เคยได้ยินว่า... เวลาที่เราทุกข์ใจ ให้มองคนที่เค้าแย่กว่าเรา จะได้รู้สึกดีขึ้น อะไรทำนองนี้ ก็เลยอยากรู้ว่ามีใครเจอเรื่องอะไรที่แย่กว่านี้อีกไหม ยาวหน่อย ทนอ่านหน่อยนะคะ อยากมีพื้นที่ให้ได้ระบายบ้าง สมัครพันทิปเข้ามาเพื่อกระทู้นี้เลยจริง ๆ
ขอเกริ่นหน่อยนะคะ
เราเพิ่งแต่งงานไปเมื่อ 2-3 อาทิตย์นี่เองค่ะ คบกับแฟนได้ปีกว่า ๆ ก็ตัดสินใจแต่งแล้ว ประมาณว่าไม่มีเวลาดูใจนานค่ะ 30 กว่าแล้ว กลัวอยู่ไม่ทันดูใจลูกตอนรับปริญญา แฟนเราอ่อนกว่าเรา 3 ปีค่ะ เป็นคนน่ารัก เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่ติดเพื่อน เคยดีกับเราตั้งแต่วันแรกยังไง วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เข้ากับครอบครัวเราและเพื่อนเราได้ดี ไปไหนไปกัน อยากได้อะไร อยากทำอะไร อยากไปไหน บอก แฟนเราจัดให้หมด ไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน เราจ่ายบ้าง เค้าจ่ายบ้าง อยู่กันแบบแฟร์ ๆ ค่ะ ที่สำคัญเค้ายอมรับในความเป็นตัวเราได้ทุกอย่าง คืออยู่ด้วยแล้วสบายใจค่ะ ไม่ต้องแอ๊บ อยากทำไรก็ทำ ถึงขนาดว่าน้ำไม่อาบ หัวไม่สระ ก็ว่าหอมค่ะ (เยอะเนอะ) บวกกับพ่อแม่แฟนก็ดูโอเคกะเรา (ณ ตอนนั้นนะ) พื้นฐานทางบ้าน ฐานะทางสังคม หน้าที่การงาน ก็ดูไม่ต่างกันมาก (จริง ๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่าทางเค้ามีอะไรแค่ไหน เพราะเราไม่ได้โฟกัสเรื่องพวกนั้นเลย แต่โดยรวมไม่ได้เลวร้ายอะไร)
เริ่มเข้าเรื่องค่ะ
ปัญหามันเริ่มมาก็ตอนที่ตัดสินใจจะแต่งนี่แหละค่ะ แฟนเรามาคุยกับที่บ้านเราก่อนว่าเดี๋ยวจะให้พ่อแม่มาคุยเรื่องแต่งงาน ทางบ้านเราก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ค่ะ หาฤกษ์รอเลย ก่อนพ่อแม่เค้าจะมาก็มีการคุยเบื้องต้นบ้างแล้วว่าสินสอดจะเป็นเงิน 4 แสน ทอง 4 บาท ทางบ้านเราไม่ได้เรียกร้องนะ แฟนเราเป็นคนเสนอมาเอง ซึ่งทางเราก็โอเค (จริง ๆ ยายเราเคยตั้งค่าหัว เอ้ย ค่าตัวไว้ตั้งกะตอนเรายังเรียนไม่จบค่ะ ว่าถ้ามีใครมาขอก็เอาล้านนึง ตอนนี้อายุปาไป 30 กว่า โดนค่าเสื่อมกินหมดแล้วค่ะ แค่ขายออกก็ดีใจจะแย่)
พอถึงวันที่พ่อแม่เค้ามาคุย ใจก็แอบตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ค่ะ เพราะดูบทสนทนาแล้ว เสี่ยงต่อการไม่ได้ออกเรือนเอามาก ๆ เริ่มต้นคุยเหมือนจะดี แต่พอมาถึงตรงสินสอดนี่ ยายเราบอกไม่ได้เรียกร้อง แต่ทางนั้นน่ะจะเอามาเท่าไหร่ พ่อแฟนเราบอกวาง 4 เอากลับ 2 ได้ไหม ยายเรานี่ความดันขึ้นเลยค่ะ ตวาดเสียงลั่นเลยว่า “ไม่ใช่เรื่องมาล้อเล่น ตกลงไว้ว่ายังไง” แฟนเราก็หน้าเสียค่ะ ก็รีบพูดตัดบทมาว่าตามทื่คุยกันไว้ทีแรก แล้วบรรยากาศหลังจากนั้นก็เงียบสงัดจนแทบจะได้ยินเสียงมดหายใจ เรานี่หันหน้าหนีเลย ประมาณว่า เอาแล้วววววววว หย่อนขาลงคานมาแล้วข้างนึง ดึงกุกลับอีกแล้วววววววว แต่ก็ไม่ได้มีอะไรค่ะ ก็ผ่านไป แต่ก็ตกลงกันว่า งานเช้าทางบ้านเราเป็นฝ่ายรับผิดชอบ ส่วนงานเย็นทางบ้านเค้าเป็นฝ่ายรับผิดชอบ นอกนั้นเรากับแฟนเหมาเรียบ
ทีนี้เราก็มาคิดว่า ในฐานะที่เกิดเป็นหญิงงาม นามไฉไล ใจสปอร์ต จะปล่อยให้แฟนเรารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพียงลำพังไม่ได้ ไหน ๆ เค้าก็รับผิดชอบค่าสินสอดแล้ว เราก็จะช่วยสำรองจ่ายค่าโน่นนี่นั่นเอง เพราะคิดว่าหลังแต่งเนี่ยเอาสินสอด+ค่ารับไหว้+ซองช่วย เคลียร์ค่าใช้จ่ายได้สบายอยู่แล้ว แถมมีเงินเหลือตั้งต้นชีวิตครอบครัวอีกก้อนนึง (ยายเราเอ่ยปากตั้งแต่แฟนเรามาคุยรอบแรกแล้วว่าสินสอดก็ไม่ได้เอาไว้ จะยกให้เป็นทุนตั้งต้นชีวิตคู่ เพราะยังไงเงินส่วนนี้ก็เอาไปทำบุญไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงก็ต้องยกให้)
และด้วยความที่ไม่เคยแต่ง แต่ก็คิดว่าถ้าทำไรเองก็คงจะลดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ แต่สรุปว่าไม่มีเวลาทำไรเองเท่าไหร่ค่ะ งานล้นหัวล้นหูมาก ยิ่งใกล้แต่งก็ยิ่งต้องออกต่างจังหวัดแบบรัว ๆ ก็หมดแรงกันไป แต่ก็ยังมิวายต้องมาคิดเอง จัดการเองอยู่ดี เพราะไอครั้นจะปรึกษาแฟน แฟนก็แล้วแต่เราค่ะ ก็เลยโอเค๊ ไม่เป็นร๊ายยย กุเอ๊งงงง ทั้งเรื่องแหวน พรีเว็ดดิ้ง แบ็คดรอป ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า การ์ด ของชำร่วย ของรับไหว้ ชุดเพื่อนบ่าว-สาว และจิปาถะอื่น ๆ รวม ๆ แล้วตก 2 แสนค่ะ (ร้องเห้หนักมาก) บางคนอาจจะคิดว่าทำไมเยอะแยะขนาดนั้น อย่าว่าแต่คุณคิดเลยค่ะ เราเองก็คิด ทำไมแต่งงานทีค่าใช้จ่ายมันถึงได้เยอะขนาดนี้วะน่ะ นี่ขนาดพ่อแม่ 2 ฝ่าย รับผิดชอบงานเช้ากะงานเย็นไปแล้วนะ แอบท้อแรง ๆ เหมือนกัน แต่ก็คิดว่า เอาน่า ชมพู่แต่งแพงกว่านี้อีก (ว่าไปนั่น) ก็เครียดเรื่องเงินกันมายาว ๆ เลยค่ะ
ก่อนวันแต่ง 3 วัน เรากับแฟนลางานรอไว้แล้วค่ะ เด็ดกว่าตรงเพื่อนเจ้าสาว 6 คน คือลาทำไม ตื่นเต้นยังกะแต่งเอง มาช่วยจัดการเรื่องที่บ้านทุกอย่างค่ะ ทำอะไรกันเองหมด ดอกไม้ก็ถ่อไปซื้อกันเอง จัดกันเอง ไม่ต้องหลับต้องนอน เต็มที่ตั้งแต่ก่อนแต่งจนวันแต่ง จ้าง 200 ทำ 2 หมื่นเลยทีเดียว อันนี้ถือว่าโชคดีมาก ๆ ที่มีเพื่อนดีค่ะ (อ่านมาถึงตรงนี้คงจะสงสัยว่า เอาเพื่อนมาเกี่ยวทำไม จริง ๆ มันเกี่ยวค่ะ อ่านต่อไปละกัน)
ใครเคยมีประสบการณ์แย่ ๆ กับงานแต่งของตัวเองบ้างคะ มาแชร์กันหน่อย
ขอเกริ่นหน่อยนะคะ
เราเพิ่งแต่งงานไปเมื่อ 2-3 อาทิตย์นี่เองค่ะ คบกับแฟนได้ปีกว่า ๆ ก็ตัดสินใจแต่งแล้ว ประมาณว่าไม่มีเวลาดูใจนานค่ะ 30 กว่าแล้ว กลัวอยู่ไม่ทันดูใจลูกตอนรับปริญญา แฟนเราอ่อนกว่าเรา 3 ปีค่ะ เป็นคนน่ารัก เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่ติดเพื่อน เคยดีกับเราตั้งแต่วันแรกยังไง วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เข้ากับครอบครัวเราและเพื่อนเราได้ดี ไปไหนไปกัน อยากได้อะไร อยากทำอะไร อยากไปไหน บอก แฟนเราจัดให้หมด ไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน เราจ่ายบ้าง เค้าจ่ายบ้าง อยู่กันแบบแฟร์ ๆ ค่ะ ที่สำคัญเค้ายอมรับในความเป็นตัวเราได้ทุกอย่าง คืออยู่ด้วยแล้วสบายใจค่ะ ไม่ต้องแอ๊บ อยากทำไรก็ทำ ถึงขนาดว่าน้ำไม่อาบ หัวไม่สระ ก็ว่าหอมค่ะ (เยอะเนอะ) บวกกับพ่อแม่แฟนก็ดูโอเคกะเรา (ณ ตอนนั้นนะ) พื้นฐานทางบ้าน ฐานะทางสังคม หน้าที่การงาน ก็ดูไม่ต่างกันมาก (จริง ๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่าทางเค้ามีอะไรแค่ไหน เพราะเราไม่ได้โฟกัสเรื่องพวกนั้นเลย แต่โดยรวมไม่ได้เลวร้ายอะไร)
เริ่มเข้าเรื่องค่ะ
ปัญหามันเริ่มมาก็ตอนที่ตัดสินใจจะแต่งนี่แหละค่ะ แฟนเรามาคุยกับที่บ้านเราก่อนว่าเดี๋ยวจะให้พ่อแม่มาคุยเรื่องแต่งงาน ทางบ้านเราก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ค่ะ หาฤกษ์รอเลย ก่อนพ่อแม่เค้าจะมาก็มีการคุยเบื้องต้นบ้างแล้วว่าสินสอดจะเป็นเงิน 4 แสน ทอง 4 บาท ทางบ้านเราไม่ได้เรียกร้องนะ แฟนเราเป็นคนเสนอมาเอง ซึ่งทางเราก็โอเค (จริง ๆ ยายเราเคยตั้งค่าหัว เอ้ย ค่าตัวไว้ตั้งกะตอนเรายังเรียนไม่จบค่ะ ว่าถ้ามีใครมาขอก็เอาล้านนึง ตอนนี้อายุปาไป 30 กว่า โดนค่าเสื่อมกินหมดแล้วค่ะ แค่ขายออกก็ดีใจจะแย่)
พอถึงวันที่พ่อแม่เค้ามาคุย ใจก็แอบตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ค่ะ เพราะดูบทสนทนาแล้ว เสี่ยงต่อการไม่ได้ออกเรือนเอามาก ๆ เริ่มต้นคุยเหมือนจะดี แต่พอมาถึงตรงสินสอดนี่ ยายเราบอกไม่ได้เรียกร้อง แต่ทางนั้นน่ะจะเอามาเท่าไหร่ พ่อแฟนเราบอกวาง 4 เอากลับ 2 ได้ไหม ยายเรานี่ความดันขึ้นเลยค่ะ ตวาดเสียงลั่นเลยว่า “ไม่ใช่เรื่องมาล้อเล่น ตกลงไว้ว่ายังไง” แฟนเราก็หน้าเสียค่ะ ก็รีบพูดตัดบทมาว่าตามทื่คุยกันไว้ทีแรก แล้วบรรยากาศหลังจากนั้นก็เงียบสงัดจนแทบจะได้ยินเสียงมดหายใจ เรานี่หันหน้าหนีเลย ประมาณว่า เอาแล้วววววววว หย่อนขาลงคานมาแล้วข้างนึง ดึงกุกลับอีกแล้วววววววว แต่ก็ไม่ได้มีอะไรค่ะ ก็ผ่านไป แต่ก็ตกลงกันว่า งานเช้าทางบ้านเราเป็นฝ่ายรับผิดชอบ ส่วนงานเย็นทางบ้านเค้าเป็นฝ่ายรับผิดชอบ นอกนั้นเรากับแฟนเหมาเรียบ
ทีนี้เราก็มาคิดว่า ในฐานะที่เกิดเป็นหญิงงาม นามไฉไล ใจสปอร์ต จะปล่อยให้แฟนเรารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพียงลำพังไม่ได้ ไหน ๆ เค้าก็รับผิดชอบค่าสินสอดแล้ว เราก็จะช่วยสำรองจ่ายค่าโน่นนี่นั่นเอง เพราะคิดว่าหลังแต่งเนี่ยเอาสินสอด+ค่ารับไหว้+ซองช่วย เคลียร์ค่าใช้จ่ายได้สบายอยู่แล้ว แถมมีเงินเหลือตั้งต้นชีวิตครอบครัวอีกก้อนนึง (ยายเราเอ่ยปากตั้งแต่แฟนเรามาคุยรอบแรกแล้วว่าสินสอดก็ไม่ได้เอาไว้ จะยกให้เป็นทุนตั้งต้นชีวิตคู่ เพราะยังไงเงินส่วนนี้ก็เอาไปทำบุญไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงก็ต้องยกให้)
และด้วยความที่ไม่เคยแต่ง แต่ก็คิดว่าถ้าทำไรเองก็คงจะลดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ แต่สรุปว่าไม่มีเวลาทำไรเองเท่าไหร่ค่ะ งานล้นหัวล้นหูมาก ยิ่งใกล้แต่งก็ยิ่งต้องออกต่างจังหวัดแบบรัว ๆ ก็หมดแรงกันไป แต่ก็ยังมิวายต้องมาคิดเอง จัดการเองอยู่ดี เพราะไอครั้นจะปรึกษาแฟน แฟนก็แล้วแต่เราค่ะ ก็เลยโอเค๊ ไม่เป็นร๊ายยย กุเอ๊งงงง ทั้งเรื่องแหวน พรีเว็ดดิ้ง แบ็คดรอป ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า การ์ด ของชำร่วย ของรับไหว้ ชุดเพื่อนบ่าว-สาว และจิปาถะอื่น ๆ รวม ๆ แล้วตก 2 แสนค่ะ (ร้องเห้หนักมาก) บางคนอาจจะคิดว่าทำไมเยอะแยะขนาดนั้น อย่าว่าแต่คุณคิดเลยค่ะ เราเองก็คิด ทำไมแต่งงานทีค่าใช้จ่ายมันถึงได้เยอะขนาดนี้วะน่ะ นี่ขนาดพ่อแม่ 2 ฝ่าย รับผิดชอบงานเช้ากะงานเย็นไปแล้วนะ แอบท้อแรง ๆ เหมือนกัน แต่ก็คิดว่า เอาน่า ชมพู่แต่งแพงกว่านี้อีก (ว่าไปนั่น) ก็เครียดเรื่องเงินกันมายาว ๆ เลยค่ะ
ก่อนวันแต่ง 3 วัน เรากับแฟนลางานรอไว้แล้วค่ะ เด็ดกว่าตรงเพื่อนเจ้าสาว 6 คน คือลาทำไม ตื่นเต้นยังกะแต่งเอง มาช่วยจัดการเรื่องที่บ้านทุกอย่างค่ะ ทำอะไรกันเองหมด ดอกไม้ก็ถ่อไปซื้อกันเอง จัดกันเอง ไม่ต้องหลับต้องนอน เต็มที่ตั้งแต่ก่อนแต่งจนวันแต่ง จ้าง 200 ทำ 2 หมื่นเลยทีเดียว อันนี้ถือว่าโชคดีมาก ๆ ที่มีเพื่อนดีค่ะ (อ่านมาถึงตรงนี้คงจะสงสัยว่า เอาเพื่อนมาเกี่ยวทำไม จริง ๆ มันเกี่ยวค่ะ อ่านต่อไปละกัน)