สวัสดีครับ เพื่อนเดอะค็อป ทุกคน..พ้นผ่านเดือนตุลา เดือนแห่งการปฏิว้ติ จากร็อดเจอร์ สู่คล้อปป์ หากมองดูจากผลงานที่ผ่านมาจะว่าดีที่สุดก็พูดได้ไม่เต็มปาก จะว่าเลวร้ายก็คงไม่เข้าที แต่สิ่งที่ คล้อปป์ทำให้แฟนบอลเห็นนั้น มันช่างค้านสายตากับช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
เพราะอะไรด้วยผู้เล่นชุดเดิม ฟอร์มที่เคยรูดลงไปกลับพุ่งขึ้นมาและทำให้แฟนบอลคิดไปว่า นี่มันใช่ผู้เล่นเมื่อ 2-3 เดือนก่อนหรอนี่ ??? ...
มีคนเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี่ว่า ร็อดเจอร์สจะต้องลำบากกับการใช้ "ลอฟเร็น" ประจำการอยู่ในแดนหลัง ซึ่งยังคงมองข้ามปราการลังอย่าง "ซาโก้" และการสับเปลี่ยนหมุนตัวผู้เล่น ที่ยังคงหาจุดยืนไม่เจอในผู้เล่น 11 ตัวจริง ทีกล่าวมานี่ก็ไม่ใชจะรื้อฟื้นความหลังหรือตำหนิการทำหน้าที่ของ "ร็อดเจอร์ส" เพราะผมคนนึงล่ะที่สับสนุน ร็อดเจอร์สมาโดยตลอดและหวังว่าจะหาทางกลับมาได้โดยไว...โดยให้ผู้คนลบเอาความคิดที่ว่าในปี 2013/14 มันไม่ใช่เพราะ "Suarez System" ทำให้ลิเวอร์พูลเกือบก้าวขึ้นไปคว้าถ้วยพรีเมียร์ลีค
1ฤดูกาล(2014/15)หลังจากนั้น มันเริ่มหายไปเกมรุกที่เคยยิงนับครั้งไม่ถ้วน แม้แนวรับจะไม่แข็งแกร่งแต่ได้เกมรุกขึ้นมาปิดรอยรั่วนั้น...การขาดหายไปของแนวรุกนั้น ร็อดเจอร์สไม่สามารถอุดรอยต่อและรักษามาตรฐานเอาไว้ได้..
กลายเป็น 1ฤดูกาลซ่อม 2ฤดูกาลสร้าง 3ฤดูกาลทรุด แน่นอนว่าเข้าฤดูกาลที่ 4 กลับยิ่งทำให้แฟนบอลไม่สามารถทนเห็นได้อีกต่อไป ฟางเส้นสุดท้ายถึงได้ขาดลง
การก้าวมาของ "คล็อป" ไม่ได้เปลี่ยนแปลงผู้เล่นอะไร เพราะว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลยหลังจากตลาดนักเตะปิดตัวลง ต้องใช้จำนวนผู้เล่นที่มีอยู่ แต่แตกต่างกันที่ "รูปแบบการเล่น" ที่มีความมุ่งมันเพิ่มเข้ามา ผู้เล่นไม่เอือยแฉะ กระหายในการลงเล่นและชัยชนะที่ควานหา
ผู้เล่นตัวหลัก ของคล็อป จาก 6 นัดที่ผ่านมา ด้วยระบบ 4-2-3-1 .. ผู้รักษาประตู มิโญเล่ต์ แผงแบ๊คโฟว์ ไคลน์ สเคอร์เทล ซาโก้ โมเรโน่ แดนกลาง ชาน กับ ลูคัส ส่วนในแนวรุก คูติญโญ่ ลาลาน่า และ มิลเนอร์ หากกองหน้าตัวหลักอย่าง เบนเทเก้ ไม่บดาเจ็บก็อยากนักที่ โอริกี้ จะมีโอกาสลงเป็นตัวจริง ในช่วงที่ผ่านมายังไม่สามารถพิสูจณ์อะไรให้ได้เห็น
ซึ่งหากไม่มองถึงอาการบาดเจ็บ คล็อปปฺ มักไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงผู้เล่นในการลงสนามนอกจากพัก หากผู้เล่นฟอร์มไม่ดีหรือมีอาการล้า ผู้เล่น 11 คนเล่นที่กล่าวไปนั้น ผมมองถึงผู้เล่น 2 ใน 11 คน ที่อาจจะมีสิทธิ์เปลี่ยนแปลง ถ้าหาก "เฟอร์มิโน่" กลับมาฟิตอย่างสมบูรณ์ 3 ประสานในแนวรุก ด้วยทักษะการเล่นที่น่าจะจูนกันได้ดี "คูติญโญ่ ลาลาน่า และ เฟอร์มิโน่" 3 ผู้เล่นคนนี้ สามารถสลับเปรับเปลี่ยนการเล่นได้ในเกม ไม่ว่าจะออกไปทำเกมทางด้านริมเส้น หรือ มิดฟิลด์ตัวรุกตรงกลาง
ทำใหมิลเนอร์อยู่ในสถานการณ์ที่อาจะต้องเสี่ยงหลุดจากตำแหน่ง และ ถึงแม้ตอนนี้จะได้ทำหน้าที่กัปตันก็ตาม แต่ถึงแม้เกมรุกของมิลเนอร์อาจจะไม่เท่ากับ 3 คนที่เอ่ยถึง ... แต่ความฟิตและความมุ่งมั่น ทำใหผมมองไปเห็นภาพของ "เดิร์ก เคาท์" ที่ยืนประจำการอยุ่ฝั่งขวาแม้เกมรุกจะไม่หวือหวา ทักษะลีลา จะไม่เหมือนตัวรุกคนอื่น แต่การวิ่งที่ไม่มีหมด
เหมือน "ถ่านดูราเซล" บางครั้งมันก็กลับสร้างสมดุลของเกมขึ้นมา ในเวลาที่เล่นเกมรับ คงต้องดูว่า คล้อปป์จะชอบการเลือกที่จะเล่นแบบไหน อีก 1 คนที่จะพูดถึงไม่ได้ "เอมเร่ ชาน" เขาได้โอกาสในการเล่นมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา ... แต่ทว่าบางครั้งการที่เล่นยากเกินไปผมเชื่อว่าถ้าแฟนบอลอย่างเราเห็น คล้อปป์มีหรือจะไม่เห็น
และหากมองไปที่แดนกลางตอนนี้ คงเหลือตัวเลือกเล่นที่ไม่มากนัก ลูคัส อัลเลน และ มิลเนอร์ ส่วนดาวรุ่งโอกาสคงยังในเกมพรีเมียร์ลีค คงยังต้องศึกษาถึงบทบาทผู้เล่นอีกมากมาย ไม่มีใครรู้หรอกว่า คล้อปป์พอใจผู้เล่นที่มีอยู่ในมือมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ต้องเชื่อและมั่นใจในศักยภาพของผู้เล่น และตัวเขาเองว่าจะสามารถดึงมันออกมาได้
ในส่วนดวรุ่งเองก็เช่นกัน "คาราเกอร์ เจอร์ราร์ด" สองผู้เล่นสเกอร์เซอร์ลูกหม้อของลิเวอร์พูล อยากเห็นตัวตายตัวแทนที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในสนามได้เหมือนอย่าง ที่ อูลลิเย่ร์ มอบความไว้วางใจ จาก ซามี ฮูเปีย ปลอกแขนกัปตันมาที่ เจอร์ราร์ด
ไม่รู้เหมือนกันนะ...ถ้าเป็นลูกหม้อโดยตรง ความหึกเหิม ความห้าวหาญ ความกล้า มันเหมือนปลุกพลังแฟนบอลให้ตื่นขึ้นเหมือนครั้งที่เจอร์ราร์ด ทำให้เห็น...รอวันที่คล้อป์จะมอบโอกาสนั้นให้กับดาวรุ่งและสามารถคว้ามันเอาไว้ได้..
แน่นอนเส้นทางที่ดาวรุ่งจะก้าวขึ้นมาทดแทนมันไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่ คล้อปป์กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ทิศทางนั้นจะเป็นเหมือนที่แฟนบอลและตัวเขาตั้งความหวังไว้หรือไม่...แต่ผ่านพ้นมา 6 นัด เสมอ 3 ชนะ 3 จากทุกถ้วยรายการ...เพียงเท่านี้คล้อปป์น่าจะก้าวเข้าไปอยู่ในใจของแฟนบอลเดอะค็อปหลายๆคน..
ด้วยรูปแบบการเล่น ความเป็นกันเองที่เข้าถึงลูกทีมหลังจากจบเกม มันทำให้แฟนบอลได้เห็นถึงความสนใจและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ไม่ควรมองข้าม...ถึงแม้ก้าวที่ 7 กำลังจะมาถึงนั้นจะอยู่สถานการณ์อย่างไร...
คริสตัล พาเลซ มีคะแนนตามหลังลิเวอร์พูลอยู่ 1 คะแนน และ 1 อันดับ เป็นทีมที่ทำเอาไว้แสบมากในปี 2013/14 จากเกมที่นำห่างไป 3-0 กลับไล่ตามตีเสมอเป็น 3-3 ทำให้เกมสุดท้ายของลิเวอร์พูล แทบไม่ต้องลุ้นอะไรอีกเลย หลังจากนั้นมา ลิเวอร์พูลเจองานยากเสมอเมื่อต้องเจอกับ คริสตัล พาเลซ
เกมสุดท้ายก่อนที่จะเบรคเข้าการแข่งขันทีมชาติ แล้วถึงจะมาเจอของแข็งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้
กำลังไปได้สวยสำหรับ"ทีมคล้อปป์" ถึงแม้นัดนี้จะมีผลการแข่งขันอย่างไรเกิดขึ้นก็ตาม เดอะค็อปรอได้เสมอ และรอมาอย่างยาวนานล่ะ.....มอบโอกาสให้ผู้จัดการทีมคนใหม่ทุกคน...อย่าได้เข้ามาจุดไฟความหวังเพียงชั่วคราวแล้วก็มอดดับไป....#TEAMKLOPP
"ผมมาที่นี่ในฐานะผู้จัดการทีมของหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดในโลกและในตอนนี้เราต้องพัฒนาเกมการเล่นของเราเพื่อให้แฟนบอลสามารถสนุกกับเกมมากขึ้นอีกนิดในอนาคต"ค
"ผมคิดเมื่อคืนนี้ว่าพวกเขามีช่วงเวลาที่พวกเขาสามารถสนุกได้ ช่วงเวลาที่นักเตะนำหัวใจทั้งหมดลงมาในสนาม นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ มันไม่น่าเบื่อ ผมไม่คิดว่าจะมีใครอยากกลับก่อน"
"เราพยายามทุกอย่างและท้ายที่สุดเราไม่ได้ชัยชนะ แต่บางทีมันอาจไม่ใช่การเปลี่ยนเกมมากที่สุดในโลกซึ่งคุณเคยเห็น"
สัมภาษณ์หลังจากเกมที่ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเสมกับ รูบินคาซาน 0-0
นี่ล่ะคงเป็นสิ่งที่แฟนบอลต้องการสามารถสนุกได้ไปกับเกมการแข่งขัน
Kop คิด Kop ทอล์ค :[เก๋าก่อนเกม] ความเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนไป
สวัสดีครับ เพื่อนเดอะค็อป ทุกคน..พ้นผ่านเดือนตุลา เดือนแห่งการปฏิว้ติ จากร็อดเจอร์ สู่คล้อปป์ หากมองดูจากผลงานที่ผ่านมาจะว่าดีที่สุดก็พูดได้ไม่เต็มปาก จะว่าเลวร้ายก็คงไม่เข้าที แต่สิ่งที่ คล้อปป์ทำให้แฟนบอลเห็นนั้น มันช่างค้านสายตากับช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
เพราะอะไรด้วยผู้เล่นชุดเดิม ฟอร์มที่เคยรูดลงไปกลับพุ่งขึ้นมาและทำให้แฟนบอลคิดไปว่า นี่มันใช่ผู้เล่นเมื่อ 2-3 เดือนก่อนหรอนี่ ??? ...
มีคนเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี่ว่า ร็อดเจอร์สจะต้องลำบากกับการใช้ "ลอฟเร็น" ประจำการอยู่ในแดนหลัง ซึ่งยังคงมองข้ามปราการลังอย่าง "ซาโก้" และการสับเปลี่ยนหมุนตัวผู้เล่น ที่ยังคงหาจุดยืนไม่เจอในผู้เล่น 11 ตัวจริง ทีกล่าวมานี่ก็ไม่ใชจะรื้อฟื้นความหลังหรือตำหนิการทำหน้าที่ของ "ร็อดเจอร์ส" เพราะผมคนนึงล่ะที่สับสนุน ร็อดเจอร์สมาโดยตลอดและหวังว่าจะหาทางกลับมาได้โดยไว...โดยให้ผู้คนลบเอาความคิดที่ว่าในปี 2013/14 มันไม่ใช่เพราะ "Suarez System" ทำให้ลิเวอร์พูลเกือบก้าวขึ้นไปคว้าถ้วยพรีเมียร์ลีค
1ฤดูกาล(2014/15)หลังจากนั้น มันเริ่มหายไปเกมรุกที่เคยยิงนับครั้งไม่ถ้วน แม้แนวรับจะไม่แข็งแกร่งแต่ได้เกมรุกขึ้นมาปิดรอยรั่วนั้น...การขาดหายไปของแนวรุกนั้น ร็อดเจอร์สไม่สามารถอุดรอยต่อและรักษามาตรฐานเอาไว้ได้..
กลายเป็น 1ฤดูกาลซ่อม 2ฤดูกาลสร้าง 3ฤดูกาลทรุด แน่นอนว่าเข้าฤดูกาลที่ 4 กลับยิ่งทำให้แฟนบอลไม่สามารถทนเห็นได้อีกต่อไป ฟางเส้นสุดท้ายถึงได้ขาดลง
การก้าวมาของ "คล็อป" ไม่ได้เปลี่ยนแปลงผู้เล่นอะไร เพราะว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลยหลังจากตลาดนักเตะปิดตัวลง ต้องใช้จำนวนผู้เล่นที่มีอยู่ แต่แตกต่างกันที่ "รูปแบบการเล่น" ที่มีความมุ่งมันเพิ่มเข้ามา ผู้เล่นไม่เอือยแฉะ กระหายในการลงเล่นและชัยชนะที่ควานหา
ผู้เล่นตัวหลัก ของคล็อป จาก 6 นัดที่ผ่านมา ด้วยระบบ 4-2-3-1 .. ผู้รักษาประตู มิโญเล่ต์ แผงแบ๊คโฟว์ ไคลน์ สเคอร์เทล ซาโก้ โมเรโน่ แดนกลาง ชาน กับ ลูคัส ส่วนในแนวรุก คูติญโญ่ ลาลาน่า และ มิลเนอร์ หากกองหน้าตัวหลักอย่าง เบนเทเก้ ไม่บดาเจ็บก็อยากนักที่ โอริกี้ จะมีโอกาสลงเป็นตัวจริง ในช่วงที่ผ่านมายังไม่สามารถพิสูจณ์อะไรให้ได้เห็น
ซึ่งหากไม่มองถึงอาการบาดเจ็บ คล็อปปฺ มักไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงผู้เล่นในการลงสนามนอกจากพัก หากผู้เล่นฟอร์มไม่ดีหรือมีอาการล้า ผู้เล่น 11 คนเล่นที่กล่าวไปนั้น ผมมองถึงผู้เล่น 2 ใน 11 คน ที่อาจจะมีสิทธิ์เปลี่ยนแปลง ถ้าหาก "เฟอร์มิโน่" กลับมาฟิตอย่างสมบูรณ์ 3 ประสานในแนวรุก ด้วยทักษะการเล่นที่น่าจะจูนกันได้ดี "คูติญโญ่ ลาลาน่า และ เฟอร์มิโน่" 3 ผู้เล่นคนนี้ สามารถสลับเปรับเปลี่ยนการเล่นได้ในเกม ไม่ว่าจะออกไปทำเกมทางด้านริมเส้น หรือ มิดฟิลด์ตัวรุกตรงกลาง
ทำใหมิลเนอร์อยู่ในสถานการณ์ที่อาจะต้องเสี่ยงหลุดจากตำแหน่ง และ ถึงแม้ตอนนี้จะได้ทำหน้าที่กัปตันก็ตาม แต่ถึงแม้เกมรุกของมิลเนอร์อาจจะไม่เท่ากับ 3 คนที่เอ่ยถึง ... แต่ความฟิตและความมุ่งมั่น ทำใหผมมองไปเห็นภาพของ "เดิร์ก เคาท์" ที่ยืนประจำการอยุ่ฝั่งขวาแม้เกมรุกจะไม่หวือหวา ทักษะลีลา จะไม่เหมือนตัวรุกคนอื่น แต่การวิ่งที่ไม่มีหมด
เหมือน "ถ่านดูราเซล" บางครั้งมันก็กลับสร้างสมดุลของเกมขึ้นมา ในเวลาที่เล่นเกมรับ คงต้องดูว่า คล้อปป์จะชอบการเลือกที่จะเล่นแบบไหน อีก 1 คนที่จะพูดถึงไม่ได้ "เอมเร่ ชาน" เขาได้โอกาสในการเล่นมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา ... แต่ทว่าบางครั้งการที่เล่นยากเกินไปผมเชื่อว่าถ้าแฟนบอลอย่างเราเห็น คล้อปป์มีหรือจะไม่เห็น
และหากมองไปที่แดนกลางตอนนี้ คงเหลือตัวเลือกเล่นที่ไม่มากนัก ลูคัส อัลเลน และ มิลเนอร์ ส่วนดาวรุ่งโอกาสคงยังในเกมพรีเมียร์ลีค คงยังต้องศึกษาถึงบทบาทผู้เล่นอีกมากมาย ไม่มีใครรู้หรอกว่า คล้อปป์พอใจผู้เล่นที่มีอยู่ในมือมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ต้องเชื่อและมั่นใจในศักยภาพของผู้เล่น และตัวเขาเองว่าจะสามารถดึงมันออกมาได้
ในส่วนดวรุ่งเองก็เช่นกัน "คาราเกอร์ เจอร์ราร์ด" สองผู้เล่นสเกอร์เซอร์ลูกหม้อของลิเวอร์พูล อยากเห็นตัวตายตัวแทนที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในสนามได้เหมือนอย่าง ที่ อูลลิเย่ร์ มอบความไว้วางใจ จาก ซามี ฮูเปีย ปลอกแขนกัปตันมาที่ เจอร์ราร์ด
ไม่รู้เหมือนกันนะ...ถ้าเป็นลูกหม้อโดยตรง ความหึกเหิม ความห้าวหาญ ความกล้า มันเหมือนปลุกพลังแฟนบอลให้ตื่นขึ้นเหมือนครั้งที่เจอร์ราร์ด ทำให้เห็น...รอวันที่คล้อป์จะมอบโอกาสนั้นให้กับดาวรุ่งและสามารถคว้ามันเอาไว้ได้..
แน่นอนเส้นทางที่ดาวรุ่งจะก้าวขึ้นมาทดแทนมันไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่ คล้อปป์กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ทิศทางนั้นจะเป็นเหมือนที่แฟนบอลและตัวเขาตั้งความหวังไว้หรือไม่...แต่ผ่านพ้นมา 6 นัด เสมอ 3 ชนะ 3 จากทุกถ้วยรายการ...เพียงเท่านี้คล้อปป์น่าจะก้าวเข้าไปอยู่ในใจของแฟนบอลเดอะค็อปหลายๆคน..
ด้วยรูปแบบการเล่น ความเป็นกันเองที่เข้าถึงลูกทีมหลังจากจบเกม มันทำให้แฟนบอลได้เห็นถึงความสนใจและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ไม่ควรมองข้าม...ถึงแม้ก้าวที่ 7 กำลังจะมาถึงนั้นจะอยู่สถานการณ์อย่างไร...
คริสตัล พาเลซ มีคะแนนตามหลังลิเวอร์พูลอยู่ 1 คะแนน และ 1 อันดับ เป็นทีมที่ทำเอาไว้แสบมากในปี 2013/14 จากเกมที่นำห่างไป 3-0 กลับไล่ตามตีเสมอเป็น 3-3 ทำให้เกมสุดท้ายของลิเวอร์พูล แทบไม่ต้องลุ้นอะไรอีกเลย หลังจากนั้นมา ลิเวอร์พูลเจองานยากเสมอเมื่อต้องเจอกับ คริสตัล พาเลซ
เกมสุดท้ายก่อนที่จะเบรคเข้าการแข่งขันทีมชาติ แล้วถึงจะมาเจอของแข็งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้
กำลังไปได้สวยสำหรับ"ทีมคล้อปป์" ถึงแม้นัดนี้จะมีผลการแข่งขันอย่างไรเกิดขึ้นก็ตาม เดอะค็อปรอได้เสมอ และรอมาอย่างยาวนานล่ะ.....มอบโอกาสให้ผู้จัดการทีมคนใหม่ทุกคน...อย่าได้เข้ามาจุดไฟความหวังเพียงชั่วคราวแล้วก็มอดดับไป....#TEAMKLOPP
"ผมมาที่นี่ในฐานะผู้จัดการทีมของหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดในโลกและในตอนนี้เราต้องพัฒนาเกมการเล่นของเราเพื่อให้แฟนบอลสามารถสนุกกับเกมมากขึ้นอีกนิดในอนาคต"ค
"ผมคิดเมื่อคืนนี้ว่าพวกเขามีช่วงเวลาที่พวกเขาสามารถสนุกได้ ช่วงเวลาที่นักเตะนำหัวใจทั้งหมดลงมาในสนาม นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ มันไม่น่าเบื่อ ผมไม่คิดว่าจะมีใครอยากกลับก่อน"
"เราพยายามทุกอย่างและท้ายที่สุดเราไม่ได้ชัยชนะ แต่บางทีมันอาจไม่ใช่การเปลี่ยนเกมมากที่สุดในโลกซึ่งคุณเคยเห็น"
สัมภาษณ์หลังจากเกมที่ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเสมกับ รูบินคาซาน 0-0
นี่ล่ะคงเป็นสิ่งที่แฟนบอลต้องการสามารถสนุกได้ไปกับเกมการแข่งขัน