อันนี้เพื่อนเราทำนะ แต่ของเราทำวิจารเพลง Take Me To Church - Hozier ช่วยหน่อยนะ เอาแบบเยอะเลยนะ
Chandelier. เป็นเพลงที่แต่งและร้องโดย Sia Fueler อยู่ในอัลบั้ม 1000 Forms of Fear. ได้ปล่อยออกมาให้ผู้ชมได้ชมในเว็บไซต์ Youtube
เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2014
ซึ่ง Sia แต่งเพลงนี้ให้กับชีวิตช่วงหนึ่ง ที่เธอติดเหล้าติดยาอย่างหนัก เนื้อหาของเพลงก็ประมาณผู้หญิงชอบปาร์ตี้เฮฮา แต่จริงๆแล้วเป็นคนซึมเศร้าที่ต้องดื่มเหล้า ต้องปาร์ตี้หนักๆ เป็นเพื่อให้ลืมความเจ็บปวดในใจ เนื้อเพลงก็ตีความไปได้อีกว่า ผู้หญิงคนนี้มีเซ็กส์กับคนแปลกหน้า เมื่อตื่นมาก็รู้สึกอับอาย แต่ก็ยังคงปาร์ตี้เสมือนว่าโลกจะแตกซะพรุ่งนี้ เพื่อลบเลือนความรู้สึกนั้นๆ
จุดเด่นของเอ็มวีนี้นอกจากเนื้อหาเพลงที่ค่อนข้างรุนแรงแล้ว ก็คงไม่พ้นกับท่าเต้นที่สะกดคนดูเอ็มวีนี้เป็นอย่างหนัก
ท่าเต้นในเอ็มวีนี้เป็นการเต้นแบบ Contemporary dance
ท่าเต้นก็ดูเหมือนคนเสียสติ มีทั้งทะเลาะกับฝาผนัง หมดแรง ร่าเริง หลายๆคนก็ชมความสามารถในการเต้นและความสามารถในการแสดงอารมณ์ ของนักเต้นน้อย Maddy Ziegler แม้เธอจะเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ แต่ก็ถ่ายทอดเนื้อหาได้เป็นอย่างดี เพื่อจะสื่อถึงสภาพจิตใจของตัวคนร้อง ( Sia ) ตอนที่เธอกำลังติดเหล้าและติดยาอยู่ สังเกตได้จากทรงผม เป็นทรงเดียวกับนักร้อง การเต้นจะเป็นแบบโลดเล่นเหมือนกับบ้าๆบอๆ สุขบ้าง ทุกข์บ้างแบบสุดโต่ง คล้ายกับตอนติดยา แน่นอนว่าเธอไม่เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดหรอก ครูสอนเต้นก็คอยอธิบายถึงอารมณ์ต่างๆให้เธอฟัง ทั้งเพลงทั้งเอ็มวีก็ส่งเสริมกันให้ดัง
แม้ว่า Sia จะออกงานไหน Maddy ก็ไปร่วมแสดงเป็นตัวเอกตลอด เนื่องจาก Sia ร้องเพลงหันหลังให้คนดู ไม่ก็ปิดหน้าทุกงาน ทั้งออกเอเลนโชว์ จิมมี คิมเมลโชว์ แซทเดย์ไนท์ไลฟ์ ยันไปถึงแกรมมี่ ( เต้นคู่กับคริสเท่น วิกจาก SNL นั่นเอง ) เดินสายด้วยกัขนาดนี้เลยทำให้แมดดี้เป็นเพื่อนซี้และเป็นหน้าตาของเซีย
แต่ที่เป็นที่น่าสนใจในครั้งนี้คือเซียกับซิงเกิ้ลว่า Chandelier ซึ่งมีผู้คนมากมายออกมาแสดงความสงสัยในโชว์การแสดงการร้องสดว่าทำไมเดี๋ยวนี้ทำไมถึงร้องเพลงหันหลังให้คนดู ไม่ก็ปิดหน้าทุกงาน ซึ่งก็ได้มีกระแสตอบกลับอีกว่า เธอเป็นผู้หญิงติสส์ หลังจากที่เธอเป็รโรคติดเหล้า ติดยา เธอรู้สึกว่า เธอชอบเป็นนักแต่งเพลงมากกว่าการเป็นศิลปินเดี่ยว เธอให้เหตุผลว่า เธอเหนื่อยกับการที่ต้องไปทัวร์คอนเสิร์ต ไปให้สัมภาษณ์ ไปแสดงตามงานต่างๆ ทำให้สุขภาพเธอแย่มากและเธอก็ติดเหล้า ติดยาแก้ปวด แถมหมอยังวินิจฉัยโรคเธอผิด โดยตอนแรกวินิจฉัยว่าเธอเป็นโรค bipolar ( โรคอารมณ์สองขั้ว ) แต่เอาจริงแล้วเธอเป็นโรคคอพอกตาโปน และได้พักงานไปในปี 2010 เธอนั่งแต่งเพลงให้ศิลปินอยู่ที่บ้านเฉยๆ รอรับเงินอย่างเดียว เธอแฮปปี้กับมันมากๆและเธอก็ไม่ชอบการมีชื่อเสียงด้วย อาจจะเป็นเหตุผลที่เธอชอบปิดหน้าในการแสดงสดในอัลบั้มนี้
เนื้อหา “ Chandelier ” กล่าวถึง สาวปาร์ตี้ที่จะทำทุกวิถีทางให้ตัวเองมีความสุขที่สุด ในค่ำคืนใช้ชีวิตอยู่กับคำว่า I’m gonna like tomorrow ( ฉันจะใช้ชีวิตอย่างกับว่ามันจะไม่มีวันพรุ่งนี้ ) ซึ่งผู้เขียนเพลงค่อนข้างมองโลกนี้ในแง่ร้ายมากเกินไป แต่ถ้าเรามองในความเป็นจริงของการใช้ชีวิตแล้ว เราไม่สามารถที่จะหลีกหนีความเป็นจริงไปได้เลย ถึงแม้ว่าขณะนั้นสิ่งที่เราดื่ม หรือเสพติดเข้าไปให้มีความสุขเราได้มากแค่ไหน แต่ที่จริงแล้วทุกๆอย่างนั้นก็เป็นได้แค่ความสุขอันจอมปลอม เพราะว่าทั้งชีวิตของเราคงไม่สามารถหาความสุขกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเดียวหรอก เพราะความเป็นจริงเท่านั้นที่จะทำให้เราอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขและอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญคือ เวลาที่จะเยียวยาให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตในทุกๆวัน เพราะว่า ชีวิตยังคงต้องมีคำว่าวันพรุ่งนี้ต่อไป.
สำหรับการเต้นในเพลงนี้เป็นการเต้น Contemporary dance เป็นการเต้นที่ผสมผสานศาสตรการเต้นหลายๆอย่าง และสื่ออารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องพูดพล่ำอะไรมาก ก็สามารถสื่อออกมาให้ผู้ชมเข้าถึงได้ง่ายกับที่ผู้แสดงสื่อออกมา แมดดี้ ได้แสดงออกทั้งท่าทางที่เปรียบเสมือนกับงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่เอาตุ๊กตาตัวน้อยมาสื่ออามรมณ์ต่างๆ เช่น ความเจ็บปวด ความร่าเริง บ้าๆบอๆ เป็นต้น ตั้งแต่ต้นจนจบของการแสดงออกมาได้อย่างสวยงามและเพิ่มอรรถรสความเพลิดเพลินให้กับคนดู มีการเพิ่มสกิลการเต้นเพื่อความรสชาติความตึงตาของผู้ชม
สำหรับแฟชั่นในการแต่งตัวของนักแสดงเพลงนี้เป็นชุดซีทรูสีเนื้อทั้งชุดกับผมสั้นประบ่าสีบอล์นทอง เพื่อให้เปรียบเสมือนกับตัวของนักร้อง ( Sia )
Chandelier เป็นเอ็มวีที่สื่อมุมมองอีกมุมมองหนึ่งของโลกนี้ออกมาในศาสตร์การเต้นที่เป็นศิลปะและถ่ายทอดสะท้อนความเป็นจริงในด้านการเต้นที่เนื้ออาจจะสะท้อนสังคมในแง่ลบแต่ถ้าชีวิตของเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นบ้าง เราจะต้องไม่ปิดกั้นมุมมองชีวิตของเราเอง แค่เราต้องเดินไปข้งหน้าและหาความสุขที่อยู่ไกล้ตัวมากกว่าการหาสิ่งเสพติดมาเยียวยา เพราะ chandelier หมายถึง โคมฟ้าระย้า เพราะแสงไฟจะสว่างส่องแสงสวยงามมากในเวลากลางคืน แต่ชีวิตเราคงไม่สามารถอยุ่ได้แค่กับโคมไฟ เราต้องตื่นมาเพื่อพบกับแสงอาทิตย์ ที่ทอแสงในยามเช้าแล้วเราจะมีความสุขในทุกวันได้เพียงแค่เราเปิดใจไม่จมปลักกับสิ่งที่เป็นอยู่
เพื่อนๆช่วยเราหน่อย พอดีอาจารไห้เราทำงานวิจาร เราวิจารเกียวกับเพลง Take Me To Church - Hozier แต่คิดไม่ออกแล้วช่วยหน่อย
Chandelier. เป็นเพลงที่แต่งและร้องโดย Sia Fueler อยู่ในอัลบั้ม 1000 Forms of Fear. ได้ปล่อยออกมาให้ผู้ชมได้ชมในเว็บไซต์ Youtube
เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2014
ซึ่ง Sia แต่งเพลงนี้ให้กับชีวิตช่วงหนึ่ง ที่เธอติดเหล้าติดยาอย่างหนัก เนื้อหาของเพลงก็ประมาณผู้หญิงชอบปาร์ตี้เฮฮา แต่จริงๆแล้วเป็นคนซึมเศร้าที่ต้องดื่มเหล้า ต้องปาร์ตี้หนักๆ เป็นเพื่อให้ลืมความเจ็บปวดในใจ เนื้อเพลงก็ตีความไปได้อีกว่า ผู้หญิงคนนี้มีเซ็กส์กับคนแปลกหน้า เมื่อตื่นมาก็รู้สึกอับอาย แต่ก็ยังคงปาร์ตี้เสมือนว่าโลกจะแตกซะพรุ่งนี้ เพื่อลบเลือนความรู้สึกนั้นๆ
จุดเด่นของเอ็มวีนี้นอกจากเนื้อหาเพลงที่ค่อนข้างรุนแรงแล้ว ก็คงไม่พ้นกับท่าเต้นที่สะกดคนดูเอ็มวีนี้เป็นอย่างหนัก
ท่าเต้นในเอ็มวีนี้เป็นการเต้นแบบ Contemporary dance
ท่าเต้นก็ดูเหมือนคนเสียสติ มีทั้งทะเลาะกับฝาผนัง หมดแรง ร่าเริง หลายๆคนก็ชมความสามารถในการเต้นและความสามารถในการแสดงอารมณ์ ของนักเต้นน้อย Maddy Ziegler แม้เธอจะเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ แต่ก็ถ่ายทอดเนื้อหาได้เป็นอย่างดี เพื่อจะสื่อถึงสภาพจิตใจของตัวคนร้อง ( Sia ) ตอนที่เธอกำลังติดเหล้าและติดยาอยู่ สังเกตได้จากทรงผม เป็นทรงเดียวกับนักร้อง การเต้นจะเป็นแบบโลดเล่นเหมือนกับบ้าๆบอๆ สุขบ้าง ทุกข์บ้างแบบสุดโต่ง คล้ายกับตอนติดยา แน่นอนว่าเธอไม่เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดหรอก ครูสอนเต้นก็คอยอธิบายถึงอารมณ์ต่างๆให้เธอฟัง ทั้งเพลงทั้งเอ็มวีก็ส่งเสริมกันให้ดัง
แม้ว่า Sia จะออกงานไหน Maddy ก็ไปร่วมแสดงเป็นตัวเอกตลอด เนื่องจาก Sia ร้องเพลงหันหลังให้คนดู ไม่ก็ปิดหน้าทุกงาน ทั้งออกเอเลนโชว์ จิมมี คิมเมลโชว์ แซทเดย์ไนท์ไลฟ์ ยันไปถึงแกรมมี่ ( เต้นคู่กับคริสเท่น วิกจาก SNL นั่นเอง ) เดินสายด้วยกัขนาดนี้เลยทำให้แมดดี้เป็นเพื่อนซี้และเป็นหน้าตาของเซีย
แต่ที่เป็นที่น่าสนใจในครั้งนี้คือเซียกับซิงเกิ้ลว่า Chandelier ซึ่งมีผู้คนมากมายออกมาแสดงความสงสัยในโชว์การแสดงการร้องสดว่าทำไมเดี๋ยวนี้ทำไมถึงร้องเพลงหันหลังให้คนดู ไม่ก็ปิดหน้าทุกงาน ซึ่งก็ได้มีกระแสตอบกลับอีกว่า เธอเป็นผู้หญิงติสส์ หลังจากที่เธอเป็รโรคติดเหล้า ติดยา เธอรู้สึกว่า เธอชอบเป็นนักแต่งเพลงมากกว่าการเป็นศิลปินเดี่ยว เธอให้เหตุผลว่า เธอเหนื่อยกับการที่ต้องไปทัวร์คอนเสิร์ต ไปให้สัมภาษณ์ ไปแสดงตามงานต่างๆ ทำให้สุขภาพเธอแย่มากและเธอก็ติดเหล้า ติดยาแก้ปวด แถมหมอยังวินิจฉัยโรคเธอผิด โดยตอนแรกวินิจฉัยว่าเธอเป็นโรค bipolar ( โรคอารมณ์สองขั้ว ) แต่เอาจริงแล้วเธอเป็นโรคคอพอกตาโปน และได้พักงานไปในปี 2010 เธอนั่งแต่งเพลงให้ศิลปินอยู่ที่บ้านเฉยๆ รอรับเงินอย่างเดียว เธอแฮปปี้กับมันมากๆและเธอก็ไม่ชอบการมีชื่อเสียงด้วย อาจจะเป็นเหตุผลที่เธอชอบปิดหน้าในการแสดงสดในอัลบั้มนี้
เนื้อหา “ Chandelier ” กล่าวถึง สาวปาร์ตี้ที่จะทำทุกวิถีทางให้ตัวเองมีความสุขที่สุด ในค่ำคืนใช้ชีวิตอยู่กับคำว่า I’m gonna like tomorrow ( ฉันจะใช้ชีวิตอย่างกับว่ามันจะไม่มีวันพรุ่งนี้ ) ซึ่งผู้เขียนเพลงค่อนข้างมองโลกนี้ในแง่ร้ายมากเกินไป แต่ถ้าเรามองในความเป็นจริงของการใช้ชีวิตแล้ว เราไม่สามารถที่จะหลีกหนีความเป็นจริงไปได้เลย ถึงแม้ว่าขณะนั้นสิ่งที่เราดื่ม หรือเสพติดเข้าไปให้มีความสุขเราได้มากแค่ไหน แต่ที่จริงแล้วทุกๆอย่างนั้นก็เป็นได้แค่ความสุขอันจอมปลอม เพราะว่าทั้งชีวิตของเราคงไม่สามารถหาความสุขกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเดียวหรอก เพราะความเป็นจริงเท่านั้นที่จะทำให้เราอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขและอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญคือ เวลาที่จะเยียวยาให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตในทุกๆวัน เพราะว่า ชีวิตยังคงต้องมีคำว่าวันพรุ่งนี้ต่อไป.
สำหรับการเต้นในเพลงนี้เป็นการเต้น Contemporary dance เป็นการเต้นที่ผสมผสานศาสตรการเต้นหลายๆอย่าง และสื่ออารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องพูดพล่ำอะไรมาก ก็สามารถสื่อออกมาให้ผู้ชมเข้าถึงได้ง่ายกับที่ผู้แสดงสื่อออกมา แมดดี้ ได้แสดงออกทั้งท่าทางที่เปรียบเสมือนกับงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่เอาตุ๊กตาตัวน้อยมาสื่ออามรมณ์ต่างๆ เช่น ความเจ็บปวด ความร่าเริง บ้าๆบอๆ เป็นต้น ตั้งแต่ต้นจนจบของการแสดงออกมาได้อย่างสวยงามและเพิ่มอรรถรสความเพลิดเพลินให้กับคนดู มีการเพิ่มสกิลการเต้นเพื่อความรสชาติความตึงตาของผู้ชม
สำหรับแฟชั่นในการแต่งตัวของนักแสดงเพลงนี้เป็นชุดซีทรูสีเนื้อทั้งชุดกับผมสั้นประบ่าสีบอล์นทอง เพื่อให้เปรียบเสมือนกับตัวของนักร้อง ( Sia )
Chandelier เป็นเอ็มวีที่สื่อมุมมองอีกมุมมองหนึ่งของโลกนี้ออกมาในศาสตร์การเต้นที่เป็นศิลปะและถ่ายทอดสะท้อนความเป็นจริงในด้านการเต้นที่เนื้ออาจจะสะท้อนสังคมในแง่ลบแต่ถ้าชีวิตของเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นบ้าง เราจะต้องไม่ปิดกั้นมุมมองชีวิตของเราเอง แค่เราต้องเดินไปข้งหน้าและหาความสุขที่อยู่ไกล้ตัวมากกว่าการหาสิ่งเสพติดมาเยียวยา เพราะ chandelier หมายถึง โคมฟ้าระย้า เพราะแสงไฟจะสว่างส่องแสงสวยงามมากในเวลากลางคืน แต่ชีวิตเราคงไม่สามารถอยุ่ได้แค่กับโคมไฟ เราต้องตื่นมาเพื่อพบกับแสงอาทิตย์ ที่ทอแสงในยามเช้าแล้วเราจะมีความสุขในทุกวันได้เพียงแค่เราเปิดใจไม่จมปลักกับสิ่งที่เป็นอยู่