[CR] ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เป็นผู้พิชิตภูสอยดาว

ห่างหายไปนานเลย นานๆทีจะรีวิวสักทีหนึ่ง เป็นคนมีเวลาไปเที่ยวถ่ายรูป แต่ไม่ค่อยมีเวลารีวิว 55 ถ้าว่างๆจะเอามาลงให้ชมกันนะ ทริปนี้เหนื่อยหน่อย ได้ออกแรงขาเดินกันหายอยากกันทีเดียว ครั้งนี้ได้เดินทางไปที่อุทยานแห่งชาติ ภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ที่นี่ยอดสูงสุดสูงจากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร นับว่าสูงเป็นอันดับที่ 5 ของประเทศกันเลยทีเดียว

การเดินทางจากกรุงเทพฯก็ไปเส้นทางที่ขึ้นไปทางนครสวรรค์ พิจิต พิษณุโลกก็สะดวก หรืออยากเปลี่ยนบรรยากาศมาทางเพชรบูรณ์ แล้วไปทางหล่มเก่าเข้าสู่จังหวัดเลยผ่านอำเภอด่านซ้าย เข้าอำเภอนาแห้ว แล้วเข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ได้เห็นวิวสวยๆแปลกตาไปอีกแบบ แต่เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยว และขึ้นเขา ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เมื่อมาถึงที่นี่ควรมาอย่าให้เกินเที่ยงจะดีที่สุดเพราะว่ากว่าจะขึ้นไปถึงก็มืดพอดี จะเดินขึ้นลำบาก ให้จัดเตรียมสัมภาระให้พร้อมแนะนำให้ใช้ลูกหาบจะดีที่สุดไม่เป็นภาระลูกหลาน อัตราค่าจ้างลูกหาบกิโลละ 35 บาท ช่วยทุนแรงเราไปได้มากโขเลยทีเดียว เพราะลำพังตัวเปล่าก็แทบแย่แล้ว แนะนำหากท่านใดจะมาค้างคืนแค่ 1 คืน แนะให้ไปเช่าเต๊นท์ที่อยู่ด้านบนจะดีกว่า เพราะค่าลูกหาบอาจจะพอๆกับค่าเช่าก็ได้ นอน 1 คน 700 บาท นอน 2 คน 800 นอน 3 คน 900 บาท ถ้าจำราคาไม่ผิดนะ แต่ถ้าไปนอนหลายคืน ให้ลูกหาบแบกขึ้นไปดีกว่าคุ้มกว่า เตรียมอาหารไปให้พร้อมข้างบนไม่มีอาหารขาย น้ำดื่มกินอาจจะไม่ต้องเตรียมไปมาก เพราะด้านบนมีน้ำฝนที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้ดื่มกินหุงหาอาหาร เพียงถ้าไม่แน่ใจต้มให้สุกสักหน่อยก็ดี เตรียมแค่น้ำให้เพียงพอกับการเดินขึ้นก็พอ ถ้าพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันได้เลย

หากพร้อมเดินทางจะมีรถกระบะของเจ้าหน้าที่มารับเราไปยังจุดขึ้น ห่างไปหลายร้อยเมตรอยู่จากที่ทำการ ตรงจุดนี้มีน้ำของกินให้ซื้อด้วย ใครยังมีไม่พอโอกาสนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว เดินเข้าไปสิ่งแรกที่เจอก็คือ น้ำตกภูสอยดาว มีทั้งหมด 5ชั้น สวยเลยทีเดียว แต่ให้อดใจเล่นไว้ก่อนขากลับลงมาค่อยไปก็ได้ แต่เชื่อเถอะคงไม่มีใครอยากเล่นแล้วละ 55


เดินขึ้นไปอีกสักนิดจะเจอป้ายทางเดินเท้าขึ้นสู่ลานสนภูสอยดาว เขียนชัดเจนว่า 6.5 กม. แต่เชื่อผมเถอะว่านี่คือ กิโลแม๊ว ใครที่ฟิตร่างกายมาไม่ดีพอ อดนอน ทานน้ำน้อยระวังจะเกิดตะคริวได้ง่าย อาจจะหายาคลายกล้ามเนื้อทานไว้ก่อนเลย กันกล้ามเนื้อตึงจนเกินไปได้


เส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางชันขึ้นเขา มีทางราบเรียบๆน้อยมาก บางช่วงมีสะพานข้ามน้ำ บางช่วงมีสะพานเหล็กสูงชันให้เดินขึ้น ซึ่งจะกินแรงขาเราไปได้เยอะเลยทีเดียว


หากมาเดินในช่วงที่ฝนตกหนักอาจจะเดินขึ้นลำบากกว่าเดิมเพราะพื้นดินอาจจะลื่นและชื้นแชะต้องใส่เสื้อกันฝน ทำให้เราเดินช้าลง แต่เชื่อว่านี่คือเสน่ห์ของการเดินขึ้นบนภูสอยดาวที่ไม่เหมือนใคร


ป่าหน้าฝนนี่เขียวชุ่มช่ำ สดชื่นเป็นที่สุด ต้นไม้ที่นี่บางต้นมีขนาดหลายคนโอบเลยทีเดียว


ระหว่างทางก็มีป้ายบอกชื่อของต้นไม้ให้เราได้อ่านกันตลอดทาง แนะให้หยุดแวะอ่านจะได้พักไปในตัวด้วยครับ


เดินไปเรื่อยๆไม่ต้องเร่งเดินเร็วนะครับ อาจจะทำให้เกิดตะคริวได้ง่าย เหนื่อยก็พักถ่ายรูปไปพลางๆช่วยได้เยอะเลยทีเดียว


เดินไปเรื่อยๆจะมีป้ายบอกระยะทางที่เหลือที่จะเดินไปถึงลานสนด้านบนนะครับ แต่จะไม่มีป้ายบอกว่าอีกเท่าไรจะถึงเนินต่อไป เหมือนกับอย่างที่ภูกระดึง ทำให้เราต้องเดินไปลุ้นไปว่าเมื่อไรจะถึงเนินต่อไป


ระยะทางที่นี่ถือว่าโหดกว่าที่ภูกระดึง เพราะเป็นทางชันขึ้นเขาสะส่วนมากถึง 6.5 กม. แต่ที่ภูกระดึงเดินขึ้นสลับกับทางราบแค่ 5 กิโล นอกนั้นเดินทางเรียบๆอีก 3 กม. แถมมีร้านค้าให้นั่งทานน้ำเย็นๆทานข้าวกันได้เป็นระยะๆแต่ที่นี่ไม่มี เดินแล้วก็เดินอย่างเดียว ให้อารมณ์ที่แตกต่างกันไปบ้าง


เดินไปนึกไปว่าเมื่อไรจะถึงจากที่เห็นยอดใกล้ๆ แต่ทำไมเดินไม่ถึงสักที เส้นทางการเดินส่วนใหญ่ค่อนข้างร่มรื่นครับ มีต้นไม้ใหญ่ๆให้ร่มเงาตลอดเวลา จะมีแค่บางช่วงเท่านั้นที่เป็นที่โล่ง แต่ไม่ร้อนครับ เย็นสบาย


มีจุดให้เราชมวิวเป็นระยะๆ คนที่ชอบถ่ายภาพรับรองว่าต้องชอบแน่นอน คนที่พกกล้องใหญ่ๆอาจจะลำบากหน่อยเพราะความหนักของตัวกล้องและเลนส์ แต่ก็แลกมากับคุณภาพที่ดีของภาพถ่าย แต่หากว่าใครมีกล้องเล็กคุณภาพสูงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะแรกๆที่เราแบกอุปกรณ์ถ่ายภาพมาอย่างเต็มพิกัด เราจะรู้สึกมั่นใจว่าเราไม่พลาดช๊อตสำคัญๆแน่ๆ แต่เดินขึ้นไปสักพักรับรองว่าอยากวางทิ้งไว้เหลือแต่กล้องเล็กๆสบายๆตัวแน่นอน


สำหรับคนที่เดินช้าแนะนำให้ขึ้นตั่งแต่เช้า เพราะบนภูเขาจะมืดเร็วกว่าปกติ เนื่องจากมีเขาสูงบังแสงพระอาทิตย์ หากใครขึ้นมาบ่ายต้องเร่งสปีดกันหน่อย เพราะถ้ามืดแล้วจะเดินลำบากกันเลยทีเดียว


พอขึ้นมาถึงเนินมรณะแล้วซึ่งถือเป็นเนินที่ยากที่สุดและเป็นเนินสุดท้ายก่อนจะถึงลานสน จะมองเห็นวิวสวยงามมองเห็นเบื้องล่างที่เราเดินขึ้นมาได้เลย ไม่รู้ว่าเดินขึ้นมาได้ยังไง ขึ้นมาแบบงงๆ


มองเห็นวิวทิวเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตาสวยงามกันเลยทีเดียว ช่วงนี้จะถ่ายรูปเยอะหน่อย ไม่ใช่อะไรตะคริวขึ้นขาครับ เป็นเนินนี้สูงชันเป็นระยะทางไกลมาก แต่ต้องอดทนขึ้นไปให้ได้ครับ


พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าสวยงามยิ่งนัก แต่เราไม่สวยแน่ๆ เพราะจะมองทางลำบากมากขึ้นถายังไม่ถึงลานสน


ถ่ายภาพเงาดำสักหน่อย จะได้ไม่มาเสียเที่ยว แต่ถ้าจะมืดแล้วต้องระวังครับ เพราะเป็นทางลัดเลาะริมหน้าผา ต้องใช้ความระมัดระวัง มีเพียงหญ้าขึ้นสูงๆเท่านันที่เป็นแนวกั้น


ด้านบนมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก แต่มาชมระหว่างทางก็สวยไปอีกแบบนะ ปลอบใจตัวเองที่ยังขึ้นไปไม่ถึง


พอขึ้นมาถึงเดินมาอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงลานสนที่พัก ติดต่อเจ้าหน้าที่ได้เลย ด้านบนมีเตาถ่าน ถ่านและอุปกรณ์บางอย่างให้เช่านะครับ ส่วนห้องน้ำห้องอาบน้ำมีบริการ แต่ไม่มีน้ำนะครับ ต้องเช่าขันน้ำไปตักน้ำในลำธารใกล้ๆมาอาบน้ำชำระล้างร่างกายกันเอง


ที่นี่ถ้าไม่ตรงกับวันหยุดยาวคนก็จะไม่ค่อยเยอะนะครับ เราสามารถกางเต๊นท์ตรงที่เขาจัดไว้ให้ ต้องระวังหน่อยนะครับ หากฝนตกอาจจะลำบากได้ ควรเตรียมผ้าใบกันฝนไว้ให้เรียบร้อย ไม่งั้นอาจจะงานเข้าไม่ได้นอนกันได้ทั้งคืนครับ


ใครที่อยากถ่ายดาวที่นี่รับรองไม่ผิดหวัง ถ้าท้องฟ้าเปิดนะครับ มีดาวมากมายให้นอนนับกันเป็นหมื่นๆดวงกันเลยทีเดียว


ส่วนใครจะมาล่าช้างเผือกต้องศึกษากันมาให้ดีครับ ว่าช่วงที่มาช้างมีไหม บางทีช้างจะอยู่ต่ำแค่ช่วง 1-2 ทุ่ม แล้วเลยเส้นขอบฟ้าลงไป สำหรับช่วงเวลาที่มาก็ได้ครับ


พักผ่อนกันตามสบาย รับรองคืนนี้หลับสนิทแน่นอน พรุ่งนี้ตื่นมาดูสายหมอกคลอเคลียกับลานสนกันครับ


ตื่นเช้ามาอากาศหนาวเย็นมาก ขนาดพูดแล้วมีควันออกจากปากได้เลยครับ ความชื้นจากน้ำค้างสูง เกาะตามใบไม้ดอกไม้ เห็นแล้วสวยงามมากครับ


แสงแดดอ่อนๆเริ่มเข้ามา ต้นไม้ใบหญ้าก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นเลยครับ


เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่นี่เป็นวงกลมนะครับจะเริ่มเดินจากด้านไหนก่อนก็ได้จะมาบรรจบกันอยู่ดี เลือกมุมถ่ายรูปกันได้เต็มที่เลย


ถ่ายภาพคู่กับต้นสนและสายหมอกนี่สักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงนะ


พอแดดเริ่มมาหมอกก็จะลอยออกมาช้าๆให้เราได้เก็บภาพกันจุใจเลยทีเดียว


ไฮไลน์ที่สำคัญของที่นี่คือดอกหงอนนาค หรือมีอีกชื่อว่า น้ำค้างกลางเที่ยงมีลักษณะดอกเป็นสีม่วงครับ ตอนเช้าจะมีน้ำค้างกลมๆเกาะอยู่เป็นเอกลักษณ์ครับ


ช่วงที่ใบมีขึ้นไม่เยอะครับ อาจจะเป็นเพราะฝนมาน้อย ฤดูกาลเปลี่ยนไป เจ้าหน้าที่ทำแนวกันไฟ แต่ยังสามารถพบเห็นได้ครับ อาจจะไม่ได้หนาตามากนัก แต่มีให้เห็นแน่นอนครับ


เลยจากแนวเขาลูกนั้นก็จะเป็นเขตประเทศลาวแล้วนะครับ ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์นะครับ เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าจะโทรต้องเขาไปในแนวเขตประเทศลาว อันนี้ยังไม่ได้ลองนะครับว่ามีหรือเปล่า


พระอาทิตย์จะขึ้นจากฝั่งแนวนี้นะครับ กว่าจะขึ้นเลยเขามาได้ก็พอสมควรเลยครับ


ย้อนแสงแรงๆสักรูปนะ


แสงอุ่นๆบนนี้กับแนวสนนี่ สวยงามจริงๆครับ


เดินมาเรื่อยๆจะเจอหลักเขตไทย-ลาวนะครับ


สร้างขึ้นสมัยสมรภูมิบ้านร่มเกล้าครับ


หลักเขตมีสองด้านนะครับตรงนี้อยู่ฝั่งประเทศไทยครับ


ขยับตัวไปอีกนิดไปอยู่ฝั่งประเทศลาวและ


ที่นี่คือทุ่งดอกหงอนนาคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนะครับ


บางต้นก็มีกิ่งเดียว บางต้นก็มีหลายกิ่ง


น้ำค้างที่เกาะมันก็อยู่แบบนั้นเลยนะครับ จนกว่าดอกไม้จะบาน


พอบานแล้วก็อย่างที่เห็นในภาพนะครับ สวยดีครับ


ดอกนี้สายๆถึงจะบานออกนะครับ ตอนเช้าจะหุบ
ชื่อสินค้า:   ภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่