พรหมร้ายลิขิตรัก บทที่ ๑ เจ้า....ชายผู้คล้ายดั่งพายุใหญ่

กระทู้สนทนา
บทที่ ๑

เจ้า..ชายผู้คล้ายดั่งพายุใหญ่


สามารติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้นะคะ http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1376196


วันที่ 13 เมษายน วันสังขารล่อง (วันสงกรานต์)
ณ เมืองเชียงอินทร์ นครอันเจริญรุ่งเรือง ที่ทรงศักดิ์และทรงสิทธิ์ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งแห่งทวารวดี



บรืน บรืน บรืนนน...
เสียงเครื่องยนต์จากรถยนต์คันโก้ที่มีเพียงเจ้าเดียวในเมืองเชียงอินทร์ กระหึ่มดังขึ้นยามเมื่อรถวิ่งขับผ่านทางสันดอน ภายในรถมีผู้โดยสารนั่งอยู่รวม 5 คน เป็นชาย 2 คน และผู้หญิงอีก 3 คน แต่ละคนดูละม้ายคล้ายว่าเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น ด้วยเค้าโครงใบหน้าที่คล้ายคลึงกันและดูช่วงอายุวัยของตละคนที่น่าจะไล่เลี่ยกันอยู่ไม่มาก

เสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นเป็นระยะจากสามสาวทางเบาะหลังรถยนต์ที่ส่งเสียงพูดคุยกันตามประสาผู้หญิงอยู่ไม่หยุดตั้งแต่เริ่มออกจากคุ้มมา พวกเธอดูสนุกสนานกันมากที่ได้ออกมาเที่ยวขับรถเล่นชมรอบเมืองในวันนี้

ผู้คนมากมายหลากเชื้อหลายชาติต่างพากันออกมาเที่ยวเล่นงานวันสังขารล่อง (วันสงกรานต์) ในวันนี้ชายหนุ่มในเมืองที่ถูกคัดเลือกมาจากชาวบ้านจะถูกให้แต่งตัวด้วยชุดแดง และเอามะละกอสองลูกผูกเชือกคนละข้างซ้ายกับขวาคล้ายกับว่าเป็นพวงมาลัยนำมาห้อยคอ บางคนก็ถูกคล้องด้วยพวงมาลัยกล้วยสุก เป็นที่ตลกขบขันให้กับชาวบ้านและฝรั่งมังค่าที่พบเห็นจนปรากฏเป็นรอยยิ้มให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาได้อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งไม่เว้นแม้แต่พวกน้องสาวทั้งสามที่กำลังนั่งหัวเราะคิกคัก พากันชี้ไม้ชี้มือไปยังตัวสงกรานต์ที่ดูน่าตลกนั้นอย่างขบขัน ตัวสงกรานต์พวกนี้กำลังตั้งริ้วขบวนรอแห่ไปตามถนนทั่วเมืองเชียงอินทร์ เพื่อพาไปทิ้งลงแม่น้ำเขมที่อยู่นอกเมือง เรียกว่าเป็นการไล่สงกรานต์ ซึ่งชาวเมืองเชียงอินทร์นั้นถือว่าเป็นการขับไล่ความชั่วร้ายและสิ่งไม่ดีต่างๆให้ออกไปในวันปีใหม่

“พี่จายใหญ่ดูพวกสาวๆสิ ตื่นเต้นกันใหญ่ที่ได้ออกมานั่งรถเที่ยว พูดคุยส่งเสียงดังเจี้ยวจ้าวเต็มรถเชียว” ชายหนุ่มที่นั่งเบาะด้านข้างคนขับพูดขึ้นพลางยิ้มหัวเราะเมื่อเห็นพวกน้องสาวต่างพากันตื่นเต้นสนุกสนานที่ได้ออกมาเที่ยวขับรถเล่นในเมืองกันวันนี้

“นั่นสิ แต่พี่ว่างานข้างนอกนี่ดูสนุกมากกว่าในคุ้มเสียอีกนะ หรือเจ้าว่าอย่างไรเล่า” ชายหนุ่มผิวสีไข่ปอกออกเหลืองนวลตามแบบฉบับของคนล้านนาทางภาคเหนือ ผู้รับตำแหน่งหน้าที่สารถีขับรถยนต์พาน้องๆออกมาเที่ยวเล่นนอกคุ้ม พ่วงท้ายด้วยตำแหน่งพี่ชายคนโตในครอบครัวพูดขึ้นบ้างเมื่อเห็นไม่ต่างไปจากคำของน้องชาย

“แน่นอนสิพี่จายใหญ่ งานข้างนอกนี่ไม่น่าเบื่อเหมือนกับในคุ้มหรอก ที่นั่นออกจะมีขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติยุ่งยากมากเกินไปหน่อย” พี่ชายคนรองรูปร่างสูงโปร่งสีผิวไม่ต่างกันเท่าไรนักกับพี่ชายคนโต ออกจะมีท่วงท่าและอิริยาบถที่ดูสงบเสงี่ยม ไม่องอาจบึกบึนเท่ากับคนเป็นพี่ ทว่ากลับดูสง่างามด้วยกันทั้งคู่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ บุคลิกท่าทางของชายหนุ่มทั้งสองคนนี้ดูจะแตกต่างกันอยู่ไม่ใช่น้อยเลย คนเป็นพี่ดูเข้มแข็งห้าวหาญ องอาจ ชาตินักรบ ส่วนคนน้องดูเป็นชายหนุ่มแสนอบอุ่นอ่อนโยน เจ้าเสน่ห์น่าค้นหา จะมีที่ไม่ต่างกันอยู่ก็คือความที่ทั้งสองชายหนุ่มต่างก็มีรูปโฉมงดงามคมเข้มหมดจด ที่หญิงใดได้พบเห็นต่างก็พากันหลงรูปนี้ไปเสียหมดนั่นหละ

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ น้องก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน” เจ้าน้องนางโฉมสะคราญรูปงามงดหมดจด นามเจ้านางบัวตองโพล่งพูดขึ้นเสริมส่งเห็นด้วยให้กับคำของเจ้าน้อยแม้นเมืองพี่ชายคนรอง มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติในคุ้มคำหลวงนั้นช่างมากมายเกินไปจนน่าอึดอัด จะขยับซ้ายทีขวาทีต้องมีนางข้าหลวงข้าไทตามติดอยู่ทุกที่ไปสิน่า

เจ้าจายหลวงภูไทแย้มยิ้มมุมปากในคำของเจ้าน้องนางอย่างรู้อกรู้ใจเจ้านางบัวตองดีว่า กำลังคิดอะไรอยู่ในขณะที่กำลังทำหน้าขมวดคิ้วมุ่นนี้
“หากเจ้าลองไม่มีนางข้าหลวงวิ่งตามดูสิ พี่คงได้เห็นเจ้าเป็นทโมนลิงอยู่บนต้นไม้ในสวนหลวงเป็นแน่” เจ้าจายหลวงภูไทพูดกระเซ้าเย้าแหย่เจ้านางบัวตองอย่างสนุกสนาน ทำเอาเจ้าน้องนางหน้าง้ำด้วยเถียงไม่ออก เพราะครั้งหนึ่งเจ้านางบัวตองนั้นคิดจะลองปีนขึ้นต้นไม้ดูจริงๆ แต่ยังไม่ทันจะได้ปีนขึ้นไปนางข้าหลวงก็วิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาคว้าตัวเจ้านางพลางห้ามปรามเอาไว้ได้เสียก่อน แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้เจ้านางบัวตองถูกเจ้าแม่ดุเสียยกใหญ่และกลายเป็นเรื่องเย้าน่าสนุกของพวกเจ้าพี่ทั้งสองไปในทันที กระทั่งถึงทุกวันนี้เจ้าพี่ก็ยังไม่ทรงลืมยังเก็บเอามาเย้าแหย่ให้สนุกปาก คอยดูเถอะ..อย่าให้ถึงตาเจ้านางบ้างก็แล้วไป จะเย้าเอาคืนพวกเจ้าพี่ให้หนักยิ่งกว่าเสียอีก

“ฮึ..น้องไม่ใช่ลิงทโมนนะเจ้าคะ เจ้าพี่”
เสียงฟึดฟัดขึ้นจมูกเช่นนี้ ทำให้ทั้งสองเจ้าพี่รู้ได้ในทันทีว่าเจ้านางบัวตอง เจ้าน้องนางคนงามกำลังงอนกับคำเย้าที่เจ้าจายหลวงภูไทเพิ่งพูดออกไป ทั้งสององค์ต่างพากันสรวลเราะออกมาพร้อมๆกันอย่างสนุกสนาน ที่ได้เห็นใบหน้าเจ้าน้องขี้งอนงอง้ำได้ ทำให้เจ้านางบัวตองต้องสะบัดหน้าพรืดหนีเจ้าพี่ขี้แกล้งทั้งสององค์ไปด้านข้างทันที

“เกลียดขี้หน้านัก..เจ้าพี่ขี้แกล้ง คอยดูนะกลับไปถึงคุ้มเมื่อไหร่น้องจะฟ้องเจ้าพ่อว่าพวกเจ้าพี่แกล้งน้อง” เจ้านางบัวตองบ่นงึมงำเสียงดังเรียกร้องความสนใจว่าอยากให้คนง้องอน จนเจ้าจายหลวงภูไทหมั่นเขี้ยวอยากจะแกล้งเจ้าน้องนางต่ออีกสักนิด

“งั้นก็คงน่าเสียดายเป็นแน่แท้ทีเดียว ที่พวกเจ้าทั้งสามคงจะไม่ได้ออกมานั่งรถเที่ยวเล่นอีกเป็นนาน เพราะเจ้าพ่อคงสั่งห้ามไม่ให้พี่พาพวกน้องๆไปไหนอีก ด้วยต้องรับโทษ ฐานแกล้งเจ้าน้องนางคนสวยให้ขุ่นเคืองใจ”

“ไม่นะเจ้าค่ะ/ไม่นะเจ้าค่ะ/ไม่นะเจ้าค่ะ” ทั้งสามเสียงสอดประสานของเหล่าราชธิดาเจ้าฟ้าเมืองเชียงอินทร์ตะโกนพูดขึ้นพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายอย่างตกใจ

เจ้านางบัวตองจากที่รอคนมางอนง้อ กลับต้องเป็นฝ่ายที่ง้องอนเจ้าพี่จายใหญ่เสียเอง ด้วยกลัวว่าหากเป็นดังคำที่เจ้าพี่จายใหญ่พูดจริงๆ พวกเธอทั้งสามคงต้องเหี่ยวเฉาแห้งตายคาคุ้มหลวงเป็นแน่

“เจ้าพี่จายใหญ่เจ้าขา อย่าถือคำน้องเลยนะเจ้าคะ น้องแค่งอนนิดๆหน่อยๆเจ้าพี่ก็อย่าพึ่งละทิ้งหน้าที่สารถีคนเก่ง ขับรถพาพวกน้องออกเที่ยวรอบเมืองเลยนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นน้องคงอับเฉาและเศร้าใจมาก” ไม่พูดเปล่าเจ้านางบัวตองยังโผล่หน้าเข้ามาระหว่างช่องว่างคนขับและคนนั่งข้างๆ พลางก็สอดมือบางเข้าไปเกาะแขนเจ้าจายหลวงภูไทที่กำลังขับรถอยู่เอาไว้แน่น ด้วยอยากออดอ้อนเอาใจ

“ช่างเจรจาจริงนะเจ้าบัว อ้อนเก่งแบบนี้ยังไงล่ะพวกพี่ถึงได้ใจอ่อนต่อเจ้าอยู่เสมอ” เจ้าน้อยแม้นเมืองพูดขึ้นพลางส่งยิ้มเอ็นดูและเอื้อมมือมาลูบหัวเจ้าน้องนางขี้อ้อนไปเบาๆหนึ่งทีอย่างรักใคร่

“ว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ เจ้าพี่จายใหญ่” เจ้านางบัวตองเขย่าแขนเร่งยิกๆให้เจ้าภูไทรับปากว่าจะพามาเที่ยวเล่นอีก และจะไม่ถือเอาคำของเด็กขี้งอนอย่างเจ้านางบัวตองไปใส่ใจอันใด

“พี่รู้แล้วน่าเจ้าบัว อย่าเขย่าแขนพี่แรงนักสิ พี่ขับรถอยู่เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุเอาได้” เจ้าจายหลวงภูไทพูดยังไม่ทันหมดคำดีเจ้าน้อยแม้นเมืองก็ร้องตะโกนเตือนเสียงดังออกมาเสียก่อน

“เจ้าพี่ระวังคน..!”

“คนนน!!” เจ้าจายหลวงภูไทพูดซ้ำตามเจ้าน้องราชบุตรอย่างตกใจไม่แพ้กันมือและเท้าพยายามเบรกรถอย่างสุดความสามารถ ส่วนพวกเจ้าน้องนางที่นั่งอยู่ด้านหลังก็พากันกรีดร้องด้วยความตกใจ

เอี๊ยดดดด!

เสียงเบรกครางลากเป็นทาง มายาวไกลจนกระทั่งรถยนต์หยุดลง เจ้านางทั้งสามยังอยู่ในอาการตื่นตระหนกและตกใจไม่หาย ส่วนเจ้าน้อยแม้นเมืองก็หลับตาปี๋ตัวเกร็งหลังติดเบาะ และเจ้าจายหลวงภูไทที่เบรกรถจนหน้าคะมำก็ช่างรู้สึกโล่งใจเป็นหนักหนาที่หันไปมองพวกน้องๆแล้วเห็นทุกคนปลอดภัยสบายดี ความรู้สึกกรุ่นโกรธคนที่บังอาจมายืนขวางทางรถบนถนนเริ่มปะทุขึ้นแทนที่ ก่อนจะรีบเปิดประตูลงไปตั้งใจจะต่อว่าให้รู้สำนึกเสียหน่อย จริงอยู่ที่บ้านเมืองในตอนนี้ยังไม่มีกฎห้ามไม่ให้ผู้คนเดินสวนทางกันไปมาบนถนน แต่อย่างน้อยเจ้าคนที่บังอาจมาเดินขวางทางรถก็น่าจะรู้ดีอยู่ไม่ใช่หรือว่านี่เป็นรถยนต์จากคุ้มคำหลวงที่มีเจ้าฟ้ามั่นมณี เจ้าฟ้าผู้ครองเมืองเชียงอินทร์เป็นผู้ถือครองเป็นเจ้าของ ด้วยเพราะมิมีผู้ใดมีรถยนต์ใช้ในเมืองเชียงอินทร์นอกเสียจากเจ้าพ่อของพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น คนผู้นี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหรืออย่างไรกัน ช่างกล้านัก!

“บังอาจนัก กล้าวิ่งตัดหน้ารถของพวกเราได้ยังไง” เสียงดังก้องอย่างไม่พอใจของเจ้าจายหลวงภูไทตวาดใส่ชายร่างเล็กสองคนที่บัดนี้พากันยืนแน่นิ่งอยู่ห่างจากตัวรถออกไปไม่ถึงวาดีลั่นถนน

“พวกเจ้าอยากตายหรืออย่างไรกัน ถึงได้เดินมายืนอยู่กลางถนนเช่นนี้” เจ้าจายหลวงภูไทยังเพ่งมองพลางก็สาวเท้าเข้าไปหาชายร่างเล็กสองคนที่ดูท่าทางพิกลฉับๆอย่างขุ่นเคือง ความกรุ่นโกรธที่มีอยู่เมื่อกี้แทบหมดไปเมื่อเจ้าจายหลวงภูไทเห็นท่าทางตัวลีบสั่นสะท้านของชายแปลกหน้าทั้งสองหลังถูกพระองค์ต่อว่าเสียงลั่นก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ในเมื่อทำผิดอย่างไรก็ต้องต่อว่าให้รู้จักสำนึก

“ข้า ข้า..เอ่อพวกข้าต้องขออภัยพวกท่านจริงๆที่เดินไม่ระวัง” เสียงจากหนึ่งในสองชายนั้นพูดขึ้นเสียงแปร่ง ฟังแล้วราวกับไม่ใช่เสียงของผู้ชาย

“ขออภัยรึ แค่คำขออภัยจากพวกเจ้าแล้วน้องๆของข้าจะหายตกใจกันหรือไร ป่านนี้คงขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมดแล้ว” น้ำเสียงเข้มของเจ้าจายหลวงภูไทลดเสียงลงเป็นปกติแล้วแต่ในน้ำเสียงนั้นยังคงเจือปนไปด้วยความโกรธอยู่ไม่สร่างซา คนบ้านนี้เมืองนี้มีหรือจะไม่รู้ว่ารถยนต์ที่แล่นอยู่บนถนนเป็นของเจ้าฟ้าผู้ครองเมือง และหากว่ารู้แล้วว่าเป็นของใครไฉนเลยจะไม่คุกเข่าก้มลงขอประทานอภัยจากพระราชบุตรองค์โตของเจ้าฟ้า คงจะมีก็แต่คนต่างถิ่นต่างบ้านต่างเมืองเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ว่านี่เป็นรถยนต์ของผู้ใด และใครเป็นผู้ขับโดยสารมาจึงได้พูดจาแลแสดงกริยาท่าทางเช่นนี้ออกมาได้

“เจ้าพี่พอเถิด อย่าได้ตะเบ็งเสียงใส่พวกนั้นอีกเลย แค่นี้พวกเขาก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว”

เจ้าน้อยแม้นเมืองที่เพิ่งจะเดินออกมายืนเคียงข้างเจ้าพี่จายใหญ่ไม่ไกลกันนัก ถึงกับต้องเอ่ยวาจาพูดขึ้นเสียงเบาห้ามปรามมิให้เจ้าพี่จายใหญ่ทำอันใดพวกเขามากไปกว่านี้ ด้วยเพราะเห็นทั้งสองชายหนุ่มวัยกำดัดกำลังยืนตัวสั่นงันงกเกาะเกี่ยวกันเอาไว้แน่นด้วยความกลัวอย่างน่าสงสาร จริงอยู่ที่พวกนี้อาจจะผิดที่เดินไม่ดูทางแต่ก็ไม่มีใครเป็นอะไรเลยสักคนไม่ว่าฝ่ายเขาหรือฝ่ายเรา เพราะฉะนั้นเจ้าน้อยแม้นเมืองจึงไม่อยากถือสาสิ่งใดให้มีเรื่องมีราว ประเดี๋ยวจะพานเอิกเกริกกันไปใหญ่โตเสียเปล่าๆ เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าในคุ้มหลวงจะมีงานพระราชพิธีคารวะ และงานจัดเลี้ยงเพื่อประชุมสังสรรค์พูดจากันระหว่างเจ้าพ่อและเจ้าเมืองบริวารทั้งหลาย เจ้าน้อยแม้นเมืองจึงไม่อยากให้มีเรื่องอะไรไประคายใจเจ้าพ่อให้ต้องขุ่นเคืองพระทัย

“แต่เจ้า..”

“พอเถิดนะเจ้าพี่ ในอีกไม่กี่วันเจ้าพ่อจะจัดงานเลี้ยงในคุ้ม ข้าไม่อยากให้มีเรื่องอะไรไปทำให้เจ้าพ่อรู้สึกขุ่นเคือง เราต่างก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเลยทั้งสองฝ่าย เจ้าพี่ก็อย่าไปถือสาหาความกับพวกเขาเลยเราไปกันเถอะ” เจ้าน้อยแม้นเมืองแตะแขนเจ้าจายหลวงภูไทแผ่วเบาราวกับจะเตือนว่าอย่าไปแลกเลยมันไม่คุ้มกัน

เจ้าจายหลวงภูไทจึงทำได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจก่อนจะตวัดสายตาเข้มดุมองไปยังชายอีกคนหนึ่งที่เอาแต่ยืนทื่อมะลื่อนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรเป็นการคาดโทษ

“ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาเรื่องพวกเจ้าก็ได้ เพราะถือว่าน้องชายข้าขอร้องเอาไว้ แต่หากยังมีครั้งหน้าที่พวกเจ้าเดินกันไม่รู้ทิศรู้ทางมั่วซั่วอีกล่ะก็ ข้าจะไม่ยอมอีกแน่ แม้ว่าจะเป็นใครที่ขอร้องแทนพวกเจ้าก็ตาม” เจ้าจายหลวงภูไทว่าพลางสะบัดหน้าหันกลับไปที่รถอย่างขุ่นมัวรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียไม่หาย

“พวกเจ้ารีบพากันไปเสียเถอะ แล้วก็อย่าคิดอะไรมากพี่ข้าก็เป็นเช่นนี้เสมอนั่นแหละ รีบไปสิ”
เจ้าน้อยแม้นเมืองแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของพระองค์ส่งให้กับสองเด็กหนุ่ม พลางโบกมือไล่ให้รีบเดินหลบไปให้พ้นทางรถของเจ้าพี่จายใหญ่เสีย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่