-- พลังใจไม่ใช้ "ทักษะ" แต่เป็น "กล้ามเนื้อ" --

เคยสงสัยมั๊ย ว่าทำไม “พลังใจ” ของตัวเองมัน ขึ้นๆ ลงๆ

สำหรับผมเอง บางวันผมก็ผีเข้า ฮึดสู้จนงานเสร็จเกินเป้า   เขียนบล็อกต่อได้เป็นชั่วโมง  เสร็จแล้วออกไปวิ่ง  ทุกอย่างทำได้ครบตามที่ตั้งใจไว้  รู้สึกดีมากๆ

แต่บางวัน ตั้งใจว่าจะออกกำลังกาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ออก  ตั้งใจว่าจะทำงานให้เสร็จก็แค่เกือบเสร็จ  จะเขียนบล็อกล่ะ? ขี้เกียจอ่ะ  อ่านหนังสือ? ได้แค่ 10 นาที  สุดท้ายถึงจะสบายเพราะไม่มีใครมาบังคับให้ทำ แต่ก็รู้สึกไม่ดีเพราะว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้

พลังใจของผมมันมีทั้งขาขึ้นกับขาลงอย่างเห็นได้ชัด (ไม่ใช่หุ้น!)

หลังจากที่สงสัยอยู่สักพัก  ล่าสุดผมก็ได้แนวคิดที่จะใช้อธิบายความลุ่มๆ ดอนๆ ของพลังใจของผมจากหนังสือ The Power of Habits  ฟังให้ดีนะครับ.. แนวคิดที่ว่าก็คือ “พลังใจ” หรือ “Willpower” ของเรานั้น ไม่ใช่ “ความสามารถ” แต่เป็นเสมือน “กล้ามเนื้อ”  

นักจิตวิทยนาต่างก็ยอมรับแล้วว่า “พลังใจ” (ผมขอเรียกอีกอย่างว่า “กล้ามใจ”) ของเรานั้นมีขีดจำกัดไม่ต่างจากกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ในร่างกาย  นั่นแปลว่ามันจะค่อยๆ อ่อนแรงลง ทุกครั้งที่เราทำสิ่งที่ฝืนตัวเอง เช่น ทำงาน OT  อดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก หรือไปเรียนพิเศษ  นั่นแหละคือการ “ออกแรง” กล้ามใจเราในแต่ละวัน   (อ่านเรื่องการทดลองที่พิสูจน์ว่าพลังใจนั้นเป็นเหมือนกล้ามเนื้อได้ที่นี่ (ภาษาไทย) และที่นี่ (ภาษาอังกฤษ))

ถ้าคุณสังเกตว่าในช่วงท้ายของวัน คุณเหลือแต่ความขี้เกียจ ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรที่ “มีสาระ” แม้แต่นิดเดียว  นั่นล่ะ แปลว่าวันนั้นกล้ามใจของคุณนั้นหมดแรงซะแล้ว และกว่าที่กล้ามใจมีแรงกลับขึ้นมาได้ใหม่ ส่วนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยคืนนึงล่ะครับ

เพราะฉะนั้น คุณ Charles Duhigg ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จึงเสนอเคล็ดลับว่า  ถ้าคุณมักล้มเหลวกับการทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแต่ละวัน (เช่นออกไปวิ่ง ฝึกทำขนม ทำอาหาร เขียนไดอารี่ แต่งเพลง ฯลฯ) นั่นเป็นไปได้มากที่คุณได้ใช้พลังใจของคุณไปกับเรื่องอื่นไปหมดแล้ว  ฉะนั้นถ้าคุณอยากทำกิจกรรมเหล่านี้ คุณจะต้องเผื่อพลังใจจากการทำงานบ้าง หรือไม่ก็ย้ายกิจกรรมที่อยากทำมาไว้ในช่วงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่พลังใจของคุณยังเต็มเปี่ยมอยู่นั่นเองครับ

เมื่อพลังใจเป็นกล้ามเนื้อแล้วดีอย่างไร?

เรื่องมันยังไม่จบเพียงเท่านี้  ถึงแม้ว่ากล้ามเนื้อจะไม่เหมือน “ทักษะ” ตรงที่มันสามารถหมดแรงได้ แต่ถ้าเราหมั่นออกกำลังกายมัน กล้ามเนื้อมัดนั้นก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ “กล้ามใจ” ของเราก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!

ใช้แล้ว ในระยะยาวถ้าเราหมั่นฟิต “กล้ามใจ” ของเรา มันก็จะ ฟิตขึ้น ใหญ่ขึ้น ดุขึ้น  ต่างจากการยกดัมเบลล์ แค่ตรงที่ไม่มีกล้ามใหญ่ๆ จริงๆ ไปโชว์สาว หรือ แขนเฟิร์มๆ ไปโชว์หนุ่มๆ เท่านั้นเอง (แต่สมัยนี้เค้าฮิตชายมีพุงกันแล้วหนิ?)



ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าคุณจะ ฟิตกล้ามใจโดยการไปออกกำลังกาย ทานอาหารเจ หรือ ฝึกอดออม  คุณก็จะพบว่า คุณมีพลังใจที่จะทำอย่างอื่นมากขึ้นด้วย  คุณจะฝืนตัวเองได้เก่งขึ้น  เอาชนะอุปสรรค์ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น  และเหนือสิ่งอื่นใดคุณก็จะมีความสุขมากขึ้น  คุณ Charles เรียกสิ่งนี้ว่า “Spillover Effect” แต่ถ้าจะให้ผมโฆษณาหน่อยก็ต้องบอกว่า “กล้ามเดียว ทำได้ทุกอย่าง! All-in-One!”

อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่ง รีบเร่ง เหยียบมิด ติดเทอร์โบ ใส่โปรแกรมออกกำลังกาย 3 ชั่วโมง + ฝึกทำอาหาร 5 อย่างนะครับ  เว็บไซต์ willpowered.com แนะนำว่าให้เริ่มทำทีละอย่าง  และค่อยๆ ขยับความยากทีละนิดๆ  ถ้าเปรียบกับการยกน้ำหนัก ก็ไม่ใช่เริ่มมาจะไปยก 200 กิโล (แค่คิดภาพก็ปวดหลังเลย) แต่เริ่มจากน้ำหนักกำลังพอดีกับแรงของเราครับ   เขาบอกว่า ถ้าใส่เต็มแล้วทำไม่ได้  ในระยะยาวเราจะกลับมาที่เดิม แถมรู้สึกแย่กับตัวเองเปล่าๆ

ด้วยคอนเส็ปนี้ ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมบางคนทำงานก็หนัก ตกเย็นก็ยังไปฟิตออกกำลังกาย  ไม่พอ ตอนดึกก็ยัง อ่านหนังสือหาความรู้เข้าตัว แบบว่าเป็นเรื่องปกติ  และที่สำคัญเขายังดูพอใจและมีความสุขกับชีวิตตัวเองมาก  (ถึงแม้ว่าเค้าจะบ่นเหนื่อยบ้างเป็นบางครั้งคราว)  ถ้าเปลี่ยนกล้ามใจของเข้าเป็นกล้ามเนื้อแขน  แขนพวกเขาคงใหญ่ไม่แพ้คุณอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์เลยครับ (จะสะกดชื่อลุงแกทีไร ต้องถามอากู๋ Google ทุกทีเลย)


กล้ามใจใหญ่เท่าลุงอาร์โนลด์


ระวัง! กล้ามใจก็เหี่ยวได้ถ้าไม่ใช้มัน

ถ้าเราไม่คอยออกกำลัง “กล้ามใจ” อย่างสม่ำเสมอ กล้ามใจของเราก็จะเหี่ยวววลง  ถึงตอนนั้น ต่อให้เราลดความยากของงาน  แต่กล้ามเนื้อที่อ่อนแรงลงก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่างานมันเบาลงเท่าไหร่เลย

การพักผ่อนนานๆ ก็เป็นอีกสาเหตุนึงที่ทำให้กล้ามใจเราอ่อนแรง  ผมเป็นคนหนึ่งที่กล้ามเนื้อพลังใจเหี่ยวเร็วผิดปกติ  ทุกครั้งที่ได้เที่ยวแบบนานๆ เป็นสัปดาห์  ผมพบว่า แทนที่จะเป็นการ “พักฟื้น” กล้ามใจ  การพักแบบ “ไม่คิดทำอะไรเลย” กลับทำให้กล้ามใจของผมอ่อนแรง และทำให้รู้สึกว่างานที่ทำอยู่มันยากลำบาก  ทั้งที่ในความเป็นจริง มันก็คืองานเดิมก่อนที่เราจะไปพักนั่นแหละ

เพื่อนๆ สามารถป้องกันทั้งสองปัญหานี้ได้  โดยหมั่นสังเกตและฟิตกล้ามใจของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ  อย่าปล่อยให้มันเหี่ยวลงถึงแม้จะเป็นวันหยุดพักผ่อนก็ตามครับ!  ไม่ได้บอกให้เอางานไปทำด้วยนะ แต่ฟิตกล้ามใจด้วยการออกไปออกกำลังกาย  อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่อยากทำก่อนหน้านี้แต่ “เหนื่อยไป” ที่จะทำ

พูดง่ายๆ คือ เราต้องทำตัวเหมือนนักกล้ามที่ทนเห็นหุ่นตัวเองเหี่ยวลงไม่ได้ จนต้องกลับไปเข้ายิมใหม่นั่นเอง

เขียนมาตั้งยาว พูดไปก็หลายเรื่อง ผมขอสรุปให้ฟังอีกทีละกันนะครับ

ในระยะสั้น “พลังใจ” หรือ willpower ของคุณก็เหมือนกล้ามเนื้อ มันมีพลังที่จำกัด เพราะฉะนั้นคุณต้องเลือกใช้มันกับสิ่งดีๆ ที่คุณอยากทำ
ในระยะยาว คุณสามารถเพิ่มพลังใจ (ฟิตกล้ามใจ) ของคุณได้ การเพิ่มพลังใจจะทำให้คุณสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งนำมาสู่ความสุข และความพอใจในชีวิตที่มากขึ้น

อย่าปล่อยให้กล้ามใจของคุณเหี่ยวลง  หมั่นออกแรงมันอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้จะเป็นวันหยุดยาวก็ตาม
คุณก็มีกล้ามที่ใหญ่เหมือนลุงอาโนล์ด เดอะร็อค ณเดช หรือดีเจพุฒิได้ (คนสุดท้ายแฟนผมชอบเป็นพิเศษ)

เรามาฟิตกล้ามใจกันเถอะ ฮึด ฮึด ฮึด!

ที่มา หนังสือ The Power of Habits
บทความจาก http://www.facebook.com/metaponblog ยิ้ม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่