เมื่อยกเอาว่า “ชาติ” ไว้เป็นที่ตั้งแล้ว “คน”จะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มจาก “คน”ด้วยกันเอง คือกลุ่มคนรักชาติและไม่รักชาติ(รวมไปถึงขายชาติด้วย)...ส่วนคนที่เฉยๆ ส่วนใหญ่มักจะถูกเหมารวมว่าไม่รักชาติด้วยเช่นกัน….
ปัจจุบันนี้การแสดงออกถึงความรักชาติกลายเป็นคุณธรรมที่ถือว่ายิ่งยวดในสายตาของคนที่รักชาติด้วยกันเอง ถึงแม้คุณธรรมที่ว่านี้ไม่เคยมีและกล่าวไว้ในพระไตรปิฏกอันเป็นคัมภีร์หลักพระพุทธศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ... “พลีชีพเพื่อชาติ”, “เสียสัตย์เพื่อชาติ” วลีเหล่านี้ หรือการกระทำใดๆ ก็แล้วแต่ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “เพื่อชาติ” มักจะได้รับคำเยินยอและสรรเสริญโดยไม่ต้องพิจารณาอะไรให้มากความ (แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า "เสียสัตย์เพื่อชาติ" กับ "เสียชีพอย่าเสียสัตย์" นั้น เราจะยึดอะไรเป็นหลักดี ??)
วีรกรรมการต่อสู้กับศรัตรูในอดีตมักจะถูกยกอ้างมาเป็นตัวอย่าง...เพื่อสร้างความฮึกเฮิม หวงแหนความเป็น “ชาติ” จนกลายเป็นคุณธรรมที่ถือว่าอย่างยิ่งยวดตามที่เอ่ยไว้ข้างบน และนอกเหนือจากการถูกยกอ้างมาเป็นตัวอย่างแล้ว...ยังมีการอุปโลกน์ “เจ้าของ” วีรกรรมในอดีตเหล่านั้นโดยผ่านการทำนาย เช่นว่า คนนั้นเป็นทหารเอกสมเด็จพระณเรศวรกลับชาติมาเกิด คนนี้เป็นอดีตพระครูธรรมโชติแห่งบ้านบางระจันกลับชาติมาเกิด ฯลฯ.ในเมื่อบุคคลในอดีตเหล่านั้นคือตัวแทนของความรักชาติ(ประเภทหลั่งเลือดทาแผ่นดิน)....คำทำนายเรื่องกลับชาติมาเกิดของคนรักชาติจึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนอีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนคนอีกกลุ่ม ทำได้อย่างมากก็แค่นหัวเราะเบาๆ ในกลุ่มกันเอง..
การกระทำใดๆ ก็ดี การพูดก็ดี หรือแม้แต่คำทนายก็ดีตราบใดที่ยังอิงแอบคำว่า “เพื่อชาติ”อย่างแนบแน่น การกระทำนั้นๆ คำพูดนั้นๆ และการทำนายนั้นๆ จะยังคงได้รับการยกย่องและปกป้องจากสังคมไทยส่วนใหญ่เสมอ.... “การรักชาติ” จึงเป็นคุณธรรมและเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในยุคนี้...
เอาเข้าจริงๆ แล้ว...... “ชาติ” หรือว่า “เรา” ต่างหากที่ต้องการความรักความสมัครสมาน
แก้จาก "ดดีต" เป็น "อดีต" พิมพ์ผิด
.....คำทำนายที่หากินกับวีรกรรมในอดีต/กับเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในยุคนี้.....
ปัจจุบันนี้การแสดงออกถึงความรักชาติกลายเป็นคุณธรรมที่ถือว่ายิ่งยวดในสายตาของคนที่รักชาติด้วยกันเอง ถึงแม้คุณธรรมที่ว่านี้ไม่เคยมีและกล่าวไว้ในพระไตรปิฏกอันเป็นคัมภีร์หลักพระพุทธศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ... “พลีชีพเพื่อชาติ”, “เสียสัตย์เพื่อชาติ” วลีเหล่านี้ หรือการกระทำใดๆ ก็แล้วแต่ที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “เพื่อชาติ” มักจะได้รับคำเยินยอและสรรเสริญโดยไม่ต้องพิจารณาอะไรให้มากความ (แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า "เสียสัตย์เพื่อชาติ" กับ "เสียชีพอย่าเสียสัตย์" นั้น เราจะยึดอะไรเป็นหลักดี ??)
วีรกรรมการต่อสู้กับศรัตรูในอดีตมักจะถูกยกอ้างมาเป็นตัวอย่าง...เพื่อสร้างความฮึกเฮิม หวงแหนความเป็น “ชาติ” จนกลายเป็นคุณธรรมที่ถือว่าอย่างยิ่งยวดตามที่เอ่ยไว้ข้างบน และนอกเหนือจากการถูกยกอ้างมาเป็นตัวอย่างแล้ว...ยังมีการอุปโลกน์ “เจ้าของ” วีรกรรมในอดีตเหล่านั้นโดยผ่านการทำนาย เช่นว่า คนนั้นเป็นทหารเอกสมเด็จพระณเรศวรกลับชาติมาเกิด คนนี้เป็นอดีตพระครูธรรมโชติแห่งบ้านบางระจันกลับชาติมาเกิด ฯลฯ.ในเมื่อบุคคลในอดีตเหล่านั้นคือตัวแทนของความรักชาติ(ประเภทหลั่งเลือดทาแผ่นดิน)....คำทำนายเรื่องกลับชาติมาเกิดของคนรักชาติจึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนอีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนคนอีกกลุ่ม ทำได้อย่างมากก็แค่นหัวเราะเบาๆ ในกลุ่มกันเอง..
การกระทำใดๆ ก็ดี การพูดก็ดี หรือแม้แต่คำทนายก็ดีตราบใดที่ยังอิงแอบคำว่า “เพื่อชาติ”อย่างแนบแน่น การกระทำนั้นๆ คำพูดนั้นๆ และการทำนายนั้นๆ จะยังคงได้รับการยกย่องและปกป้องจากสังคมไทยส่วนใหญ่เสมอ.... “การรักชาติ” จึงเป็นคุณธรรมและเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในยุคนี้...
เอาเข้าจริงๆ แล้ว...... “ชาติ” หรือว่า “เรา” ต่างหากที่ต้องการความรักความสมัครสมาน
แก้จาก "ดดีต" เป็น "อดีต" พิมพ์ผิด