รถบีเอ็มดับเบิลยูสีดำค่อยๆแล่นฝ่าความมืดไปตามถนนลูกรังเล็กๆ สองข้างทางเป็นป่าหญ้าเงียบสงัด ภายในรถเปิดเพลงสากลเบาๆเพื่อคลายความวังเวง เขาฮัมเพลงตามสบายอารมณ์ สายตาเพ่งมองฝ่าความมืดไปยังฝั่งถนนด้านขวามือ ซักครู่ปรากฏบ้านภาพบ้านหลังหนึ่งลางๆห่างออกไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร เขาชะลอรถแล้วจอดข้างทางตรงข้ามบ้านหลังนั้นพอดี เหลือบมองนาฬิกาบนคอนโซลหน้า–สี่ทุ่มยี่สิบ อีกยี่สิบนาที เขาหยิบกระเป๋าเจมส์บอนด์สีดำที่วางอยู่บนเบาะด้านข้างคนขับขึ้นวางบนตักแล้วเปิดออก มองดูธนบัตรปึกใหญ่ห้าปึกในนั้น – ห้าล้านบาท...เขาเช็คเพื่อความแน่ใจ ปิดกระเป๋าแล้วมองผ่านกระจกรถเข้าไปยังตัวบ้านโดดเดี่ยวเดี่ยวสองชั้นมืดสนิท แสงจากดวงจันทร์สาดส่องพอให้เห็นสภาพที่ทรุดโทรม สีขาวลอกเห็นปูนข้างในเป็นรูปร่างประหลาด มีทางเดินเล็กๆทอดเข้าหาตัวบ้านผ่านป่าหญ้ารกชัด ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว มันเป็นสถานที่ที่เหมาะทีเดียว–เขาคิด พลางเอนเบาะนอนรอเวลา อีกสิบนาทีค่อยเข้าไป
ประตูรถเปิดออกชายกลางคน ร่างสูง ผิวขาว สวมเชิ้ตสีแดงก้าวเท้าออกมานอกตัวรถ แล้วหมุนตัวกลับมุดหัวเข้าไปในรถอีกทีหนึ่ง ก่อนจะลากกระเป๋าสีดำตามออกมา เขายืนมองบ้านหลังนั้นก่อนจะเดินข้ามฝั่งมา มืออีกข้างล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสแล็กสีดำ เขาใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องทางระหว่างที่เดินฝ่ากอหญ้าสูงเข้าไปตามทางเล็กๆ
ประตูบ้านไม่ได้ล็อค เขาส่องไฟสำรวจเข้าไปในตัวบ้าน มันเป็นบ้านโล่งๆ มีบันไดไม้สำหรับขึ้นไปชั้นสอง ห้องน้ำอยู่ใต้บันได ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องแต่งบ้านใดๆ นอกจากหยากไย่เกาะตามเพดาน และฝุ่นหนาเขลอะที่พื้น บรรยากาศชวนอึดอัด เขาจามเสียงดังเพราะฝุ่นที่ลอยคลุ้งในอากาศ เขาดับไฟจากมือถือแล้วยืนรอเงียบๆในความมืด ใกล้จะถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวพวกมันก็คงมา…
เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นที่หลังบ้าน เขาเดินไปดู พวกมันเดินเข้ามาพอดี มันมากันสามคน คนตัวสูงถือกระเป๋าแบบเดียวกับเขา อีกคนตัวเตี้ยกว่าคนแรกเล็กน้อยแต่ล่ำกว่า คนเดินนำหน้าเป็นชายร่างอ้วน ตัวเตี้ย สวมสร้อยทองเส้นใหญ่ มันคล้องโชว์หราอยู่นอกเสื้อเชิ๊ตลายดอกตัวใหญ่ เขายืนรอพวกนั้นเดินเข้ามาที่บริเวณกลางบ้านพอดี
“สวัสดีครับ คุณธัชชัย” คนอ้วนยืนอยู่ตรงหน้า อีกสองคนยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลัง ทั้งหมดยืนประจันหน้ากันภายใต้ความมืดมิด ดวงตาปรับรับกับความมืดทำให้เห็นใบหน้าชัดขึ้น
“สวัสดีครับ เสี่ยทรงพล ต้องเอาลูกน้องมาถึงสองคนเลยเหรอครับ” ธัชชัยพูดหยอกล้อเสี่ยตัวอ้วนด้วยท่าทีสนิท อันที่จริงคนที่จะมาพบกับเสี่ยทรงพลจะเป็นพ่อของเขา แต่สองสามปีมานี่พ่อของเขามีปัญหาด้านสุขภาพ เขาจึงต้องมารับช่วงต่อ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า อั๊วไว้ใจลื้ออยู่แล้ว สบายใจได้ อั้วแค่ให้พวกมันเดินมาเป็นเพื่อนเฉยๆ”
“คนอย่างเสี่ยทรงพล กลัวผีกับเขาด้วยหรือนี่” ธัชชัยหัวเราะเบาๆ
“ลื้ออย่าพูดมากน่า เริ่มเลยดีกว่า” เสี่ยพูดอย่างเขิลๆ “ไอ้โย่งเอากระเป๋าให้คุณธัชชัยสิ๊”
ลูกน้องคนตัวสูงก้าวเท้านำเข้ามาข้างหน้า ยื่นกระเป๋าให้ พูดสั้นๆ “สามหมื่นเม็ด” สีหน้ามันไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใดนัก
ธัชชัยยื่นกระเป๋าของตัวเองส่งให้ ขณะที่มืออีกข้างหยิบกระเป๋าอีกใบมา เขานั่งคุกเข่าลง เปิดกระเป๋า เม็ดยาสีชมพูจำนวนมากถูกอัดอยู่ในถุงพลาสติกพันด้วยผ้าเทปเป็นมัดๆ หลายมัดในกระเป๋า เขามองมันเพียงคร่าวๆเท่านั้นก่อนจะปิดกระเป๋าลงแล้วยืนขึ้น–ไม่จำเป็นต้องตรวจละเอียดมากนัก คู่ค้าคนนี้ของเขาไว้ใจได้...
“ตรวจแค่พอเป็นพิธีเฉยๆ” เขากล่าว เสี่ยยิ้มรับ
ซักครู่ลูกน้องเสี่ยหันไปบอก “ครบครับเสี่ย” แล้วลุกเดินถือกระเป๋าไปยืนอยู่ด้านหลังตามเดิม
“เอาละ เห็นทีคงต้องแยกย้ายกันกลับบ้านนอน” เสี่ยพูด
“ยินดีที่ได้ร่วมธุรกิจด้วยครับเสี่ย” หน้าเขาระรื่น ยื่นแขนจับมือกันก่อนแยกย้าย
“อั๊วจอดรถไว้ตรงชายป้าด้านหลังโน้น ไว้เจอกันใหม่นะคุณธัชชัย อ้อ ขอให้พ่อลื้อหายไวๆแล้วกัน”
ประตูหลังบ้านปิดไล่หลังเสี่ยและลูกน้อง เขาถอนหายใจ – รีบกลับไปพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้มีอะไรต้องทำอีกหลายอย่าง..เขาต้องจัดการกระจายยาล็อตนี้ไปให้ลูกค้ารายย่อยแต่ละกลุ่ม ซึ่งต้องมีการปรึกษา,นัดแนะ,และวางแผนเป็นอย่างดี
ธัชชัยเดินออกกลับไปทางเดิมที่เขาเข้ามา พร้อมกระเป๋าใบใหม่หนักกว่าเดิม เปิดไฟฉายที่โทรศัพท์ เดินฝ่ากอหญ้าตรงไปยังรถที่จอดอยู่ ทันใดนั้นเองเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้น ไฟหน้ารถตัดผ่านความมืดไปเบื้องหน้า
“เฮ้ย” เขาร้องเสียงหลง แทบจะในทันที รถพุ่งออกไป เขาวิ่งตามออกไปบนถนน แต่ไฟท้ายสีแดงห่างออกไปเรื่อยๆ เขาหยุดวิ่ง ก้มหน้าหอบยอมแพ้ สบถออกมาสองสามคำ “ไอ้เวรเอ้ย”
ซักครู่หนึ่ง แสงไฟสีส้มสาดเข้าที่แผ่นหลังของเขา เผยให้เห็นเงาดำเป็นรูปร่างทอดไปบนพื้น เสียงล้อยางครูดกับหินบนถนนลูกรัง เสียงบีบดังแตรตามมา เขาหันหลังกลับ ประจันหน้ากับรถฟอร์จูนเนอร์สีบรอนซ์ ชายหนุ่มคนหนึ่งเลื่อนกระจกประตูรถโผล่หัวออกมา
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณ” ชายคนนั้นตะโกนมา
“รถผม...” เขายังหอบ “รถผมถูกขโมย” พลางชี้มือไปด้านหลัง ไฟแดงท้ายรถบีเอ็มยังเผยให้เห็นอยู่ลิบๆบนถนนลูกรังทอดยาว
“งั้น..ขึ้นมาเลยครับ” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นร้อนลน
ธัชชัยไม่รอให้เสียเวลา วิ่งไปขึ้นบนนั่งบนที่นั่งด้านข้างคนขับ มีความหวังขึ้นอีกครั้ง...คนขับกระชากรถออกทันที เร่งความเร็วหมาย ไล่ตามไฟท้ายสีแดง ห่างไกล เสียงล้อบดเสียดหินลูกรังดีดกระทบบังโคลนเกรียวกราว ธัชชยหันมองใบหน้าคนขับเลือนรางในความมืด เขากำลังเพ่งสมาธิ แสงสะท้อนจางๆจากไฟหน้ารถเผยให้ใบหน้าเลอะเลือน
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วย...ไอ้เวรนั่น จู่ๆก็ขับรถผมออกไปเฉยเลย” ธัชชัยพูด “ต่อหน้าต่อตาผม ผมวิ่งตามไม่ทัน”
“ไอ้พวกนี้ มันมีความเป็นมืออาชีพมาก มันใช้เวลาทำงานไม่กี่นาทีเท่านั้น” เขาตอบ เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วตาม
เวลาผ่านไป....
“คุณว่ามันจะรู้ไหมว่าเรากำลังตามมันอยู่”
“ตอนนี้คงยังไม่รู้”
“คุณจะตามมันไปถึงเมื่อไร..ผมเกรงใจคุณจังเลย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกผมอยากช่วย” แล้วพูดต่อ “เราจะตามจนถึงบ้านมันเลย”
“ความจริงคุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ”
เขายิ้ม ไม่พูดอะไร
“แล้วถ้าเราตามไปถึงบ้านมันแล้วเราจะทำไงต่อ”
“ผมมีแผน” เขายิ้มแฝงเลศนัย
เขาบังคับรถเลี้ยวออกจากซอยสู่ถนนคอนกรีต เขารีบเร่งเครื่องตามเพราะถนนใหญ่ไม่ได้มีรถแค่คันเดียว อาจทำให้สับสนได้ ต้องอยู่ในระยะพอดี และไม่ใกล้เกินไปที่จะทำให้มันสงสัย ถนนมีสองฝั่ง ไฟรถจากฝั่งตรงข้ามสาดเข้าตามาเป็นบางที คนขับนั่งเงียบไม่พูดอะไร จนเวลาผ่านไป...
“มันขับรถแปลกๆ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า” เขาพูด
“หมายความว่าไง” ธัชชัยหันมองหน้า
“มันอาจจะสงสัยเราแล้วก็ได้”
จู่มันก็เร่งเครื่องเร็วขึ้นฉันพลัน พุ่งทิ้งห่างออกไป
“มันรู้ตัวแล้วจริงๆด้วย” เขากดเท้าเร่งเครื่องตาม
มันปาดรถซ้ายขวาไปมาด้วยความเร็ว เสียงบีบแตรจากรถคันอื่นไล่หลังมัน เขาขับตามไป รถส่ายโยกไปมาตามแรงเหวี่ยง เสียงบีบแตรรถไล่หลังมาเช่นกัน ธัชชัยเกาะที่จับไว้แน่น ตาลุกโต ปากสั่นคล้ายกำลังสวดภาวนา บางช่วงถนนโล่งไม่มีรถ คนขับก็ยิ่งเหยียบกดคันเร่งให้มิดลงไปอีก เสียงเครื่องยนต์ครางสนั่น แต่ก็ฟังดูนุ่มนวล แสงไฟวูบวาบจากเสาไฟที่เว้นอยู่เป็นระยะแต่เคลื่อนผ่านไปรวดเร็ว มีโค้งแยกออกไป เขาขับตาม แรงเหวี่ยงเทน้ำหนักตัวมาอยู่ข้างเดียว ก่อนจะเข้าสู่ทางปกติ ธัชชัยมองถนนทอดยาวลึกไปเข้าไปในความมืด นึกสงสัยว่าจะต้องตามไปจนถึงเมื่อไร แต่คนขับยังขับตามไปเรื่อยๆ
ไฟเบรกท้ายรถบีเอ็มสว่างวูบ มันชะลอความเร็วลง แล้วหักเลี้ยวเข้าไปตรงทางแยกเล็กๆ
“มันจะไปไหน” ธัชชัยถาม
เขาไม่ตอบ แต่หักรถตามเข้าไป ซักครู่รถบีเอ็มหยุดจอดลง เขาขับรถตามมาจอดจ่อท้าย
“นี่มันอะไรกัน” ธัชชัยงงงวยไปหมด “นี่มันที่ไหน มันมาที่นี่ทำไม”
“คุณลองมองไปทางนั้นสิ” เขาชี้มือไปทางกระจกฝั่งที่ธัชชัยนั่งอยู่ ธัชชัยมองตามผ่านกระจกไป
เป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่ ด้านหน้ามีป้ายใหญ่ ตัวอักษรชัดเจน ‘สถานีตำรวจนครบาล’
“นี่มันอะไรกัน ผมไม่เข้าใจ” ธัชชัยลุกลน
เขายิ้ม หัวเราะในลำคอ ประตูรถฝั่งธัชชัยถูกเปิดออก
“ยกมือขึ้นเหนือหัว” กระบอกปืนเงินเงาวับจ่อจี้ไปที่ธัชชัย เขายังงงงวยไม่ทราบเหตุผล
“ก็ในกระเป๋าคุณมีอะไรล่ะ” คนขับรถเฉลยให้ “คุณถูกจับแล้ว ข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง”
ธัชชัยหน้าซีด...
โจรขโมยรถ
ประตูรถเปิดออกชายกลางคน ร่างสูง ผิวขาว สวมเชิ้ตสีแดงก้าวเท้าออกมานอกตัวรถ แล้วหมุนตัวกลับมุดหัวเข้าไปในรถอีกทีหนึ่ง ก่อนจะลากกระเป๋าสีดำตามออกมา เขายืนมองบ้านหลังนั้นก่อนจะเดินข้ามฝั่งมา มืออีกข้างล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสแล็กสีดำ เขาใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องทางระหว่างที่เดินฝ่ากอหญ้าสูงเข้าไปตามทางเล็กๆ
ประตูบ้านไม่ได้ล็อค เขาส่องไฟสำรวจเข้าไปในตัวบ้าน มันเป็นบ้านโล่งๆ มีบันไดไม้สำหรับขึ้นไปชั้นสอง ห้องน้ำอยู่ใต้บันได ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องแต่งบ้านใดๆ นอกจากหยากไย่เกาะตามเพดาน และฝุ่นหนาเขลอะที่พื้น บรรยากาศชวนอึดอัด เขาจามเสียงดังเพราะฝุ่นที่ลอยคลุ้งในอากาศ เขาดับไฟจากมือถือแล้วยืนรอเงียบๆในความมืด ใกล้จะถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวพวกมันก็คงมา…
เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นที่หลังบ้าน เขาเดินไปดู พวกมันเดินเข้ามาพอดี มันมากันสามคน คนตัวสูงถือกระเป๋าแบบเดียวกับเขา อีกคนตัวเตี้ยกว่าคนแรกเล็กน้อยแต่ล่ำกว่า คนเดินนำหน้าเป็นชายร่างอ้วน ตัวเตี้ย สวมสร้อยทองเส้นใหญ่ มันคล้องโชว์หราอยู่นอกเสื้อเชิ๊ตลายดอกตัวใหญ่ เขายืนรอพวกนั้นเดินเข้ามาที่บริเวณกลางบ้านพอดี
“สวัสดีครับ คุณธัชชัย” คนอ้วนยืนอยู่ตรงหน้า อีกสองคนยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลัง ทั้งหมดยืนประจันหน้ากันภายใต้ความมืดมิด ดวงตาปรับรับกับความมืดทำให้เห็นใบหน้าชัดขึ้น
“สวัสดีครับ เสี่ยทรงพล ต้องเอาลูกน้องมาถึงสองคนเลยเหรอครับ” ธัชชัยพูดหยอกล้อเสี่ยตัวอ้วนด้วยท่าทีสนิท อันที่จริงคนที่จะมาพบกับเสี่ยทรงพลจะเป็นพ่อของเขา แต่สองสามปีมานี่พ่อของเขามีปัญหาด้านสุขภาพ เขาจึงต้องมารับช่วงต่อ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า อั๊วไว้ใจลื้ออยู่แล้ว สบายใจได้ อั้วแค่ให้พวกมันเดินมาเป็นเพื่อนเฉยๆ”
“คนอย่างเสี่ยทรงพล กลัวผีกับเขาด้วยหรือนี่” ธัชชัยหัวเราะเบาๆ
“ลื้ออย่าพูดมากน่า เริ่มเลยดีกว่า” เสี่ยพูดอย่างเขิลๆ “ไอ้โย่งเอากระเป๋าให้คุณธัชชัยสิ๊”
ลูกน้องคนตัวสูงก้าวเท้านำเข้ามาข้างหน้า ยื่นกระเป๋าให้ พูดสั้นๆ “สามหมื่นเม็ด” สีหน้ามันไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใดนัก
ธัชชัยยื่นกระเป๋าของตัวเองส่งให้ ขณะที่มืออีกข้างหยิบกระเป๋าอีกใบมา เขานั่งคุกเข่าลง เปิดกระเป๋า เม็ดยาสีชมพูจำนวนมากถูกอัดอยู่ในถุงพลาสติกพันด้วยผ้าเทปเป็นมัดๆ หลายมัดในกระเป๋า เขามองมันเพียงคร่าวๆเท่านั้นก่อนจะปิดกระเป๋าลงแล้วยืนขึ้น–ไม่จำเป็นต้องตรวจละเอียดมากนัก คู่ค้าคนนี้ของเขาไว้ใจได้...
“ตรวจแค่พอเป็นพิธีเฉยๆ” เขากล่าว เสี่ยยิ้มรับ
ซักครู่ลูกน้องเสี่ยหันไปบอก “ครบครับเสี่ย” แล้วลุกเดินถือกระเป๋าไปยืนอยู่ด้านหลังตามเดิม
“เอาละ เห็นทีคงต้องแยกย้ายกันกลับบ้านนอน” เสี่ยพูด
“ยินดีที่ได้ร่วมธุรกิจด้วยครับเสี่ย” หน้าเขาระรื่น ยื่นแขนจับมือกันก่อนแยกย้าย
“อั๊วจอดรถไว้ตรงชายป้าด้านหลังโน้น ไว้เจอกันใหม่นะคุณธัชชัย อ้อ ขอให้พ่อลื้อหายไวๆแล้วกัน”
ประตูหลังบ้านปิดไล่หลังเสี่ยและลูกน้อง เขาถอนหายใจ – รีบกลับไปพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้มีอะไรต้องทำอีกหลายอย่าง..เขาต้องจัดการกระจายยาล็อตนี้ไปให้ลูกค้ารายย่อยแต่ละกลุ่ม ซึ่งต้องมีการปรึกษา,นัดแนะ,และวางแผนเป็นอย่างดี
ธัชชัยเดินออกกลับไปทางเดิมที่เขาเข้ามา พร้อมกระเป๋าใบใหม่หนักกว่าเดิม เปิดไฟฉายที่โทรศัพท์ เดินฝ่ากอหญ้าตรงไปยังรถที่จอดอยู่ ทันใดนั้นเองเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้น ไฟหน้ารถตัดผ่านความมืดไปเบื้องหน้า
“เฮ้ย” เขาร้องเสียงหลง แทบจะในทันที รถพุ่งออกไป เขาวิ่งตามออกไปบนถนน แต่ไฟท้ายสีแดงห่างออกไปเรื่อยๆ เขาหยุดวิ่ง ก้มหน้าหอบยอมแพ้ สบถออกมาสองสามคำ “ไอ้เวรเอ้ย”
ซักครู่หนึ่ง แสงไฟสีส้มสาดเข้าที่แผ่นหลังของเขา เผยให้เห็นเงาดำเป็นรูปร่างทอดไปบนพื้น เสียงล้อยางครูดกับหินบนถนนลูกรัง เสียงบีบดังแตรตามมา เขาหันหลังกลับ ประจันหน้ากับรถฟอร์จูนเนอร์สีบรอนซ์ ชายหนุ่มคนหนึ่งเลื่อนกระจกประตูรถโผล่หัวออกมา
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณ” ชายคนนั้นตะโกนมา
“รถผม...” เขายังหอบ “รถผมถูกขโมย” พลางชี้มือไปด้านหลัง ไฟแดงท้ายรถบีเอ็มยังเผยให้เห็นอยู่ลิบๆบนถนนลูกรังทอดยาว
“งั้น..ขึ้นมาเลยครับ” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นร้อนลน
ธัชชัยไม่รอให้เสียเวลา วิ่งไปขึ้นบนนั่งบนที่นั่งด้านข้างคนขับ มีความหวังขึ้นอีกครั้ง...คนขับกระชากรถออกทันที เร่งความเร็วหมาย ไล่ตามไฟท้ายสีแดง ห่างไกล เสียงล้อบดเสียดหินลูกรังดีดกระทบบังโคลนเกรียวกราว ธัชชยหันมองใบหน้าคนขับเลือนรางในความมืด เขากำลังเพ่งสมาธิ แสงสะท้อนจางๆจากไฟหน้ารถเผยให้ใบหน้าเลอะเลือน
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วย...ไอ้เวรนั่น จู่ๆก็ขับรถผมออกไปเฉยเลย” ธัชชัยพูด “ต่อหน้าต่อตาผม ผมวิ่งตามไม่ทัน”
“ไอ้พวกนี้ มันมีความเป็นมืออาชีพมาก มันใช้เวลาทำงานไม่กี่นาทีเท่านั้น” เขาตอบ เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วตาม
เวลาผ่านไป....
“คุณว่ามันจะรู้ไหมว่าเรากำลังตามมันอยู่”
“ตอนนี้คงยังไม่รู้”
“คุณจะตามมันไปถึงเมื่อไร..ผมเกรงใจคุณจังเลย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกผมอยากช่วย” แล้วพูดต่อ “เราจะตามจนถึงบ้านมันเลย”
“ความจริงคุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ”
เขายิ้ม ไม่พูดอะไร
“แล้วถ้าเราตามไปถึงบ้านมันแล้วเราจะทำไงต่อ”
“ผมมีแผน” เขายิ้มแฝงเลศนัย
เขาบังคับรถเลี้ยวออกจากซอยสู่ถนนคอนกรีต เขารีบเร่งเครื่องตามเพราะถนนใหญ่ไม่ได้มีรถแค่คันเดียว อาจทำให้สับสนได้ ต้องอยู่ในระยะพอดี และไม่ใกล้เกินไปที่จะทำให้มันสงสัย ถนนมีสองฝั่ง ไฟรถจากฝั่งตรงข้ามสาดเข้าตามาเป็นบางที คนขับนั่งเงียบไม่พูดอะไร จนเวลาผ่านไป...
“มันขับรถแปลกๆ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า” เขาพูด
“หมายความว่าไง” ธัชชัยหันมองหน้า
“มันอาจจะสงสัยเราแล้วก็ได้”
จู่มันก็เร่งเครื่องเร็วขึ้นฉันพลัน พุ่งทิ้งห่างออกไป
“มันรู้ตัวแล้วจริงๆด้วย” เขากดเท้าเร่งเครื่องตาม
มันปาดรถซ้ายขวาไปมาด้วยความเร็ว เสียงบีบแตรจากรถคันอื่นไล่หลังมัน เขาขับตามไป รถส่ายโยกไปมาตามแรงเหวี่ยง เสียงบีบแตรรถไล่หลังมาเช่นกัน ธัชชัยเกาะที่จับไว้แน่น ตาลุกโต ปากสั่นคล้ายกำลังสวดภาวนา บางช่วงถนนโล่งไม่มีรถ คนขับก็ยิ่งเหยียบกดคันเร่งให้มิดลงไปอีก เสียงเครื่องยนต์ครางสนั่น แต่ก็ฟังดูนุ่มนวล แสงไฟวูบวาบจากเสาไฟที่เว้นอยู่เป็นระยะแต่เคลื่อนผ่านไปรวดเร็ว มีโค้งแยกออกไป เขาขับตาม แรงเหวี่ยงเทน้ำหนักตัวมาอยู่ข้างเดียว ก่อนจะเข้าสู่ทางปกติ ธัชชัยมองถนนทอดยาวลึกไปเข้าไปในความมืด นึกสงสัยว่าจะต้องตามไปจนถึงเมื่อไร แต่คนขับยังขับตามไปเรื่อยๆ
ไฟเบรกท้ายรถบีเอ็มสว่างวูบ มันชะลอความเร็วลง แล้วหักเลี้ยวเข้าไปตรงทางแยกเล็กๆ
“มันจะไปไหน” ธัชชัยถาม
เขาไม่ตอบ แต่หักรถตามเข้าไป ซักครู่รถบีเอ็มหยุดจอดลง เขาขับรถตามมาจอดจ่อท้าย
“นี่มันอะไรกัน” ธัชชัยงงงวยไปหมด “นี่มันที่ไหน มันมาที่นี่ทำไม”
“คุณลองมองไปทางนั้นสิ” เขาชี้มือไปทางกระจกฝั่งที่ธัชชัยนั่งอยู่ ธัชชัยมองตามผ่านกระจกไป
เป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่ ด้านหน้ามีป้ายใหญ่ ตัวอักษรชัดเจน ‘สถานีตำรวจนครบาล’
“นี่มันอะไรกัน ผมไม่เข้าใจ” ธัชชัยลุกลน
เขายิ้ม หัวเราะในลำคอ ประตูรถฝั่งธัชชัยถูกเปิดออก
“ยกมือขึ้นเหนือหัว” กระบอกปืนเงินเงาวับจ่อจี้ไปที่ธัชชัย เขายังงงงวยไม่ทราบเหตุผล
“ก็ในกระเป๋าคุณมีอะไรล่ะ” คนขับรถเฉลยให้ “คุณถูกจับแล้ว ข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง”
ธัชชัยหน้าซีด...