กระทู้นี้บอกเลยว่าคิดหนักมากก่อนที่จะมาเขียนเพื่อแชร์และเป็นวิทยาทานหรือองค์ความรู้ให้กับคนที่สงสัยใคร่รู้เรื่องเกี่ยวกับ "รถยนต์" เพราะเหมือนจะเป็นดาบสองคมที่อาจทำให้คนติดหนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะรู้ทีหนี้ทีไล่ของระบบงานและกฎหมาย หรืออาจจะทำให้ผู้ที่เดือนร้อนเรื่องค้างชำระค่างวดและถูกบริษัทต่างๆเอาเปรียบอยู่ หรืออาจทำให้คนที่คิดจะออกรถใหม่ ฉุกคิดและเปลี่ยนใจ(ซึ่งอาจเป็นแค่หนึ่งในหมื่นคนเท่านั้น ความโลภบังตาคนมักไม่มองเอฟเฟคด้านลบ) และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เจตนาของผู้เขียนคือ ไม่ต้องการให้ทุกท่านเป็นหนี้สินเพราะวัตุนิยม บริโภคนิยม ในทุกกรณี
ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณในการอ่าน และหากมีข้อมูลที่ผิดเพี้ยนไปจากข้อมูลที่ถูกต้อง ขออภัยมา ณ ที่นี้ และพร้อมจะสืบค้นข้อมูเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องค่ะ ^^
ทุกครั้งที่จะต้องออกรถใหม่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด คนเรามักสนใจแค่รถรุ่นไหนสวย รุ่นไหนชอบ โดยน้อยคนจะสนใจว่า ดาวน์เท่าไหร่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ รายรับรายจ่ายของครอบครัวเป็นอย่างไร ความสามารถในการบริหารจัดการการเงินของตัวเองเป็นอย่างไร สุดท้ายสิ่งที่ตามมาคือหนี้ก้อนโต ผ่อนไม่ไหว ขายต่อหรือให้คนอื่นผ่อนต่อ(โดยไม่มีการโอนชื่อ) นั่นทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกว่า เขาไม่ชำระค่างวดรถยนต์ จึงทำให้บริษัทต่างๆที่รับผิดชอบมาติดตามเรื่องจากคุณ และเป็นเหตุให้ติดเครดิตบูโร และการฟ้องร้องเกิดขึ้น บางรายออกรถมาใช้ไม่เท่าไหร่ เกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่มีประกัน รถใช้ต่อไม่ได้ ไม่สามารถชำระค่างวดและค่าซ่อมได้ เกิดการฟ้องร้องอีกเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากการคิดน้อยของผู้บริโภค(นิยม) ซึ่งในกรณีแบบทั้งสองอย่างนี้ บอกตรงๆเลยว่า จขกท. ไม่อยากจะช่วยใดๆทั้งสิ้นจริงๆค่ะ = =
ทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุให้ประเทศไทยมีหนี้ค้างชำระค่างวดรถยนต์กว่าแสนคัน
แต่กรณีที่จะพูดถึงต่อไปนี้ คือผู้ที่เกิดวิกฤติปัญหาทางการเงินจนไม่สามารถชำระค่างวดได้ติดต่อกัน 1-3งวด
ในกรณีแรก ค้างชำระค่างวด 1งวด หรือ ไม่เกิน30วัน โดยปกติแล้วจะไม่มีค่าธรรมเนียมติดตามทวงถาม(แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับไฟแนนซ์หรือธนาคารที่ทำสัญญา) แต่จะมีค่าเบี้ยปรับรายวัน กรณีนี้ให้ผู้ค้างชำระ รีบชำระค่างวดให้เร็วที่สุด ส่วนเบี้ยปรับรายวันสามารถเลือกชำระทันทีหรือยกยอดไปตอนปิดบัญชีก็ได้
ในกรณีที่สอง ค้างชำระ2งวด หรือครบ45/ 60วันขึ้นไป จะมีจดหมายทวงถามถูกส่งไปที่บ้าน พร้อมกับแจ้งว่ามียอดชำระค่าติดตามทวงถามเพิ่มจากค่างวด ซึ่งบางบริษัทจะแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเป็นจำนวนเท่าใด หรือบางบริษัทก็ไม่ได้แจ้งไว้ เพื่อเอื้อให้กับบริษัทนอกที่มีหน้าที่ติดตามทวงถามทั้งโทรศัพท์ และ ติดตามที่บ้านโดยตรง ทั้งนี้ผู้ค้างชำระจะต้องชำระค่าติดตามทวงถามด้วย หากค้างชำระ1งวดเต็ม มักมี ค่าติดตาม ประมาณ 500บาท สองงวดประมาณ1000บาท ไม่เกินจากนี้ ซึ่งสามารถต่อรองกับผู้มีหน้าที่ติดตามทวงถามให้ลดหย่อนได้เป็นกรณีไป
กรณีสุดท้าย คือผู้มียอดค้างชำระตั้งแต่สามงวดขึ้นไป หรือมากกว่า 90วัน จะมีทั้งจดหมายทวงถามส่งมาที่บ้าน และเรียกเก็บคตต.เพิ่มประมาณ 1500-4700บาท อีกทั้งเจ้าหน้าที่ติดตามหนี้สินสามารถทำการยึดรถของท่านได้ เมื่อรถของท่านอยู่นอกเคหสถาน หรืสถานที่สาธารณะเท่านั้น!!!! ผู้ติดตามหนี้สินไม่สามารถขู่บังคับหรือยึดรถของท่านได้ เมื่อรถจอดอยู่ในบ้านอาคารลานจอดต่างๆ ดังนั้นให้ผู้ค้างชำระเร่งชำระค่างวดรถยนต์อย่างน้อยที่สุดสองงวดเต็ม เพื่อรักษาสถานภาพไว้ และเจรจากับเจ้าหนี้ว่าจะชำระทั้งหมดได้เมื่อใด เพื่อไม่ให้เกิดการติดตามทวงถามอีก
ในกรณีเจรจากับเจ้าหน้าที่ติดตามหนี้สินทั้งที่เป็นของธนาคาร ลิสซิ่งหรือ บริษัทรับทวงนี้ ขอให้เข้าใจว่าพวกเขาทำไปตามหน้าที่ ไม่ได้มีความแค้นใดๆส่วนตัว ให้ใช้วาจาสุภาพและเจรจาด้วยสันติวิธีจะดีที่สุด เพื่อเป็นผลดีต่อผู้ค้างชำระ เพราะการติดตามทวงถามทุกครั้งมีการบันทึกข้อมูลหลักฐานการติดตาม โดยเฉพาะทางโทรศัพท์ จึงมีผลในการตัดสินใจของเจ้าหนี้ค่ะ
ผู้ค้ำ>>>>เพราะกฎหมายใหม่เอื้อมาก ผู้ค้ำจึงเหมือนแค่เทวดาผู้ให้ข้อมูล ที่ไม่มีส่วนได้เสียกับหนี้ก้อนโตที่ผู้ซื้อสร้างไว้ เอาง่ายๆคือ ผู้ค้ำไม่ต้องใช้หนี้แทนหากผู้ซื้อเบี้ยวน่ะค่ะ และจนท.ติดตามหนี้สิน ไม่สามารถแจ้งยอดค้างชำระ สภาวะการเป็นหนี้ต่อผู้ค้ำได้ (ทุกวันนี้ยังแอบคิดในใจ แล้วงี้จะเอาผู้ค้ำไปเซนต์สัญญาทำป๊ะป๋าอะไร) แต่หากความจริงแล้วผู้ค้ำคือคนซื้อและใช้รถตัวจริง จนท.ทวงหนี้ก็ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ซื้อก่อนถึงจะติดตามทวงถามผู้ค้ำได้ (นี่แหละสาเหตุหนี้เพิ่มเป็นเงาตามตัว)
และในการชำระหนี้ค้างทั้งหมด บางบริษัท จำเป็นต้องชำระค่าติดตามทวงถาม บางบริษัทไม่ต้องชำระก็ได้ เพราะไม่มีส่วนได้เสียกับบัญชีผู้ซื้อ แต่หากผู้เช่าซื้อปล่อยให้มีการค้างชำระติดต่อกันเนินนาน ในการปิดบัญชี จะต้องชำระค่าจิปาถะที่เกิดขึ้นตามจำนวนวันเวลาการค้างชำระ ซึ่งสูงสุดก็หลักหมื่นบาทค่ะ
ผ่อนไม่ไหวควรทำงดี...? จขกท. แนะนำสามวิธีค่ะ
1. ติดต่อคืนรถกับทางบริษัทเพื่อไม่ใช่รายชื่อติดเครดิตบูโร แต่อาจต้องชำระส่วนต่างของความเสียหายที่เกิดกับรถค่ะ
2. ขายต่อ และต้องมีการทำสัญญาใหม่ โอนชื่อผู้เช่าซื้อใหม่ให้แล้วเสร็จ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอื่นตามมา
3. ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับทางธนาคาร วิธีนี้คือการยืดเวลาผ่อนออกไปอีก ค่างวดลดลง แต่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นค่ะ ยกตัวอย่างเช่น สมมติค่างวด1หมื่นบาท ผ่อน5ปี แต่คุณผ่อนมาแล้ว 2ปี เหลืออีก3ปี ผ่อนต่อไม่ไหว ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ขยายเวลาชำระจากสามปีเปนห้าปี ค่างวดจากหนึ่งหมื่นบางเหลือเจ็ดพันห้าร้อยบาท ประมาณนี้ค่ะ
ทั้งนี้ในการออกรถแต่ละคัน แต่ละครั้ง จขกท. อยากจะให้ผู้อ่านลองพิจารณาจากความจำเป็น ฐานเงินเดือน รายรับรายจ่ายของที่บ้าน ความสามารถในการชำระหนี้ และต้องเผื่อเก็บไว้ยามฉุกเฉินด้วย หากมองเห็นแค่ความอยากมีอยากได้ คุณก็อาจจะเป็นคนหนึ่งในบรรดาเคสที่ จขกท.ได้กล่าวมา (เห็นหลายกระทู้เหลือเกิน เงินเดือนรวมกันสามสี่หมื่นแต่จะออกรถแคมรี่ เทียนา บลาๆ สะอึกแทนค่ะ) อยากได้รถคันไหน ก็ลองเก็บเงินให้มากกว่าค่างวดรถติดต่อกันครึ่งปี ถ้าคุณทำได้ค่อยออกรถดีกว่านะคะ ^^
ขอบคุณที่อ่านถึงบรรทัดนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เดือดร้อนเรื่องการชำระค่างวดรถนะคะ
ค้างชำระค่างวดรถยนต์ ค่าติดตามทวงถาม เบี้ยปรับรายวัน จำเป็นต้องจ่ายหรือไม่??? กำลังจะออกรถต้องอ่าน!!!
ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณในการอ่าน และหากมีข้อมูลที่ผิดเพี้ยนไปจากข้อมูลที่ถูกต้อง ขออภัยมา ณ ที่นี้ และพร้อมจะสืบค้นข้อมูเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องค่ะ ^^
ทุกครั้งที่จะต้องออกรถใหม่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด คนเรามักสนใจแค่รถรุ่นไหนสวย รุ่นไหนชอบ โดยน้อยคนจะสนใจว่า ดาวน์เท่าไหร่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ รายรับรายจ่ายของครอบครัวเป็นอย่างไร ความสามารถในการบริหารจัดการการเงินของตัวเองเป็นอย่างไร สุดท้ายสิ่งที่ตามมาคือหนี้ก้อนโต ผ่อนไม่ไหว ขายต่อหรือให้คนอื่นผ่อนต่อ(โดยไม่มีการโอนชื่อ) นั่นทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกว่า เขาไม่ชำระค่างวดรถยนต์ จึงทำให้บริษัทต่างๆที่รับผิดชอบมาติดตามเรื่องจากคุณ และเป็นเหตุให้ติดเครดิตบูโร และการฟ้องร้องเกิดขึ้น บางรายออกรถมาใช้ไม่เท่าไหร่ เกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่มีประกัน รถใช้ต่อไม่ได้ ไม่สามารถชำระค่างวดและค่าซ่อมได้ เกิดการฟ้องร้องอีกเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากการคิดน้อยของผู้บริโภค(นิยม) ซึ่งในกรณีแบบทั้งสองอย่างนี้ บอกตรงๆเลยว่า จขกท. ไม่อยากจะช่วยใดๆทั้งสิ้นจริงๆค่ะ = = ทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุให้ประเทศไทยมีหนี้ค้างชำระค่างวดรถยนต์กว่าแสนคัน
แต่กรณีที่จะพูดถึงต่อไปนี้ คือผู้ที่เกิดวิกฤติปัญหาทางการเงินจนไม่สามารถชำระค่างวดได้ติดต่อกัน 1-3งวด
ในกรณีแรก ค้างชำระค่างวด 1งวด หรือ ไม่เกิน30วัน โดยปกติแล้วจะไม่มีค่าธรรมเนียมติดตามทวงถาม(แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับไฟแนนซ์หรือธนาคารที่ทำสัญญา) แต่จะมีค่าเบี้ยปรับรายวัน กรณีนี้ให้ผู้ค้างชำระ รีบชำระค่างวดให้เร็วที่สุด ส่วนเบี้ยปรับรายวันสามารถเลือกชำระทันทีหรือยกยอดไปตอนปิดบัญชีก็ได้
ในกรณีที่สอง ค้างชำระ2งวด หรือครบ45/ 60วันขึ้นไป จะมีจดหมายทวงถามถูกส่งไปที่บ้าน พร้อมกับแจ้งว่ามียอดชำระค่าติดตามทวงถามเพิ่มจากค่างวด ซึ่งบางบริษัทจะแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเป็นจำนวนเท่าใด หรือบางบริษัทก็ไม่ได้แจ้งไว้ เพื่อเอื้อให้กับบริษัทนอกที่มีหน้าที่ติดตามทวงถามทั้งโทรศัพท์ และ ติดตามที่บ้านโดยตรง ทั้งนี้ผู้ค้างชำระจะต้องชำระค่าติดตามทวงถามด้วย หากค้างชำระ1งวดเต็ม มักมี ค่าติดตาม ประมาณ 500บาท สองงวดประมาณ1000บาท ไม่เกินจากนี้ ซึ่งสามารถต่อรองกับผู้มีหน้าที่ติดตามทวงถามให้ลดหย่อนได้เป็นกรณีไป
กรณีสุดท้าย คือผู้มียอดค้างชำระตั้งแต่สามงวดขึ้นไป หรือมากกว่า 90วัน จะมีทั้งจดหมายทวงถามส่งมาที่บ้าน และเรียกเก็บคตต.เพิ่มประมาณ 1500-4700บาท อีกทั้งเจ้าหน้าที่ติดตามหนี้สินสามารถทำการยึดรถของท่านได้ เมื่อรถของท่านอยู่นอกเคหสถาน หรืสถานที่สาธารณะเท่านั้น!!!! ผู้ติดตามหนี้สินไม่สามารถขู่บังคับหรือยึดรถของท่านได้ เมื่อรถจอดอยู่ในบ้านอาคารลานจอดต่างๆ ดังนั้นให้ผู้ค้างชำระเร่งชำระค่างวดรถยนต์อย่างน้อยที่สุดสองงวดเต็ม เพื่อรักษาสถานภาพไว้ และเจรจากับเจ้าหนี้ว่าจะชำระทั้งหมดได้เมื่อใด เพื่อไม่ให้เกิดการติดตามทวงถามอีก
ในกรณีเจรจากับเจ้าหน้าที่ติดตามหนี้สินทั้งที่เป็นของธนาคาร ลิสซิ่งหรือ บริษัทรับทวงนี้ ขอให้เข้าใจว่าพวกเขาทำไปตามหน้าที่ ไม่ได้มีความแค้นใดๆส่วนตัว ให้ใช้วาจาสุภาพและเจรจาด้วยสันติวิธีจะดีที่สุด เพื่อเป็นผลดีต่อผู้ค้างชำระ เพราะการติดตามทวงถามทุกครั้งมีการบันทึกข้อมูลหลักฐานการติดตาม โดยเฉพาะทางโทรศัพท์ จึงมีผลในการตัดสินใจของเจ้าหนี้ค่ะ
ผู้ค้ำ>>>>เพราะกฎหมายใหม่เอื้อมาก ผู้ค้ำจึงเหมือนแค่เทวดาผู้ให้ข้อมูล ที่ไม่มีส่วนได้เสียกับหนี้ก้อนโตที่ผู้ซื้อสร้างไว้ เอาง่ายๆคือ ผู้ค้ำไม่ต้องใช้หนี้แทนหากผู้ซื้อเบี้ยวน่ะค่ะ และจนท.ติดตามหนี้สิน ไม่สามารถแจ้งยอดค้างชำระ สภาวะการเป็นหนี้ต่อผู้ค้ำได้ (ทุกวันนี้ยังแอบคิดในใจ แล้วงี้จะเอาผู้ค้ำไปเซนต์สัญญาทำป๊ะป๋าอะไร) แต่หากความจริงแล้วผู้ค้ำคือคนซื้อและใช้รถตัวจริง จนท.ทวงหนี้ก็ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ซื้อก่อนถึงจะติดตามทวงถามผู้ค้ำได้ (นี่แหละสาเหตุหนี้เพิ่มเป็นเงาตามตัว)
และในการชำระหนี้ค้างทั้งหมด บางบริษัท จำเป็นต้องชำระค่าติดตามทวงถาม บางบริษัทไม่ต้องชำระก็ได้ เพราะไม่มีส่วนได้เสียกับบัญชีผู้ซื้อ แต่หากผู้เช่าซื้อปล่อยให้มีการค้างชำระติดต่อกันเนินนาน ในการปิดบัญชี จะต้องชำระค่าจิปาถะที่เกิดขึ้นตามจำนวนวันเวลาการค้างชำระ ซึ่งสูงสุดก็หลักหมื่นบาทค่ะ
ผ่อนไม่ไหวควรทำงดี...? จขกท. แนะนำสามวิธีค่ะ
1. ติดต่อคืนรถกับทางบริษัทเพื่อไม่ใช่รายชื่อติดเครดิตบูโร แต่อาจต้องชำระส่วนต่างของความเสียหายที่เกิดกับรถค่ะ
2. ขายต่อ และต้องมีการทำสัญญาใหม่ โอนชื่อผู้เช่าซื้อใหม่ให้แล้วเสร็จ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอื่นตามมา
3. ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับทางธนาคาร วิธีนี้คือการยืดเวลาผ่อนออกไปอีก ค่างวดลดลง แต่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นค่ะ ยกตัวอย่างเช่น สมมติค่างวด1หมื่นบาท ผ่อน5ปี แต่คุณผ่อนมาแล้ว 2ปี เหลืออีก3ปี ผ่อนต่อไม่ไหว ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ขยายเวลาชำระจากสามปีเปนห้าปี ค่างวดจากหนึ่งหมื่นบางเหลือเจ็ดพันห้าร้อยบาท ประมาณนี้ค่ะ
ทั้งนี้ในการออกรถแต่ละคัน แต่ละครั้ง จขกท. อยากจะให้ผู้อ่านลองพิจารณาจากความจำเป็น ฐานเงินเดือน รายรับรายจ่ายของที่บ้าน ความสามารถในการชำระหนี้ และต้องเผื่อเก็บไว้ยามฉุกเฉินด้วย หากมองเห็นแค่ความอยากมีอยากได้ คุณก็อาจจะเป็นคนหนึ่งในบรรดาเคสที่ จขกท.ได้กล่าวมา (เห็นหลายกระทู้เหลือเกิน เงินเดือนรวมกันสามสี่หมื่นแต่จะออกรถแคมรี่ เทียนา บลาๆ สะอึกแทนค่ะ) อยากได้รถคันไหน ก็ลองเก็บเงินให้มากกว่าค่างวดรถติดต่อกันครึ่งปี ถ้าคุณทำได้ค่อยออกรถดีกว่านะคะ ^^
ขอบคุณที่อ่านถึงบรรทัดนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เดือดร้อนเรื่องการชำระค่างวดรถนะคะ