@@@ มาทำความรู้จัก กับ ไข้เลือดออก มหันตภัยร้ายจากยุงลาย@@@

กระทู้สนทนา
ช่วงนี้ไข้เลือดออกระบาดเยอะในหลายพื้นที่ของเมืองไทย โดยเฉพาะช่วงนี้ คุณ ปอ ทฤษฏี ป่วยด้วยไข้เลือดออกรุนแรง เป็นข่าวที่ทุกคนติดตามกันอย่างตื่นตัว

ทำให้ได้รับการสอบถามเรื่องไข้เลือดออกจากเพื่อนๆ ทั้งใน FB และไลน์กลุ่มเป็นจำนวนมากเลยขอถือโอกาสรวบรวม นำมาตอบฝากเพื่อนๆ เป็นความรู้ เพิ่มอีกด้านนึง นอกเหนือจากที่คงรับทราบกันมาพอสมควร แล้ว

เลยอยากสรุปรวบรวม เรื่องที่ควรรู้ ตลอดจนข้อสงสัย และข้อพิพาท ที่พบบ่อยๆ มาให้ทำความเข้าใจกันอย่างละเอียด กันหน่อย
-------------------------------------
ไข้เลือดออกชื่อภาษาอังกฤษ มันคือ Dengue Hemorrhagic Fever (DHF) หรือ อีกชื่อคือ Thai Hemorrhagic Fever (THF)  บ่งบอกให้รู้ว่าประเทศไทยเราคือมหาอำนาจ เรื่องไข้เลือดออกมาการระบาดเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

คำถาม
ไข้เลือดออกเกิดจากอะไร

คำตอบ
เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ทราบกันอยู่แล้วว่า ไข้เลือด เป็นโรคที่ติดต่อมาสู่คนโดย การกัดของยุงลาย ที่เป็นพาหะนำเชื้อโรคนี้

แต่อาจจะยังมีความเชื่อเก่าๆ ที่ว่ายุงลายที่ทำให้เกิดไข้เลือดออก กัดคนเฉพาะตอนกลางวัน

แต่ข้อเท็จจริง ยุงลายที่นำเชื้อนี้ กัดคนทำให้เกิดโรคนี้ได้ กัดคนได้ทั้ง กลางวัน และในเวลากลางคืนด้วย ดังนั้น ไม่ว่านอนกลางคืนหรือกลางวันควรนอนในมุ้งกันยุงเสมอ

ธรรมชาติของยุงลายจะชอบวางไข่ในน้ำขังนิ่งและสะอาด ไม่ใช่น้ำเน่า ดังนั้น การป้องกันการแพร่พันธุ์ของยุงลาย ต้องกำจัดพวกแหล่งน้ำขัง ตามที่ต่างๆ และปิดฝาภาชนะเก็บกักน้ำไม่ให้ยุงลายมีที่วางไข่

คำถาม
ไข้เลือดออก คนที่เคยเป็นแล้วจะมีภูมิต้านทาน และเป็นอีกได้มั้ย

คำตอบ
ไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue Virus) ซึ่งในเมืองไทยเชื้อนี้ มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์

ใครที่เคยรับเชื้อสายพันธุ์ไหนแล้ว หลังจากหายดีร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อตัวนั้นขึ้นมา ถ้ามียุงลายที่มีเชื้อตัวเดิมมากัดอีก ร่างกายรับเชื้อนั้นแล้ว ร่ายกายที่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อตัวนั้น ก็จะกำจัดเชื้อนั้นไปได้ ไม่ป่วยเป็นโรคตลอดชีวิต  และมันยังมีภูมิคุ้มกันชั่วคราวๆ ราวๆ 6-12 เดือนสำหรับเชื้อตัวอื่นๆที่เหลือด้วยดังน้ัน ถ้ารับเชื้อตัวอื่นในระยะ 6-12 เดือนก็อาจจะไม่เป็นไข้เลือดออก

ปกติแล้ว ในการรับเชื้อตัวแรก ครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นร่างกายจะยังไม่เคยมีภูมิคุ้มกัน (Antibody) ต่อเชื้อเดงกี่ ทุกสายพันธุ์.  การติดเชื้อนี้ มักจะไม่มีอาการรุนแรง อาจจะแค่มี อาการไข้ แต่ไม่มีภาวะช้อค ไม่มีเลือดออก ซึ่งเราไม่เรียกว่าไข้เลือดออก แต่จะเรียกไข้เดงกี่( Dengue fever)เท่านั้น

แต่ถ้าเกิดการระบาดครั้งใหม่ และ โชคร้าย ที่เชื้อครั้งนี้ เป็นเชื้อคนล่ะสายพันธุ์กับที่คนถูกกัดเคยมีภูมิต้านทานมาก่อน มันก้อจะป้องกันไม่ได้ และตรงกันข้าม ภูมิต้านทานของเชื้อต่างสายพันธุ์เดิมที่มีในร่างกาย  จะมีปฏฺิกริยาตอบสนอง ต่อเชื้อใหม่ที่เป็นคนล่ะสายพันธุค่อนข้างรุนแรง ทำให้เกิด อาการของไข้เลือดออกได้

ถ้าคนไข้ ที่เป็นไข้เลือดออกนี้ หายเป็นปกติ คราวนี้ ก็จะจะมีภูมิกันเชื้อได้ 2 ใน 4 สายพันธุ์

ถ้าโดนยุงที่มีเชื้อ  2 ตัวเก่า ก็สบายมาก ไม่เป็นไรมีภูมิคุ้มกันกำจัดได้ ไม่เป็นโรค

แต่ถ้าแจ็คพ็อตเจอ เชื้อ 1 ใน 2 สายพันธุ์ที่เหลือ ก็จะเกิดโรคได้และอาการอาจจะรุนแรงกว่าการเป็นครั้งแรกได้ด้วย

และเช่นกัน ถ้าหายมาได้ คราวนี้ จะมีภูมิป้องกัน เชื้อได้ 3ใน 4 ตัว

และถ้า แจ็คพอ็ต ได้รับเชื้อ เจอ ตัวที่ 4  ตัวสุดท้ายที่เหลือ ไม่เคยเจอมาก่อน ก็จะเป็นไข้เลือดออกรอบที่ 3 ซึ่งมักจะหนักสุด

ถ้าหายรอดมาได้คราวนี้มีภูมิครบ 4 ตัวไม่เป็นไข้เลือดออกอีกแล้ว

ยกเว้น จะไปมีเชื้อกลายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นมา ในโลกนี้อีกค่อยว่ากันใหม่ ยิ้ม

คำถาม
มีคนเป็นไข้เลือดออกมากกว่า 3 ครั้งได้มั้ย

คำตอบ
ตามทฤษฏีอย่างที่ว่า มันเกิดได้แค่ 3 ครั้ง ไม่นับครั้งแรกที่เรียกว่าไข้ Dengue
แต่ที่บางคนให้ประวัติว่าเป็นไข้เลือดออกมากกว่านั้น อาจจะเป็นเพราะว่า การติดเชื้อไวรัสบางตัว อาจจะมีอาการ คล้ายไข้เลือดออกที่ไม่รุนแรง ทำให้วินิจฉัยผิดรวมไปเป็นไข้เลือดออกได้
แต่ถ้าไข้เลือดออกจริงๆ คนนึงไม่ควรเป็นเกิน 3 ครั้ง

คำถาม
คนไข้เลือดออกที่อาการหนัก หรือตาย เกิดจากการรักษาไม่ดี หรือ เป็นเหตุสุดวิสัย

คำตอบ
คนไข้ ไข้เลือดออก ที่อาการรุนแรง ได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง หรือ ล่าช้า มีโอกาส เกิดอาการรุนแรง และตายได้ เพิ่มมากขึ้น

แต่ในบางราย แม้จะรักษา ทันท่วงที เหมาะสมถูกต้องทุกอย่าง ถ้า อาการของโรครุนแรงผู้ป่วย ก็ยังเป็นหนัก และตายได้ เช่นกัน

ไม่มีทางรับประกันได้100%ว่า เป็นไข้เลือดออกแล้วจะไม่ตาย (อัตราตายโดยเฉลี่ยของไข้เลือดออกคือ 1:1000)

แต่อย่างที่บอกไว้ การได้รับการรักษาที่ถูกต้องทันเวลา เหมาะสม ช่วยเพิ่มโอกาสให้คนไข้หายเป็นปกติได้มากขึ้น

คำถาม
ไข้เลือดออกถ้าตรวจรู้เร็ว เข้ารับการรักษาเร็ว จะหายเร็วขึ้นมั้ย

คำตอบ
สั้นๆ คือ "ไม่"

ระยะดำเนินค่อนโรคไข้เลือดออก ค่อนข้างแน่นอน
ระยะฟักตัวของเชื้อ  
หลังจากยุงกัดแล้วส่วนใหญ่เชื้อจะฟักตัวในร่างกายผู้ป่วยประมาณ 5-8 วันก่อนเกิดอาการของโรคให้เห็น(ระยะฟักตัว ที่พบไวสุด 3 วัน ช้าสุด 13 วัน)

ระยะเวลาที่มีอาการของโรค

ระยะแรก เป็นระยะไข้สูง
ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง ประมาณ  4 วันแรก นับจากเริ่มมีไข้วันแรก
คนไข้ที่แพทย์สงสัยไข้เลือดออกเมื่อพบแพทย์ แพทย์จะซักถามวันเริ่มต้นของไข้เป็นพิเศษ เพราะว่ามีส่วนสำคัญในการคาดการณ์ช่วงเวลา เปลี่ยนแปลงของโรคนี้
การนับวันไข้ บางครั้งคนไข้กับหมอจะสื่อสารเข้าใจต่างกัน
เช่นสมมุติ เริ่มไข้ เช้าวันจันทร์ มาพบแพทย์ เช้าวันพุธ คนไข้อาจจะบอกกับหมอว่าเป็นไข้มา 3วัน (นับ จันทร์- อังคาร-พุธ) แต่ถ้าแพทย์จะนับ ว่าเป็นไข้มา 2 วัน ( จันทร์มาอังคาร 1 วัน และอังคารมาพุธ อีก 1 วัน รวม 2 วัน)

ในระยะ 4 วันแรกนี้ คนไข้จะมีไข้สูงลอย ไข้ไม่ลดกินยาลดไข้ ก็ไม่ค่อยจะลด
มักมีอาการปวดหัวเมื่อยตัวจากไข้ได้ บางคนอาจจะมีคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหารร่วมด้วย บางคนอาจจะเห็นจุดเลือดออกเล็กๆ ใต้ผิงหนังได้ โดยเฉพาะช่วงวันท้ายๆของไข้ (วันที่3-4 ของไข้)

ในคนไข้ที่สงสัยไข้เลือดออก และยังไม่ได้เจาะเลือด การทำ touniquet test หรือรัดแขนด้วยเครื่องวัดความดันด้วยความดันที่เหมาะสมนาน 5 นาที อาจจะพบมีจุดเลือดออกให้เห็นได้ชัดขึ้น บ่งชี้ว่าอาจจะมีเกล็ดเลือดต่ำ และสงสัยไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น (หลายคนอาจจะเคยเห็นบางแห่งใช้ยางรัดแขนแทนเครื่องวัดความดัน ซึ่งเป็นวิธีเก่าแก่ปัจจุบันไม่ใช้กันแล้วเพราะว่าผลไม่แน่นอนเนื่องจากการรัดแน่นมากน้อยไม่มาตรฐาน

ไนระยะนี้ แม้ไข้จะสูง แต่ไม่ถือว่ายังไม่ใช่ระยะรุนแรง ถ้าแพทย์ตรวจแล้ว ไม่มีภาวะ อื่นๆ หมออาจจะให้ยากลับมากินดูอาการที่บ้านก่อนจะได้ไม่ต้องนอนรพ.นานๆ

(Note แม้จะบอกว่าระยะไข้สูงก่อนเข้าสู่ระยะไข้ลด ส่วนใหญ่จะประมาณ 4 วัน แต่ก้อมีคนไข้บางคน ที่ระยะไข้สูง แค่ 2-3 วัน หรือยืดยาวไปถึง 6-7 วันก่อนไขลดก็มี แต่เป็นส่วนน้อย)

การเจาะเลือดในคนไข้ไข้เลือดออก
ปกติ การเจาะเลือดทั่วไป CBC ในวันแรกๆ ของไข้( วันที่ 1-2 ของไข้) อาจจะยังไม่พบความผิดปกติที่ชัดเจน ดังนั้น บางทีคนไข้ขอเจาะเลือดตั้งแต่วันแรก ที่เป็นไข้ แต่ถ้ายังไม่มีข้อบ่งชี้ หมอจะยังไม่แนะนำให้เจาะ แต่จะแนะนำให้เฝ้าสังเกตุอาการ แล้วค่อยนัดกลับมาเจาะเลือดเช็ค อีกครั้งในราวๆ วันที่ 3-4 ของไข้ หรือเมื่อเริ่มมีอาการบ่งชี้ว่าจะเข้าสู่ระยะไข้ลด และอาการรุนแรง เช่น อาเจียน ท้องอืด ตัวเย็นเหนื่อย ปัสสาวะน้อย กระสับกระส่าย อาจจะต้องมาพบแพทย์ทันที

ปัจจุบัน มีการเจาะเลือดหา dengue Antigen หรือตัวเชื้อไวรัสซึ่งตรวจพบได้ไวขึ้นตั้งแต่วันที่1-5 ของไข้ ถ้าตรวจพบก็ทำให้รู้ตั้งแต่วันแรกๆ ว่าน่าจะได้รับเชื้อไข้เลือดออก มาแต่เนื่องจากยังเป็นแล็บที่มีราคาแพง และ ไม่ได้เป็นตัวบอกความรุนแรงของโรค จึงยังไม่ได้ใช้เป็นตัวเจาะเลือดมาตรฐานทั่วไป เหมือนกับ CBC ซึ่งทำได้ง่าย รพ.ทุกแห่งและ แล็บทั่วไป แม้แต่คลินิคขนาดใหญ่หลายแห่งสามารถตรวจได้ และราคาไม่แพง

ในการเจาะเลือด ดูCBC ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะพบว่าผู้ป่วย มักมีจำนวนเม็ดเลือดขาวลดลง อาจจะพบเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte ที่มีรูปร่างผิดปกติ และมีขนาดโตกว่าปกติ ที่เรียกว่าAtypical Lymphocyte เพิ่มขึ้น ร่วมกับเกล็ดเลือด(pletlet) ลดต่ำลง โดยคนปกติทั่วไปปริมาณเกล็ดเลือดจะสูงระดับ 2-3 แสน ขึ้นไป แต่ในไข้เลือดออก มันจะลดต่ำลงโดยเฉพาะถ้าต่ำกว่าแสน ถือว่า โอกาสน่าจะเป็นไข้เลือดออกสูงขึ้น

ระยะไข้ลด
โดยทั่วไป จะเป็นประมาณหล้งวันที่ 4 ย่าง 5 ของไข้(แต่อาจจะคาดเคลื่อนไปได้ในบางรายตามที่note บอกไว้ข้างบน) จะเป็นระยะไข้ลด
ระยะนี้คือระยะสำคัญ ในรายที่ไม่รุนแรง คนไข้อาจจะฟื้นตัวดีขึ้น ผลเลือดดีขึ้นเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น ไม่มีเลือดข้น ความดันโลหิตปกติ จะรู้สึก อยากอาหาร สดชื่น จนหายปกติ ไปได้เลย

แต่ในรายที่รุนแรง ในตอนไข้ลดนี้ ผู้ป่วยอาจจะเข้าสู่ระยะที่เป็นหนักขึ้น อาจจะมีอาการอืดแน่นท้อง เหนื่อยหอบ หายใจไม่อิ่ม จากน้ำรั่วจากเส้นเลือดไปอยู่ตามช่องท้องและช่องปอด

บางคนจะมีจุดเลือดออกตามตัว หรือมีเลือดออกไรฟัน หรือเลือดกำเดาออก

ตรวจเช็คเลือดจะพบ มีเกล็ดเลือด(pletlet)ลดต่ำลง
ความเข้มข้นของเลือด(hematrocrit)สูงขึ้น
ความดันโลหิตอาจจะลดลงจนถึงขั้นช้อค (ความดันโลหิตตัวบนsystolic pressure น้อยกว่า 90 mmHg)
ชีพจร เบา และเร็วขึ้น(มากกว่า 100 ครั้ง/นาที)
ระยะห่างของความดันโลหิตตัวบนsystolic pressure(PS) กับ ตัวล่าง Diastolic pressure (PD)หรือที่เรียกว่า pulse pressure แคบเข้า เช่นน้อยกว่า 20

การรักษา

ในรายที่ไม่รุนแรง
ผู้ป่วย อาจจะไม่ต้องนอนพักโรงพยาบาล แต่ เฝ้าสังเกตุอาการอยู่บ้านรักษาตามอาการ ไปพบแพทย์ตรวจตามกำหนดนัด  ถ้าไข้ลดลง 2 วัน  หรือ 48 ชมแล้วอาการปกติดี ตรวจเช็คเลือดไม่มีความผิดปกติ หรือดีขึ้นก้อถือว่าหายปกติ

ในรายที่รุนแรง
เมื่อไข้เริ่มลดลง จะเริ่มมีเกล็ดเลือดลดต่ำลงเรื่อยๆ มีการรั่วของน้ำเลือดออกจากหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะเลือดข้น (ค่า%เม็ดเลือดแดงอัดแน่นหรือ Hematocrit สูงขึ้น)

ผู้ป่วยอาจจะมีอาการแน่นอึดอัดท้องคลื่นไส้อาเจียน หายใจเหนื่อย เบื่ออาหาร ปัสสาวะออกน้อย
กระสับกระส่าย

ระยะนี้ แพทย์จะคอยตรวจเช็คความดัน และเจาะเลือดตามระยะ และให้สารน้หรือน้ำเกลือำ ในขนาดที่พอเหมาะไม่ให้เลือดข้นมากเกินไปจนทำให้ไหลเวียนไม่สะดวก เกิดภาวะช้อคหรือ ความดันต่ำมากๆ จนอวัยวะภายในต่างๆ รวมทั้งไตไม่ทำงาน

ในรายที่รุนแรงมากๆ การใช้น้ำเกลือปกติ อาจจะไม่เพียงพอแก้ภาวะช้อค  อาจจต้องใช้ พวกสารละลาย คอลลอยด์ หรือน้ำเลือด (plasma)ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดน้ำไว้กับตัวได้ดี เพื่อช่วยอุ้มน้ำไว้ในหลอดเลือดไม่ให้เลือดข้นเกินไปและช้อค ตลอดจนรั่วไปในช่องท้อง และปอด ให้น้อยลงลดการอึดอัดได้บางส่วน

ในคนไข้บางรายที่เกล็ดเลือดต่ำมากๆ อาจจะต้องให้เกล็ดเลือดเพื่อป้องกันเลือดออกด้วย แต่ปัญหาเรื่องการเตรียมเกล็ดเลือดค่อนข้างยุ่งยาก เกล็ดเลือดที่จะใช้กับคนไข้แต่ล่ะครั้งต้องเตรยมจากเลือดที่บริจาคใหม่ๆ จำนวน นับสิบถุง ต่อการให้แต่บบะครั้ง ที่สำคัญ มันเก็บสำรองไว้ได้ แค่ 3 วันเท่านั้น ดังนั้นจึงมักเก็บไว้ใช้ในรายที่รุนแรงจริงๆ เท่านั้น

ในผู้ป่วยที่เกล็ดเลือดต่ำ จะมีโอกาสที่เลือดกำเดาไหลออกได้รวมทั้งมีเลือดออกตามไรฟันและหยุดยาก แพทย์มักสั่งดแปรงฟัน รวมัทั้งสั่งงดอาหารสีแดงดำ เนื่องจกว่า บางคนอาเจียนออกมา อาจจะแยกไม่ออกว่าเป็นสีอาหาร หรือมีเลือดปนออกมา

ในรายที่รุนแรงถึงขั้นมีตกเลือดในทางเดินอาหารเช่น อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด ก้ออาจจะต้องให้เลือด ร่วมด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่