ความทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ข้อหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า เมื่อเราอยากจะได้สิ่งใด แล้วผิดหวังหรือไม่ได้สิ่งนั้นตามที่เราอยากจะได้ ก็จะทำให้เราเกิดความเศร้าโศก หรือเสียใจ แห้งเหี่ยวใจ ที่เรีกว่าความทุกข์ขึ้นมาทันที ซึ่งสิ่งที่เราอยากจะได้นั้นก็คือสิ่งที่ให้ความสุขทั้งหลาย อันสรุปอย่ที่ ๑. เรื่องทางเพศ เช่น อยากมีคู่ครองที่หล่อหรือสวยเป็นต้น ๒. เรื่องวัตถุสิ่งของ เช่น อยากรวย อยากมีรถ อยากมีบ้าน อยากมีมือถือ เป็นต้น และ ๓. เรื่องเกียรติยศชื่อเสียง เช่น อยากเด่น อยากดัง อยากมีชื่อเสียง อยากมีอำนาจ อยากชนะ เป็นต้น
ความอยาก (ตัณหา) นั้นเมื่อเราตามใจมัน คือแสวงหาสิ่งที่มันอยากจะได้มาให้ เมื่อมันได้สมใจ (พอใจ) แล้วมันก็จะมีความสุขอยู่สักระยะหนึ่ง แล้วไม่นานมันก็จะเกิดความอยากใหม่ขึ้นมาอีก เมื่อเราแสวงหามาให้มันอีก มันก็พอใจและอยากได้ใหม่อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และแน่นอนว่าความอยากมันก็จะเพิ่มมากขึ้นๆ จนในที่สุดก็ไม่มีสิ่งใดมาทำให้เราพอใจได้ หรือไม่มีใครจะมาตามใจเราได้ตลอดไป เพราะความอยากของเรามันมากเกินไป และเมื่อไม่ได้ตามที่เราอยาก (หรือผิดหวัง) ก็จะทำให้เกิดความเศร้าโศกหรือเสียใจอย่างรุนแรงที่เรียกว่าความทุกข์ใจขึ้นมาทันที อีกทั้งการตามใจความอยากมากๆ ก็จะมีผลทำให้เกิดการทำความผิดหรือความชั่วขึ้นมาได้โดยง่าย
ความอยากคือสาเหตุที่ใกล้ชิดของความทุกข์ทั้งหมด คือทั้งความทุกข์ใจและทั้งยังสร้างความเดือดร้อนให้แก่ร่างกายและสังคมรวมทั้งให้แก่โลกอีกด้วย ดังนั้นถ้าเราสามารถทำให้ความอยากลดน้อยลงหรืออยากให้น้อยลงได้ ความทุกข์และความเดือดร้อนี้ก็จะลดน้อยลงได้ หรือถ้าทำให้หมดสิ้นไปได้ ความทุกข์และความเดือดร้อนนี้ก็จะหมดสิ้นไปได้
หลักอริยมรรคของอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้านี่เอง ที่เป็นหลักปฏิบัติที่จะทำให้ความอยากนี้ลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไปได้ (ทั้งอย่างชั่วคราวและถาวร) และทำให้ความทุกข์และความเดือดร้อนลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไปได้ (ทั้งอย่างชั่วคราวและถาวร) อันจะทำให้จิตใจของเราสงบเย็น (นิพพาน) และทำให้สังคมมีความสงบสุข รวมทั้งทำให้โลกมีสันติภาพได้
แต่คนที่ไม่เข้าใจหลักอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้องก็จะเข้าใจผิด (มีความเห็นผิด) ไปว่า “ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ก็จะยังมีความอยากอยู่ต่อไป เราไม่สามารถจะมีชีวิตโดยไม่มีความอยากได้ ดังนั้นเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องยังมีความทุกข์และความเดือดร้อนอยู่ต่อไป และถ้าจะไม่ให้มีความทุกข์ความเดือดร้อน ก็มีวิธีเดียวคือต้องปฏิบัติเพื่อไม่ให้มีการเกิดชีวิตขึ้นมาอีก” ซึ่งจากความเห็นผิดนี้เองที่ทำให้ผู้ที่มีความเห็นผิดนี้ต้องทนทุกข์ทางใจและต้องประสบกับความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตอยู่ต่อไปทั้งชีวิต
เมื่ออยากได้สิ่งใด แล้วไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์
ความอยาก (ตัณหา) นั้นเมื่อเราตามใจมัน คือแสวงหาสิ่งที่มันอยากจะได้มาให้ เมื่อมันได้สมใจ (พอใจ) แล้วมันก็จะมีความสุขอยู่สักระยะหนึ่ง แล้วไม่นานมันก็จะเกิดความอยากใหม่ขึ้นมาอีก เมื่อเราแสวงหามาให้มันอีก มันก็พอใจและอยากได้ใหม่อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และแน่นอนว่าความอยากมันก็จะเพิ่มมากขึ้นๆ จนในที่สุดก็ไม่มีสิ่งใดมาทำให้เราพอใจได้ หรือไม่มีใครจะมาตามใจเราได้ตลอดไป เพราะความอยากของเรามันมากเกินไป และเมื่อไม่ได้ตามที่เราอยาก (หรือผิดหวัง) ก็จะทำให้เกิดความเศร้าโศกหรือเสียใจอย่างรุนแรงที่เรียกว่าความทุกข์ใจขึ้นมาทันที อีกทั้งการตามใจความอยากมากๆ ก็จะมีผลทำให้เกิดการทำความผิดหรือความชั่วขึ้นมาได้โดยง่าย
ความอยากคือสาเหตุที่ใกล้ชิดของความทุกข์ทั้งหมด คือทั้งความทุกข์ใจและทั้งยังสร้างความเดือดร้อนให้แก่ร่างกายและสังคมรวมทั้งให้แก่โลกอีกด้วย ดังนั้นถ้าเราสามารถทำให้ความอยากลดน้อยลงหรืออยากให้น้อยลงได้ ความทุกข์และความเดือดร้อนี้ก็จะลดน้อยลงได้ หรือถ้าทำให้หมดสิ้นไปได้ ความทุกข์และความเดือดร้อนนี้ก็จะหมดสิ้นไปได้
หลักอริยมรรคของอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้านี่เอง ที่เป็นหลักปฏิบัติที่จะทำให้ความอยากนี้ลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไปได้ (ทั้งอย่างชั่วคราวและถาวร) และทำให้ความทุกข์และความเดือดร้อนลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไปได้ (ทั้งอย่างชั่วคราวและถาวร) อันจะทำให้จิตใจของเราสงบเย็น (นิพพาน) และทำให้สังคมมีความสงบสุข รวมทั้งทำให้โลกมีสันติภาพได้
แต่คนที่ไม่เข้าใจหลักอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้องก็จะเข้าใจผิด (มีความเห็นผิด) ไปว่า “ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ก็จะยังมีความอยากอยู่ต่อไป เราไม่สามารถจะมีชีวิตโดยไม่มีความอยากได้ ดังนั้นเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องยังมีความทุกข์และความเดือดร้อนอยู่ต่อไป และถ้าจะไม่ให้มีความทุกข์ความเดือดร้อน ก็มีวิธีเดียวคือต้องปฏิบัติเพื่อไม่ให้มีการเกิดชีวิตขึ้นมาอีก” ซึ่งจากความเห็นผิดนี้เองที่ทำให้ผู้ที่มีความเห็นผิดนี้ต้องทนทุกข์ทางใจและต้องประสบกับความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตอยู่ต่อไปทั้งชีวิต