[CR] ตามล่าใบไม้แดงญี่ปุ่น ฟูจิยันอาโอโมริ รถไฟ เช่ารถ โรงแรม ข้อมูลล้วนๆไม่เวิ่นเว้อ

เกริ่นนำ 3 บรรทัด
ทริปนี้เป็นทริปกึ่งๆแบคแพ้ค ไปกัน 2 คน ผมรับโจทย์มาคือ
ใบไม้แดง ไม่เอาคันไซ (เพราะไปมาเมื่อ 2 เดือนก่อน) ข้าวกล่องรถไฟ ดีสนีย์ ไม่ช้อปปิ้ง ไม่เน้นโตเกียว (เพราะบ่อยแล้ว) งบคนละไม่เกิน 40-50K

เลยจบที่ โตเกียว-นิกโก-อาโอโมริ-towada lake-เซนได-คาวากูจิโกะ-โตเกียว-ดีสนีย์ ซี - ดีสนีย์แลนด์ 10 คืน 8 โรงแรม 6 เมือง

ค่าใช้จ่าย การเดินทาง/ที่พัก
หลักๆ บินหางแดง ไม่ได้โปร แต่ไป-กลับตกคนละ 8100 ไม่รวมกระเป๋า

- บิน หางแดง การจองไป-กลับ ไม่ได้ถูกกว่าการจองแยกไป และกลับ เสมอไป
ก่อนจองผมเช็คแบบไป-กลับ อยู่ที่ 8700 ต่อคน แต่พอเช็คแยกซื้อไป และกลับ อยู่ที่ ขาไป 4400 แต่ขากลับได้ในราคา 3700 !!!
ถามว่าทำไม ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ยังไงก่อนจองลองเช็คดูดีๆละกัน

- ตั๋วรถไฟ ถ้าวางแผนดีๆประหยัดเป็นแสนเยน โดยเฉพาะทริปขึ้นเหนือ-ล่องใต้แบบนี้ที่ใช้ชินคันเซนเยอะมาก ผมใช้ JR-EAST 5 วัน ได้จากงานท่องเที่ยวมาใบละ 6500 แถมสตาร์บัค 300
ข้อดีของ JR-EAST คือไม่จำเป็นต้องใช้ต่อเนื่อง ใช้วันไหนก็ไปปั๊มการใช้งานเที่ยวแรกของวันนั้น เลยจัดตารางได้คุ้มกว่า

**ทริคการใช้ JR ขึ้นขินคันเซนหรือรถไฟพิเศษพวก Limited Express ให้คุ้ม
หลายคนทราบอยู่แล้ว แต่หลายๆคนเท่าที่เคยคุยไม่ทราบและไม่เข้าใจวิธีการ
คือต้องเกริ่นก่อนว่า รถไฟของญี่ปุ่นพวกสายด่วนๆทั้งหลายเนี่ย จะแยกเป็นแบบ reserved seat และ non-reserve
ว่าง่ายๆคือ ตู้จองที่นั่ง กับไม่จองนั่นแหละ
ถ้าจองล่วงหน้า คุณจะได้ ตั๋วที่มีการระบุหมายเลขขบวน และที่นั่งของคุณไว้เลย
ในขณะที่ถ้าไม่จอง คุณต้องไปวัดดวงหาที่นั่งเอาเองในขบวนไม่จอง ซึ่งบางเส้นทางเนี่ยมันแน่นเอาการ
แต่สำคัญกว่านั้นคือ ปกติค่าจองที่นั่ง โดยเฉพาะชินคันเซนเนี่ยค่อนข้างแพง แต่บรรดา JR PASS เค้ารวมให้คุณอยู่แล้ว !!!
จองยังไง ตามสถานีรถไฟใหญ่ๆเนี่ย มันจะมีบูทของ JR หน้าตาแบบนี้ เรียก Ticket Office (ไม่ใช่ Travel service) นะดูดีๆ

การจองที่นั่งควรจองล่วงหน้าซัก 1 วันอย่างน้อย คือสมมุติพรุ่งนี้คุณมีแผนว่าจะนั่งไปไหนก็เดินเข้าไปติดต่อที่เค้า
พนักงาน JR ส่วนใหญ่ภาษาอังกฤษค่อนข้างใช้ได้ ก็แจ้งเค้าไปว่า would like to reserve the seat for tomorrow from ไหน ไปไหน เวลาเท่าไหร่
แล้วยื่นพาสให้เค้าดู เค้าก็จะออก ticket ระบุที่นั่งกับขบวนรถมาให้คุณ
พอวันเดินทาง คุณก็ไปที่ชานชาลา ดู track ก่อนนะว่าขบวนของคุณชานชาลาไหน สังเกตบนพื้นจะมีแบบนี้

ส่วนใหญ่ ขบวนรถโดยสารแต่ละสาย มันจะมีสีกำหนดไว้อยู่ เช่น Yamabiko สีเขียว ก็เลือกดูขบวนตามสีของรถคุณ
แล้วดูบนพื้น ตัวเลขแถวบนคือ ขบวนทั้งหมดของสายที่จะวิ่งมีกี่ขบวน แล้วตัวเลขแถวล่างจะบอกว่า ตำแหน่งที่คุณยืนเนี่ย มันคือประตูของขบวนไหน
สมมุติคุณได้ขบวนที่ 13 ก็ยืนรอตรงนี้พอถึงเวลารถไฟมาจอด ก็ขึ้นตรงนี้หาที่นั่งของคุณได้เลย
(สมมุติ ถ้าขึ้นไม่ตรงขบวนก็เข้าไปเดินทะลุในขบวนเอาได้นะ เผื่อไว้สำหรับคนไปทันแบบฉิวเฉียด)

** มารยาท การนั่งชินคันเซน **
มารยาทสำคัญที่ควรทำเลยคือ ขยะทุกชิ้นไม่ว่าจะเป็นน้ำ ขนม ข้าวกล่องพอจะลงเก็บไปทิ้งด้วย มันมีถังขยะอยู่หน้าประตู
ที่นั่งที่คุณปรับเอนนอนไว้ ก่อนจะลงกดปรับที่นั่งกลับด้วย
คือ ชินคันเซน พอคุณลงแล้ว ก็อาจจะมีคนอื่นเค้ามานั่งที่นั่งต่อจากคุณ

- การเช่ารถขับในญี่ปุ่น
หลายๆคนค่อนข้างกลัวการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่น บางคนว่าแพง บางคนว่าขับยาก บางคนกลัวยุ่งยาก ซึ่งส่วนตัวผมว่าขู่กันไว้เยอะ
การเช่ารถขับ เหมาะสำหรับการไปเที่ยวในพื้นที่ที่ระบบรางของเค้าเข้าไม่ถึง เช่นต่างจังหวัดในป่า ในเขา
ค่าเช่ารถในญี่ปุ่นถ้าเป็นรถเล็ก ไม่ได้แพงกว่าเมืองไทยเท่าไหร่เลย ค่าน้ำมันก็ไม่ได้ต่างกัน จะต่างกันบ้างคือค่าทางด่วนเค้าค่อนข้างแพง กับพื้นที่ในเมืองส่วนใหญ่จะต้องเสียค่าจอดรถไม่เว้นกระทั่งโรงแรม
แต่ข้อดีคือ การเช่ารถที่ญี่ปุ่นไม่ได้ fix ว่าต้องเหมา 24 ชม. กรณีเช่าเฉพาะช่วงกลางวัน บางเจ้าจะมีเรทราคาสำหรับเช่า 8 ชม. 12 ชม. ให้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น รอบนี้ผมไปเที่ยว towada lake ซึ่งห่างจากอาโอโมริประมาณ 100 โล
ถ้าผมนั่งรถบัสไป เฉพาะค่ารถบัสไปกลับ คนละ 6000 กว่าเยน รวม 12000 เยน แถมรถบัสมีแค่ชั่วโมงละคัน
แต่ผมเช่ารถ 9.00 โมงที่สถานี แล้วกลับมาคืนรถ 16.00 เสียค่าเช่า 4200 เยน ค่าน้ำมัน 1200 กว่าเยน ทางด่วนเฉพาะขากลับอีก 850 เยน

เช่ารถญี่ปุ่นทำยังไง
1. ต้องมีใบขับขี่สากลก่อน ทำที่ขนส่งหมอชิต เสียค่าทำ 500 กว่าบาทอยู่ได้ปีนึง ไปทำครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ
2. บริษัทเช่ารถที่คนไทยนิยมเช่ามีสองเจ้า คือ
tocoo! ซึ่งเป็นเอเย่นต์ที่ดีลกับหลายๆเจ้าเช่น Japan Car Rent, Time Car Rent - เวบมีภาษาอังกฤษ ใช้ง่าย ใช้บัตรเครดิตการันตี แล้วไปจ่ายเงินกันวันรับรถ
toyota ก็ตามชื่อให้เข่ารถของโตโยต้าโดยเฉพาะ - ปัญหาคือถ้าต้องการเช่าออนไลน์มีแต่เวบภาษาญี่ปุ่น ไม่งั้นต้องไปเช่าวันบินไปถึงแล้วใช้การโทรเข้าไลน์ภาษาอังกฤษเอา
รอบนี้ผมมีโอกาสใช้บริการทั้งสองเจ้า ก็บริการดีพอกัน แต่ของ tocoo! จะราคาถูกกว่าค่อนข้างเยอะ เนื่องจากมีเอเย่นต์ให้เลือกเยอะกว่า
แต่จุดที่คนไทยนิยมเช่าคือ เช่าขับไปเที่ยว คาวากูชิโกะ ส่วนใหญ่จะเป็น toyota เพราะที่สถานี Otsuki มีแต่ toyota
3. การขับรถที่ญี่ปุ่น - คือถ้าคุณขับรถเป็นประจำในกรุงเทพ มันก็ง่ายมาก จะต่างกับคนไทยแค่ว่าต้องเคารพกฎจราจรมากกว่าแค่นั้นเอง อย่างไฟเหลืองต้องหยุด เจอคนรอข้ามต้องหยุด เพราะได้ข่าวว่าถ้าโดนจับค่าปรับโหดอยู่เหมือนกัน
ขับในเมืองเค้าจะคุมความเร็วที่ 40-50 km/h ตามป้ายข้างทาง แต่ถ้าบนทางด่วนหรือนอกเมืองก็มีป้ายจำกัดความเร็ว แต่คนญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้ขับกันตามป้ายขนาดนั้น บนทางด่วน 110-120 ก็วิ่งสบายๆ แต่ห้ามแช่ขวาเท่านั้นเอง
4. ทางด่วน - มีสองช่องคือ ETC ก็เหมือน Easypass บ้านเราไม่มีก็อย่าไปเข้า (บริษัทเช่ารถจะมีให้เช่าด้วย) กับอีกแบบก็ช่องปกติ จะเป็นชื่อตัวคันจิ เข้าไปเจอตู้รับบัตรมา พอถึงปลายทางจะมีพนักงานรับบัตรไป ราคาจะขึ้นมาโชว์ก็จ่ายเงินไปแค่นั้น ไม่ยาก
5. เติมน้ำมัน - น้ำมันญี่ปุ่นมี 3 แบบ ดีเซล เบนซิน กับเบนซิน ออกเทน 110 ก็เติมเบนซินธรรมดาพอ ผมไม่เคยเจอปั๊มเติมเองนะ ถ้ากังวลก็หาปั๊มยี่ห้อ Eneos ส่วนใหญ่จะมีพนักงานเติมให้ ก็เปิดฝาถังบอก full ก็จบ
6. สิ่งที่ต้องระวัง - อุบัติเหตุ เสียแพงอยู่ ถ้าไม่ซื้อประกันเพิ่ม หรือซื้อแบบไม่แพงมาก ชนมายังไงก็เสียแน่นอน 30 K yen ถ้าชนหนัก 50 K ก็ขับระวังๆละกัน
7. แผนที่ - รถญี่ปุ่นจะมี Navigator มาให้แต่อย่าไปคาดหวัง เพราะภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ ถนนหนทางถ้ามี Smart Phone ก็พึ่ง iOS Map, Google Map ก็แม่นยำใช้ได้

สรุปคือ ถ้าวางแผนดีๆ เช่ารถเป็นทางเลือกที่ช่วยประหยัดได้เยอะ
ยกตัวอย่างเช่น จุดที่คนไทยนิยมไปอย่าง Kawaguchiko
ต่อให้มีพาส นั่งรถไฟไป Otsuki ต่อ FujiQ สองคนไป-กลับ 4560 Y ไปถึงเสียค่า Retro Bus pass อีกรวมๆก็ 6000 กว่าเยน
แต่ถ้าเช่ารถขับไปจาก Otsuki ไม่ขึ้นทางด่วนประมาณ 50 นาที 5000กว่าเยน ค่าน้ำมันอีก ไม่เกินพันเยน ค่าใช้จ่ายสูสีกัน แต่เที่ยวสะดวกกว่าเพราะไม่ต้องนั่งรอ Retro Bus ริมทะเลสาบ
ก็ลองวางแผนกันดูละกัน

เด่ยวมาต่อ