมลไปถามสายการบินยังตอบผิดๆ ถูกๆ เลย) แต่ถ้ามาจาก Moscow จะมีวันละเที่ยว สนามบินที่นี่เต็มไปด้วยเครื่องบินเล็ก และเฮลิคอปเตอร์ สำหรับนั่งต่อไปยังหมู่บ้านห่างไกล และหลังจากเมืองนี้พบก๊าซธรรมชาติ สนามบินนี้ก็เป็นที่เดินทางต่อของพนักงานของบริษัทน้ำมันไปยังสถานีขุดเจาะต่างๆ แม้ว่าทั้งเขตจะมีคนแค่หลักหมื่น แต่เที่ยวบินแต่ละวันมีคนโดยสารเป็นร้อยคนจนแน่นตลอด คนที่นี่ดูเหมือนส่วนใหญ่รู้จักกัน บางคนเดินขึ้นเครื่องมาก็ทักคนนู้นคนนี้ทั้งลำ เวลานั่งเครื่องบินจึงรู้สึกได้ว่าเราดูแปลกแยกกว่าชาวบ้าน

เมฆสุดลูกหูลูกตา ดับความหวังการดูแสงเหนือ
เราเดินทางจาก St Petersburg เครื่องลงตอนเย็น แม้จุดมุ่งหมายแต่แรกเพื่อจะมาดูแสงเหนือ แต่ก็เตรียมใจไว้บ้างแล้วว่าคงไม่ได้เห็น (แม้ยังแอบหวังลึกๆ) เพราะตอนเรานั่งเครื่องบินมาก็เห็นเมฆปกคลุมทุกพื้นที่ แบบไม่มีช่องว่างให้ดวงอาทิตย์ส่องเลย พยากรณ์บอกหิมะจะตกทั้งวันทั้งคืน วันนี้เรามาถึงสนามบิน ตกใจมากที่มันเล็กมากเป็นแค่อาคารหลังเล็กๆ อย่างกับบ้านคน กับประตู 2 บาน สำหรับขาเข้ากับขาออก

สภาพสนามบิน คนยืนออรับกระเป๋ากัน เพราะมีสายพานแคบๆ อยู่อันนึง
ไกด์ของเราคือคุณ อิกอร์ มารับเราที่สนามบิน อาชีพหลักของพี่แกคือคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ แต่ทำงาน part time เป็นไกด์ เป็นคนพูดภาษาอังกฤษได้ดี เพราะเรียนจบจากอเมริกา (รัฐบาลส่งไปเรียนตั้งแต่สมัยโซเวียตเลย) แกดูดีใจมากที่เจอเรา เพราะแทบไม่เคยมีชาวเอเชียมาในเขตนี้เลย และเค้าบอกว่าเราคือคนไทยกลุ่มแรก (ปกติชาวต่างชาติเข้าออกแถวนี้จะรู้กันหมด)

วีดีโอแนะนำที่พัก
มาถึงวันแรก ในโปรแกรมให้เลือกว่าจะนอนโรงแรมในเมือง หรือจะไปนอนนอกเมืองในศูนย์วัฒนธรรม NAO ซึ่งเป็นห้องแยก แต่มีห้องน้ำรวม ที่นี่เคยใช้จัดเข้าค่ายลูกเสือด้วย แต่เราก็เลือกนอนนอกเมืองเพราะอยากจะเห็นแสงเหนือ จริงๆ ก็แอบหวั่นๆ ว่าจะสภาพแย่หรือเปล่า เพราะไม่มีรีวิวที่พักเลย โดยที่พักนี้เป็นของรัฐบาล พนักงานทั้งหมดเป็นข้าราชการและลูกจ้างของรัฐ มาพักจริงช่วงกลางวันมีพนักงานเดินกันขวักไขว่ คุณอิกอร์เอง ก็ทำงานให้หนังสือพิมพ์ของรัฐบาลเช่นกัน ดังนั้นการพักที่นี่จึงให้กลิ่นอายความรู้สึกถึงยุคโซเวียตที่มีแต่คนทำงานให้รัฐบาล ทำงานกันตามระบบข้าราชการอยู่บ้าง

สภาพที่พัก

ขาดไม่ได้กับสถานที่ราชการทุกหนแห่ง... ธงชาติ กับเฮียปูติน
ศูนย์วัฒนธรรม สร้างขึ้นเพื่อนำเสนอเรื่องราวของชาวเนเน็ต ซึ่งอยู่มานานเป็นพันปีแล้ว ไม่มีใครทราบถิ่นกำเนิดแน่ชัด เป็นพวกเรร่อน ไม่มีที่พักถาวร ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ และเลี้ยงกวางเรนเดียร์ โดยกวางเรนเดียร์จะหาอาหารพวกมอสและไลเคนกินตามพื้นไปเรื่อยๆ (เป็นสัตว์ไม่กี่ชนิดในโลกที่ย่อยไลเคนได้) ทำให้พวกเขาต้องย้ายที่พักตามไปด้วย กระท่อมที่พักเค้าจึงสร้างอย่างง่ายๆ เรียกว่าชุม (chum) โดยชาวเนเน็ตโม้ให้ฟังว่าเค้าใช้เวลาประกอบชุม แค่ครึ่ง ชม. เท่านั้น (จะเชื่อดีมั้ย)

ตัวอย่าง chum
วันแรก เรามาที่ chum จำลอง ที่ตั้งอยู่ในศูนย์วัฒนธรรม มาถึงไกด์ก็พาเรามานั่งกินข้าวในชุม มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับโดยชาวเนเน็ตที่ทำงานในศูนย์วัฒนธรรมนี้เอง เป็น shaman ชื่อว่า Kolya ก่อนเข้าชุม ต้องทำพิธีผูกริบบิ้นที่ต้นไม้ใหญ่ เพื่อขอพรให้โชคดี

ผูกริบบิ้น
อาหารมื้อนี้ จัดเลี้ยงให้แบบเต็มที่ เริ่มด้วยซุบกระดูกกวางเรนเดียร์ ที่เซิร์ฟมาเป็นแก้วให้ยกดื่มเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเนื้อกวางต้ม ไส้กรอกกวาง เนื้อปลาที่จับจากแม่น้ำใกล้ๆ (แม่ครัวไปตกปลาด้วยตนเอง) กินคู่กับน้ำแครนเบอรี่ และที่ขาดไม่ได้ คือวอดก้าของที่นี่ (ใครไม่ชอบก็มีไวน์ให้ด้วย) แต่อาหารที่นี่แทบจะหาผัก ผลไม้ไม่ได้ เนื่องจากต้องเดินทางมาไกลมาก ผักวันนี้จึงมีเพียงมะเขือเทศและแตงกวา และมีมันฝรั่งต้มอีกเล็กน้อย

รูปอาหารวันแรก คุณอิกอร์ นั่งหัวโต๊ะเลย
วันที่สองตามกำหนดการเดิม เค้าจะให้เราทั้งหมด 5 คน รวมไกด์ นั่งลากเลื่อนที่พ่วงกับรถ snow mobile ไป 30-60 กิโลเมตร เพื่อไปดูชาวเนเน็ตที่อาศัยในทุนดร้า มีกวางเรนเดียร์เกือบร้อยตัว และนอนค้างที่นั่นในถุงนอนหนึ่งคืนใน chum เลย ไม่มีห้องน้ำ ใช้วิธีขุดหิมะเอา แต่พอเขาเห็นว่าภรรยาท้อง 7 เดือน จึงจัดโปรแกรมใหม่ เป็นนั่งรถแค่ไม่กี่กิโล ไป chum ที่ใกล้ที่สุด โดยที่นี่มีกวางเรนเดียร์แค่ตัวเดียว... อดเห็นฝูงกวางเลย

ลากเลื่อน…. เรานั่งที่เป็นน้ำแข็งแบบนี้แหละครับ
ลากเลื่อนวิ่งผ่านอากาศหนาว -10 องศา นั้นหนาวมาก แต่บรรยากาศรอบๆ นั้นสวยงามที่สุด พอไปถึง คนขับ snow mobile ให้เราลองขับด้วย (จริงๆ ต้องมีใบขับขี่นะ เพราะมันขับยากกว่ามอเตอร์ไซค์มาก) มาถึงที่นี่เราพบกับครอบครัวชาวเนเน็ต ที่อาศัยในทุนดร้าจริงๆ มีลูก 5 คน โดยส่วนใหญ่ลูกของพวกเขาจะอยู่ในโรงเรียน โดยมีรัฐบาลให้สวัสดิการ ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ใครที่อยู่ไกลมาก รัฐบาลใจป้ำออกเงินค่าเฮลิคอปเตอร์ เพื่อพบครอบครัวในช่วงปิดเทอมให้ด้วย สิ่งเหล่านี้ แสดงว่ารัสเซียให้ความสำคัญกับการศึกษาของชนกลุ่มน้อยมากจริงๆ เพื่อไม่ให้เกิดการรู้สึกแบ่งแยกจากศูนย์กลางของชาติ

ครอบครัวชาวเนเน็ต หน้าตาแบบเอเชีย แต่ตาสีฟ้า
ชุมสมัยก่อนจะบุด้วยหนังกวางเรนเดียร์ โดยหลังหนึ่งต้องใช้กวาง 100-120 ตัว เพราะต้องบุหนาสองชั้นให้ภายในอบอุ่น ทำให้ปัจจุบันราคาแพงมาก หลังหนึ่งเป็นเงินหลายแสนบาท เดี๋ยวนี้บางแห่งก็ใช้ผ้าใบรองด้านในแทน แต่ชาวบ้านที่อยู่ในทุนดร้าจริงๆ ก็ยังใช้หนังกวางแท้เนื่องจากอุ่นกว่ามาก ในชุมตรงกลางก่อกองไฟ สมัยใหม่ก็ก่อในเตา และส่วนเหนือสุดของชุมจะมีรูระบายอากาศข้างบน เพื่อระบายควัน หิมะที่ตกลงมาทางรูนี้จะถูกเตาละลายและระเหยไป ก่อนจะถึงพื้น วันนี้เราได้กินเนื้อกวางเรนเดียร์กันจนอิ่ม

เรนเดียร์กับลูกชายคนนึงของครอบครัวนี้ ตัวนี้เลี้ยงไว้ลากเลื่อนนะ ไม่ได้เอาไว้เป็นอาหาร
วันนี้เราลองคุยกับชาวบ้านถึงยุคโซเวียต ว่าเขาอยู่กันอย่างไร พบว่าคนแก่ๆ หลายคนยังคิดถึงยุคเก่าๆ อยู่ เขาบอกว่าเวลาอยากได้อะไร ก็สามารถแบบมือขอรัฐบาลได้เลย เช่นอย่างได้เครื่องปั่นไฟ ก็มีจัดสรรให้ทุกคน บางทีได้ของมากกว่าที่ต้องการด้วย บางคนก็อยากกลับไปยุคเก่า (อาจจะลืมไปว่า สุดท้ายระบบนี้ทำให้รัฐบาลถังแตก)
[CR] Review: เที่ยว Naryan-Mar, Russia
ช่วงปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวรัสเซีย กับครอบครัว รวมทั้งกรุ๊ปมี 4 คน โดยมีภรรยาผมที่กำลังตั้งครรภ์ไปด้วย ตอนแรกก็คงเหมือนหลายๆ คนที่จะไปรัสเซีย คือวางแผนไปเที่ยว St. Petersburg กับ Moscow แต่เนื่องจากครอบครัวเราไม่ได้ชอบดูวังอะไรมาก จึงตัดสินใจว่าจะลองหาที่เที่ยวอื่นๆ ด้วย พอดีไปเจอในบอร์ด Trekkingthai ว่า Russia เองก็ดูแสงเหนือได้นะ (น่าจะเป็นประเทศเดียวเลยนะเนี่ย ที่ดูได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า) โดยที่นิยมไปกัน คือ เมือง Murmansk อยู่ในเขต Arctic circle ซึ่งถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิอากาศแถบนี้เลย แต่เนื่องจากทั้งกลุ่มไม่มีใครรู้ภาษารัสเซียเลย เราจึงหาทัวร์ภาษาอังกฤษ ก็ไปพบบริษัททัวร์แห่งหนึ่งที่ดูน่าเชื่อถือ ชื่อ Nordic travel เราจึงตัดสินใจจองทริป ไป Murmansk ต่อด้วยเมือง Lovozero ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ เพื่อไปพบกับชนเผ่า Sami แล้วนั่งรถลงมา Petrozavodsk ไปเกาะ Kizhi เพื่อดูโบสถ์ไม้
โบสถ์ไม้ที่ตั้งใจไปดู (หาจาก Google)
แต่ปรากฏว่าช่วงที่เราไป เกาะ Kizhi ดันปิดซะอย่างนั้น จะไปได้ก็แต่ทางเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น ถ้าจะไปกับทัวร์เค้า เค้าจะพาเราไปเที่ยวในตัวเมือง Petrozavodsk อย่างเดียวแทน ซึ่งไม่ใช่เมืองที่เราอยากไป เพราะมันอยู่เลยเขตดูแสงเหนือ เหมือนเสียวันไปฟรีๆ แถมไม่ได้เห็นโบสถ์ไม้ เราลองขอเค้าอยู่แต่ใน Murmansk เค้าก็บอกไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำ ถ้าสมมติไปแล้วไม่เห็นแสงเหนือเลยทริปก็จะน่าเบื่อมากเลยนะ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเผื่อใจ บางคนไปตามล่าที่ไอซ์แลนด์ 2 สัปดาห์ยังไม่เห็นเลย) เค้าจึงเสนอเมืองอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเพิ่งเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ไม่กี่ปี ช่วงกลางวันมีกิจกรรมให้ทำ มีชนเผ่าท้องถิ่นให้ไปเยี่ยมชมเหมือนกัน เราก็เออออตาม จึงเปลี่ยนเมือง ไปเที่ยว Naryan-Mar แทน ซึ่งกลายเป็นที่มาของทริปนี้
โปรแกรมทัวร์ ขออภัยที่ภาพไม่ชัดนะครับ
ขอเล่าเกี่ยวกับเมืองนี้คร่าวๆ ก่อน เพราะเชื่อว่าเกือบทุกคนคงไม่เคยได้ยิน (เราก็ไม่เคย... แหะๆ) Naryan-Mar เป็นเมืองหลวงของเขตปกครองตนเองชาวเนเน็ต (Nenets Autonomous Okrug – NAO) ซึ่งอยู่ทางเหนือของรัสเซีย เลยไปอีกนิดเดียว ก็ถึงเขตขั้วโลก ถึงแม้เขต NAO จะกว้างใหญ่มาก แต่มีประชากรแค่ 40,000 คนเอง โดยราวครึ่งหนึ่ง อยู่ในเมือง Naryan-Mar เรียกได้ว่า 1 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนประชากรไม่ถึงขา 1 ข้าง (น้อยกว่าครึ่งคน) พื้นที่ส่วนใหญ่รกร้างว่างเปล่า เนื่องจากอากาศหนาวเย็นมาก ต้นไม้จึงขึ้นได้ยาก เรียกว่าอยู่ในเขตทุนดร้า ฤดูร้อนอาจเห็นต้นมอสขึ้นตามพื้น หรือเป็นพุ่มของเบอรี่นานาชนิด ถนนหลายแห่งจะถูกตัดขาดช่วงหน้าร้อนเนื่องจากน้ำแข็งละลาย แม่น้ำท่วมสูง แต่ในฤดูหนาว ทุกพื้นที่จะเต็มไปด้วยหิมะ การสัญจรต้องใช้ Snowmobile หรือสัตว์ลากเลื่อนเท่านั้น
แผนที่เขต (รูปจาก Grida.no และ Wikipedia)
จุดประสงค์ที่มารีวิว นอกจากเรื่องท่องเที่ยว ขอถือโอกาสเสริมเรื่องราววิธีการคิดของคนรัสเซีย ในการจัดการกับคนกลุ่มน้อยไปด้วยนะครับ
เราวางแผนบินไป St Petersburg ก่อน แล้วมาที่นี่ หลังจากเที่ยวเสร็จจะไป Moscow ก่อนกลับไทย พยายามหลีกช่วงเวลาพระจันทร์เต็มดวงออกไป (กลัวไม่เห็นแสงเหนือ) เครื่องบินเที่ยว St Petersburg ไป Naryan-Mar บินแค่สัปดาห์ละครั้ง แถมเที่ยวบินหน้าหนาวกับหน้าร้อนไม่เหมือนกันอีก (สร้างความสับสนตอนจองตั๋วมาก ขนาดเมลไปถามสายการบินยังตอบผิดๆ ถูกๆ เลย) แต่ถ้ามาจาก Moscow จะมีวันละเที่ยว สนามบินที่นี่เต็มไปด้วยเครื่องบินเล็ก และเฮลิคอปเตอร์ สำหรับนั่งต่อไปยังหมู่บ้านห่างไกล และหลังจากเมืองนี้พบก๊าซธรรมชาติ สนามบินนี้ก็เป็นที่เดินทางต่อของพนักงานของบริษัทน้ำมันไปยังสถานีขุดเจาะต่างๆ แม้ว่าทั้งเขตจะมีคนแค่หลักหมื่น แต่เที่ยวบินแต่ละวันมีคนโดยสารเป็นร้อยคนจนแน่นตลอด คนที่นี่ดูเหมือนส่วนใหญ่รู้จักกัน บางคนเดินขึ้นเครื่องมาก็ทักคนนู้นคนนี้ทั้งลำ เวลานั่งเครื่องบินจึงรู้สึกได้ว่าเราดูแปลกแยกกว่าชาวบ้าน
เมฆสุดลูกหูลูกตา ดับความหวังการดูแสงเหนือ
เราเดินทางจาก St Petersburg เครื่องลงตอนเย็น แม้จุดมุ่งหมายแต่แรกเพื่อจะมาดูแสงเหนือ แต่ก็เตรียมใจไว้บ้างแล้วว่าคงไม่ได้เห็น (แม้ยังแอบหวังลึกๆ) เพราะตอนเรานั่งเครื่องบินมาก็เห็นเมฆปกคลุมทุกพื้นที่ แบบไม่มีช่องว่างให้ดวงอาทิตย์ส่องเลย พยากรณ์บอกหิมะจะตกทั้งวันทั้งคืน วันนี้เรามาถึงสนามบิน ตกใจมากที่มันเล็กมากเป็นแค่อาคารหลังเล็กๆ อย่างกับบ้านคน กับประตู 2 บาน สำหรับขาเข้ากับขาออก
สภาพสนามบิน คนยืนออรับกระเป๋ากัน เพราะมีสายพานแคบๆ อยู่อันนึง
ไกด์ของเราคือคุณ อิกอร์ มารับเราที่สนามบิน อาชีพหลักของพี่แกคือคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ แต่ทำงาน part time เป็นไกด์ เป็นคนพูดภาษาอังกฤษได้ดี เพราะเรียนจบจากอเมริกา (รัฐบาลส่งไปเรียนตั้งแต่สมัยโซเวียตเลย) แกดูดีใจมากที่เจอเรา เพราะแทบไม่เคยมีชาวเอเชียมาในเขตนี้เลย และเค้าบอกว่าเราคือคนไทยกลุ่มแรก (ปกติชาวต่างชาติเข้าออกแถวนี้จะรู้กันหมด)
วีดีโอแนะนำที่พัก
มาถึงวันแรก ในโปรแกรมให้เลือกว่าจะนอนโรงแรมในเมือง หรือจะไปนอนนอกเมืองในศูนย์วัฒนธรรม NAO ซึ่งเป็นห้องแยก แต่มีห้องน้ำรวม ที่นี่เคยใช้จัดเข้าค่ายลูกเสือด้วย แต่เราก็เลือกนอนนอกเมืองเพราะอยากจะเห็นแสงเหนือ จริงๆ ก็แอบหวั่นๆ ว่าจะสภาพแย่หรือเปล่า เพราะไม่มีรีวิวที่พักเลย โดยที่พักนี้เป็นของรัฐบาล พนักงานทั้งหมดเป็นข้าราชการและลูกจ้างของรัฐ มาพักจริงช่วงกลางวันมีพนักงานเดินกันขวักไขว่ คุณอิกอร์เอง ก็ทำงานให้หนังสือพิมพ์ของรัฐบาลเช่นกัน ดังนั้นการพักที่นี่จึงให้กลิ่นอายความรู้สึกถึงยุคโซเวียตที่มีแต่คนทำงานให้รัฐบาล ทำงานกันตามระบบข้าราชการอยู่บ้าง
สภาพที่พัก
ขาดไม่ได้กับสถานที่ราชการทุกหนแห่ง... ธงชาติ กับเฮียปูติน
ศูนย์วัฒนธรรม สร้างขึ้นเพื่อนำเสนอเรื่องราวของชาวเนเน็ต ซึ่งอยู่มานานเป็นพันปีแล้ว ไม่มีใครทราบถิ่นกำเนิดแน่ชัด เป็นพวกเรร่อน ไม่มีที่พักถาวร ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ และเลี้ยงกวางเรนเดียร์ โดยกวางเรนเดียร์จะหาอาหารพวกมอสและไลเคนกินตามพื้นไปเรื่อยๆ (เป็นสัตว์ไม่กี่ชนิดในโลกที่ย่อยไลเคนได้) ทำให้พวกเขาต้องย้ายที่พักตามไปด้วย กระท่อมที่พักเค้าจึงสร้างอย่างง่ายๆ เรียกว่าชุม (chum) โดยชาวเนเน็ตโม้ให้ฟังว่าเค้าใช้เวลาประกอบชุม แค่ครึ่ง ชม. เท่านั้น (จะเชื่อดีมั้ย)
ตัวอย่าง chum
วันแรก เรามาที่ chum จำลอง ที่ตั้งอยู่ในศูนย์วัฒนธรรม มาถึงไกด์ก็พาเรามานั่งกินข้าวในชุม มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับโดยชาวเนเน็ตที่ทำงานในศูนย์วัฒนธรรมนี้เอง เป็น shaman ชื่อว่า Kolya ก่อนเข้าชุม ต้องทำพิธีผูกริบบิ้นที่ต้นไม้ใหญ่ เพื่อขอพรให้โชคดี
ผูกริบบิ้น
อาหารมื้อนี้ จัดเลี้ยงให้แบบเต็มที่ เริ่มด้วยซุบกระดูกกวางเรนเดียร์ ที่เซิร์ฟมาเป็นแก้วให้ยกดื่มเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเนื้อกวางต้ม ไส้กรอกกวาง เนื้อปลาที่จับจากแม่น้ำใกล้ๆ (แม่ครัวไปตกปลาด้วยตนเอง) กินคู่กับน้ำแครนเบอรี่ และที่ขาดไม่ได้ คือวอดก้าของที่นี่ (ใครไม่ชอบก็มีไวน์ให้ด้วย) แต่อาหารที่นี่แทบจะหาผัก ผลไม้ไม่ได้ เนื่องจากต้องเดินทางมาไกลมาก ผักวันนี้จึงมีเพียงมะเขือเทศและแตงกวา และมีมันฝรั่งต้มอีกเล็กน้อย
รูปอาหารวันแรก คุณอิกอร์ นั่งหัวโต๊ะเลย
วันที่สองตามกำหนดการเดิม เค้าจะให้เราทั้งหมด 5 คน รวมไกด์ นั่งลากเลื่อนที่พ่วงกับรถ snow mobile ไป 30-60 กิโลเมตร เพื่อไปดูชาวเนเน็ตที่อาศัยในทุนดร้า มีกวางเรนเดียร์เกือบร้อยตัว และนอนค้างที่นั่นในถุงนอนหนึ่งคืนใน chum เลย ไม่มีห้องน้ำ ใช้วิธีขุดหิมะเอา แต่พอเขาเห็นว่าภรรยาท้อง 7 เดือน จึงจัดโปรแกรมใหม่ เป็นนั่งรถแค่ไม่กี่กิโล ไป chum ที่ใกล้ที่สุด โดยที่นี่มีกวางเรนเดียร์แค่ตัวเดียว... อดเห็นฝูงกวางเลย
ลากเลื่อน…. เรานั่งที่เป็นน้ำแข็งแบบนี้แหละครับ
ลากเลื่อนวิ่งผ่านอากาศหนาว -10 องศา นั้นหนาวมาก แต่บรรยากาศรอบๆ นั้นสวยงามที่สุด พอไปถึง คนขับ snow mobile ให้เราลองขับด้วย (จริงๆ ต้องมีใบขับขี่นะ เพราะมันขับยากกว่ามอเตอร์ไซค์มาก) มาถึงที่นี่เราพบกับครอบครัวชาวเนเน็ต ที่อาศัยในทุนดร้าจริงๆ มีลูก 5 คน โดยส่วนใหญ่ลูกของพวกเขาจะอยู่ในโรงเรียน โดยมีรัฐบาลให้สวัสดิการ ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ใครที่อยู่ไกลมาก รัฐบาลใจป้ำออกเงินค่าเฮลิคอปเตอร์ เพื่อพบครอบครัวในช่วงปิดเทอมให้ด้วย สิ่งเหล่านี้ แสดงว่ารัสเซียให้ความสำคัญกับการศึกษาของชนกลุ่มน้อยมากจริงๆ เพื่อไม่ให้เกิดการรู้สึกแบ่งแยกจากศูนย์กลางของชาติ
ครอบครัวชาวเนเน็ต หน้าตาแบบเอเชีย แต่ตาสีฟ้า
ชุมสมัยก่อนจะบุด้วยหนังกวางเรนเดียร์ โดยหลังหนึ่งต้องใช้กวาง 100-120 ตัว เพราะต้องบุหนาสองชั้นให้ภายในอบอุ่น ทำให้ปัจจุบันราคาแพงมาก หลังหนึ่งเป็นเงินหลายแสนบาท เดี๋ยวนี้บางแห่งก็ใช้ผ้าใบรองด้านในแทน แต่ชาวบ้านที่อยู่ในทุนดร้าจริงๆ ก็ยังใช้หนังกวางแท้เนื่องจากอุ่นกว่ามาก ในชุมตรงกลางก่อกองไฟ สมัยใหม่ก็ก่อในเตา และส่วนเหนือสุดของชุมจะมีรูระบายอากาศข้างบน เพื่อระบายควัน หิมะที่ตกลงมาทางรูนี้จะถูกเตาละลายและระเหยไป ก่อนจะถึงพื้น วันนี้เราได้กินเนื้อกวางเรนเดียร์กันจนอิ่ม
เรนเดียร์กับลูกชายคนนึงของครอบครัวนี้ ตัวนี้เลี้ยงไว้ลากเลื่อนนะ ไม่ได้เอาไว้เป็นอาหาร
วันนี้เราลองคุยกับชาวบ้านถึงยุคโซเวียต ว่าเขาอยู่กันอย่างไร พบว่าคนแก่ๆ หลายคนยังคิดถึงยุคเก่าๆ อยู่ เขาบอกว่าเวลาอยากได้อะไร ก็สามารถแบบมือขอรัฐบาลได้เลย เช่นอย่างได้เครื่องปั่นไฟ ก็มีจัดสรรให้ทุกคน บางทีได้ของมากกว่าที่ต้องการด้วย บางคนก็อยากกลับไปยุคเก่า (อาจจะลืมไปว่า สุดท้ายระบบนี้ทำให้รัฐบาลถังแตก)