[เราพิมพ์ในไอแพดนะคะ ไม่รู้ว่าจะอ่านง่ายมั้ย แต่พยายามจัดหน้าแล้วค่ะ]
สวัสดีค่ะ ต้องขอบอกก่อนนะคะว่าเราไม่ค่อยเล่นพันทิป
ตามอ่านมาบ้าง ตอบมาบ้าง แต่ไม่ใช่แฟนตัวยงของพันทิป
ซึ่งกระทู้ที่เรามาตั้งในวันนี้ เป็นกระทู้เตือนสติ สำหรับคนที่กำลังคิดสั้น หรือคิดที่จะฆ่าตัวตาย
*เราเขียนและอ่านของตัวเองพบว่าในกระทู้มีคำหยาบและเนื้อหาบางส่วนล่อแหลม
ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ ไม่มีเจตนาให้ทำตาม*
เราเพิ่งได้ตอบกระทู้ของผู้หญิงคนนึงที่ตั้งถามในทำนองที่ว่า
ถ้าลูกฆ่าตัวตาย คนเป็นพ่อแม่จะรู้สึกยังไง
เราพิมพ์ตอบเยอะมาก นานมาก(สำหรับเรานะ) ทำให้คิดว่าเราน่าจะตั้งกระทู้เองบ้างดีกว่า
ในกระทู้นี้อาจจะมีทั้งข้อมูลที่ผิดพลาด หรือเพราะเรารู้ไม่จริงในบางเรื่อง
ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ และเราพร้อมจะนำทุกข้อเสนอแนะ คำแนะนำ ไปปรับใช้กับตัวเอง
ช่วงนี้มีข่าวเยอะมาก เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ทำให้รู้สึกว่าอยากช่วยลด ช่วยยื้อชีวิต
คนที่กำลังหรือมีแนวโน้วที่จะคิดแบบนี้ ด้วยการเล่าเรื่องของตัวเอง ในมุมมองของตัวเองให้ฟังค่ะ
ตอนนี้เราอายุ 20 ปีบริบูรณ์
เราเป็นคนมีเพื่อนสนิทน้อยมาก เพราะด้วยความที่ตัวเองเป็นคนแปลกมั้งตามความคิดของคนอื่น
แต่สำหรับตัวเราเองและเพื่อนสนิท เราคิดว่าเราปกติดี
เราไม่ได้เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เราแค่เป็นคนคิดซับซ้อน ซึ่งจะมีแค่ไม่กี่คนที่เข้าใจในความคิดเรา
แต่ทุกครั้งที่มีคนเข้าใจ เราจะรู้สึกดีมาก แค่อย่างน้อยพยายามที่จะเข้าใจเราก็รู้สึกดีมากแล้ว
ถ้าคุณคิดว่าจากคำพูดเรา อาจจะทำให้คนที่เครียด ยิ่งเครียดขึ้นไปอีก รออีกสักนิด ทนอ่านต่อก่อน
เราแค่กำลังจะหาความเหมือนหรือต่างในตัวคุณกับเรา เหมือนหลักการที่หมอดูใช้
ทำให้เรารู้สึกสนิทกันมากขึ้น กล้าพูดความลับ ความรู้สึกของตัวเอง
เราต้องถามก่อนว่า ทำไมคุณถึงอยากฆ่าตัวตาย?
เพราะว่าคุณคิดว่าการตาย ดีกว่าการอยู่ใช่มั้ย ถ้าคุณตายจะมีประโยชน์มากกว่าอยู่แน่ๆ
ถ้าคุณตอบแบบนี้ เราไม่ได้บอกว่ามันเป็นความคิดที่ผิด
เพียงแต่ คุณยังไม่ได้คิดให้หมดเท่านั้น
คุณรู้รึเปล่า ว่าการที่คุณอยู่ มันจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่าคุณตายอีกเยอะเลย
มาฟังเรื่องของเราบ้างนะ
เราเคยฆ่าตัวตายตอนอายุ 15 อยู่ ม.3 ตอนนั้นเครียดเรื่องเรียนต่อ และเรื่องที่บ้าน
เราทำโดยการกินยาโรคไมเกรนไปเกินขนาด แต่โชคยังดีที่เรารอด รอดแบบที่กูจะไม่ทำอีกแล้วในชีวิตนี้
คือตอนที่เรากินเข้าไปเนี่ย เราศึกษาข้อมูลยามาประมาณนึง ว่ากินเข้าไปแล้วมันจะมีอาการยังไง
แต่ที่เราไม่รู้คือ มันจะทำให้ทรมานกว่าตายขนาดนี้
เราคิดว่ามันช่วยแค่ให้เรานอนหลับ แต่ไม่ใช่ มันทำให้เราง่วง แต่เรานอนไม่ได้
มันไม่เหมือนกับการที่คุณกินยาล้างห้องน้ำ หรือยาฆ่าหญ้า มันทรมานคนละแบบ
เรากินเข้าไปสักประมาณ 2 ทุ่ม เริ่มง่วง หลับไปจนถึงสี่ทุ่ม เราสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกเต็มตัว
หายใจไม่ทัน หัวใจเต้นแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนวิ่งรอบสนามแล้วเหนื่อยจะเป็นลมแล้วแต่ก็ยังต้องวิ่งต่อ
ภาวนาให้ตัวเองอยู่จนถึงเช้า ร้องไห้ไม่ออก กลัวเหนื่อยกว่าเดิม สมองก็ง่วงมาก แต่หัวใจก็เต้นรัวไม่หยุด
จนตีห้าน็อค หลับแบบไม่รู้เรื่องจนถึงเก้าโมงเช้า เพื่อนมาปลุกไปโรงพยาบาล ก่อนไปก็อ้วกหลายรอบ
พอไปถึง ก็โดนจับฉีดยา ไม่ได้ล้างท้อง เพราะอะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่รู้แค่ว่า มันทรมานมาก มากซะจนใจนึงก็คิดว่าตายเถอะ
อีกใจคิดว่ากูต้องรอด ขอให้รอดเถอะ คิดถึงแต่หน้าพ่อหน้าแม่ ถ้ารอดไปแล้ว สัญญากับตัวเองเลยว่า
จะไม่ทำร้ายตัวเองอีกแล้วตลอดชีวิตนี้ ก่อนหน้านี้เราก็เคยกรีดแขน เพราะจะทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากแฟน
สรุปเป็นไง ผลคือมันก็ไม่สนใจอยู่ดี

ก็เจ็บตัวฟรีไป แต่ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีรอยแผลเป็นอะไรแล้ว ไม่งั้นคงเจ็บมาจนวันนี้
หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตปกติดี ไม่มีแฟน ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่สิ้นคิดเอง และพ่อแม่ไม่เคยรู้ค่ะ
จนตอนนี้ อายุ 20 เราดรอปเรียน เพราะเรามีปัญหากับตัวเอง
เราเขียนอธิบายปัญหาของตัวเองได้ไม่หมดหรอกนะ แต่รวมๆคือ เข้าข่ายโรคซึมเศร้า
ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยคิดว่าตัวเองเป็นไบโพล่าร์ เรากลับมาจากต่างประเทศ เราร้องไห้ ตั้งแต่เครื่องบินออกจากประเทศนั้น
มาจนถึงไทย ความรู้สึกคือ homesick แบบมากๆ แบบที่จะไม่มีโอกาสกลับไปอีกแล้ว ก่อนกลับเราคิดแพลนไว้หลายอย่างมาก
ว่าระหว่างที่กลับมาไทยจะทำอะไร แต่พอกลับมาถึงจริงๆเราก็ไม่มีอารมณ์ทำอะไร ไม่อยากไปเรียน ไม่อยากเจอคนอื่น
ทุกวันนี้เจอแค่หน้าพ่อแม่ ไม่อยากกินข้าว ไม่อยากไปไหน เราก็ทะเลาะกับพ่อเรื่องดรอปเรียนรุนแรงมาก
และนั่นเป็นอีกครั้งที่เราคิดอยากฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็หนีออกจากบ้าน เราร้องไห้หนักมากอยู่สองวัน
เราบอกแฟนเราว่าอยากตาย เค้าก็ด่ามาตามปกติ เราบอกเพื่อนสนิทเราว่าเราอยากตาย เค้าก็นิ่ง ฟัง ไม่พูดอะไร
ให้เราเล่าเท่าที่เราอยากเล่า และพูดกับเราตบท้ายว่า กูห่วง

นะ และเคารพการตัดสินใจของ
คุณเคยดูคลิปเกี่ยวกับแคมเปญ การเป็นผู้ฟังที่ดีมั้ยคะ นั่นแหละ เพื่อนเราเป็นแบบนั้น
เป็นตั้งแต่เริ่มคบกัน จนทุกวันนี้ และมีแค่คนเดียวด้วยที่เป็นแบบนี้ (เรารู้สึกโคตรโชคดีเลย)
เราก็คิดอยากหนีปัญหา หนีไปไหนก็ได้ เรามีเงินเก็บติดตัว ว่าจะหนีไปอยู่ที่อื่นสักพัก
คิดแผนไว้แล้วว่าเนี่ยเดี๋ยวเช้า เก็บเสื้อผ้าให้เพื่อนไปส่งขึ้นรถ ไปต่างจังหวัดเลย
แต่เมื่อมองดูคนรอบข้าง กำลังทำงานเพื่อเรา กำลังทำทุกอย่างเพื่อเรา เราพูดกับตัวเองว่าเราทิ้งเค้าไม่ได้
เค้าหามาทั้งหมดเนี่ย ให้

คนเดียวเลยนะ เราอยากช่วยครอบครัว อยากทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่เราก็ทำให้มันแย่ลงไปหมด
จนวันนึง เราเลิกกับแฟน เพราะเราคิดว่าความสุขของเค้ามันไม่ใช่เราอีกต่อไปแล้ว
เค้าควรจะได้เจอคนที่ดีและมีอนาคตกว่านี้ อาทิตย์แรกที่เลิก เราอยู่ได้ เราตัดขาดหมดทุกอย่าง
ลบรูป เบอร์โทร แอพไลน์ facebook ทวิต ไอจี ลบหมดทุกโซเชียล เพื่อที่จะรักษาความรู้สึกตัวเองเอาไว้ คิดว่าต้องอยู่ให้ได้
เราคิดว่าการไม่เห็นมันจะเป็นวิธีที่ดี แต่ไม่เลย ก่อนนอนทุกวัน เราคิดถึงภาพที่เคยมีเค้า
ตอนหลับก็ฝันทุกคืน เราถามเพื่อนอีกคนว่าตอนที่มันเลิกกับแฟนเป็นไงมั่ง มันบอกเราว่าร้องไห้ทุกวันเกือบสองเดือน
เราก็คิดว่า เออเอาวะ กูก็คนปกติ อาจจะหายช้าหน่อย ร้องนานหน่อย คงไม่เป็นไรมั้ง แล้วเวลาผ่านไป มันไม่หาย
ไม่เหมือนแบบที่คิด แย่ลงๆทุกวัน จากความรู้สึกที่คิดว่าตัด มันกลับกลายเป็นว่าเราขุดหลุมฝังมันไว้
แล้วต้นไม้มันเริ่มงอก เริ่มโผล่มาให้เราเห็นแล้ว เรายอมรับกับตัวเองว่าเราคิดถึง และไม่อยากเสียเค้าไป
ปกติเราเป็นคนเข้มแข็ง เหมือนจะไม่มีความรู้สึกด้วยซ้ำ อะไรที่ทำให้ตัวเองมีความสุขก็ทำ อะไรที่คิดแล้วสบายใจก็คิด
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ทุกอย่างมันแย่ไปหมด เริ่มเข้าใกล้คำว่า ไม่ไหวแล้ว
เราตัดสินใจถามแม่ว่า ถ้าหนูตาย แม่จะได้อะไร แม่จะเป็นยังไง แค่นั้นแหละ
เรารู้สึกว่า "กูไม่อยากฆ่าแม่ตัวเองทางอ้อม" เราไม่อยากทำให้เค้าเสียใจ เค้ารักเรามากกว่าชีวิตตัวเองอีกนะ
แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องตาย อยู่สิ

ต้องอยู่ให้ได้
ตั้งแต่วันที่กลับจากต่างประเทศ เราร้องไห้ทุกวันจนถึงวันนี้ แต่เราพูดกับตัวเองเสมอว่า

อยากร้องแค่ไหน ร้องไป ร้อง ไม่ได้ห้าม ร้องเท่าที่จะมีแรงร้อง
อยากไปไหน ไปเลย อยากกินอะไรกิน อยากทำอะไรทำ
ขออย่างเดียว ขอแค่อย่าตาย ทุกวันนี้ เราถึงยังมีชีวิตอยู่
ถึงชีวิตจะไม่สู้ดีนัก แต่รู้มั้ยการที่คุณเคยเกือบตาย จะทำให้รู้ว่าชีวิตตัวเองมีค่ามากแค่ไหน
ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่เกลียดการตื่นเช้า เกลียดพระอาทิตย์ เกลียดการที่มีคนมาปลุกเวลานอน
แต่การที่เพื่อนเรามาปลุกให้ไปโรงพยาบาลในวันนั้น ได้เห็นแสงอาทิตย์
มันทำให้รู้ว่าเราควรจะขอบคุณตัวเองมากแค่ไหน ที่ได้ให้โอกาสตัวเองในการมีชีวิตอยู่ในทุกวันนี้
สำหรับคนที่คุณรัก พูดไปเถอะ อะไรที่มันดีต่อเค้าและคุณ พูดไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย
ถึงเค้าจะไม่ได้คิดในแง่มุมเดียวกับคุณแต่อย่างน้อย คุณก็ได้ทำในสิ่งที่ดีให้กับคนที่คุณรัก
วัฒนธรรมไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบพูด ไม่ชอบแสดงความรักด้วยการพูด หรือทำเซอร์ไพรส์ให้กับคนในครอบครัว หรือญาติพี่น้อง
แต่ คุณก็มีวิธีแสดงออกความรักในรูปแบบของคุณ การทำงานบ้านให้ การทำกับข้าวให้ การดูแล อะไรเหล่านี้ที่คุณทำให้ได้
แต่อย่าลืมว่าการพูดและการกอด ง่ายที่สุด
เราเป็นคนนึงที่ไม่ค่อยบอกรักพ่อแม่ตัวเอง ปากแข็ง ปากหมาด้วยซ้ำ 55
แต่การที่เราอยู่ไกลบ้านมาโดยตลอด มันทำให้เรารู้ว่า การมีคนในครอบครัวมันสำคัญแค่ไหน
เราเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะได้รู้ได้ลองด้วยตัวเอง
ถ้าคุณเป็นคนแบบเรา เชื่อเถอะ ไม่ต้องลองตายนะ มันไม่สนุกหรอก ให้เราลองก็พอแล้ว
เราได้ลองและเล่าให้คุณฟัง นี่เป็นวิธีแสดงออกในรูปแบบหนึ่งของเรา
เรายอมเล่าในสิ่งที่เล่าให้แค่เพื่อนสนิทฟังเท่านั้น แต่เราเล่าให้คุณฟัง เพราะเรารักและเป็นห่วงคุณ
เราเคยอ่านเจอบทความที่บอกว่า วันที่ร่าเริงที่สุด คือวันที่คนเศร้าพร้อมจะฆ่าตัวตาย
เพราะเค้าจะได้ทำในสิ่งที่พวกเค้าอยากทำแล้ว อย่าปล่อยให้คนที่คุณรักทำแบบนั้น
คุณควรเป็นผู้ฟังที่ดี เหมือนในคลิป (เราจำชื่อไม่ได้)
คุณควรพูดในแง่บวก ไม่ใช่คอยแต่จับผิดสิ่งที่เค้าเล่า เค้าอยากเล่าให้คุณฟังเพราะอยากมีคนฟัง ไม่ใช่อยากมีคนด่า
คุณควรรู้สึกขอบคุณลูกคุณ ที่แม้ว่าเค้าจะผิดพลาดกี่ครั้งก็ตาม แต่เค้ายังเลือกที่จะไม่ตาย และยังอยู่กับคุณตรงนี้
เชื่อเถอะว่าถ้าเค้าจากไปจริงๆ ความผิดไม่กี่อย่างที่เค้าทำคุณจะลืมมันไปและอภัยหมด อย่ารอจนถึงวันนั้น
แม้แต่คนชั่ว ก็ไม่สมควรตาย เพราะเค้าก็มีคนที่รักเค้าเหมือนกัน
*ยกเว้นคนชั่วประเภททำผิดกฏหมาย ฆ่าข่มขืนอะไรแบบนี้
เราปล่อยไปตามหน้าที่ของกฏหมาย แต่เห็นสมควรว่ามันไม่ควรอยู่ - - ขอโทษที่นอกเรื่อง
เอาเป็นว่า รอบตัวเรามีคนอยากฆ่า และคิดฆ่าตัวตายเยอะ มีทั้งคนที่เคยเห็นศพลูกตัวเองที่ฆ่าตัวตาย
มีทั้งเพิ่งพยายามฆ่าตัวตายไปหมาดๆ เราอยากฝากถึงคนพวกนี้ว่าเราเป็นห่วงคุณนะ มีอะไร คุยกับเราก่อนเถอะ
ถึงแม้เราจะไม่ค่อยได้เล่นพันทิป แต่หลังไมค์มาหาเราได้ เราจะช่วยเท่าที่ช่วยได้
เรื่องเรามีเยอะมากที่จะเล่าถ้าคุณอยากฟัง แต่ขอให้คุณเปิดใจรับเราเข้าไปอยู่ในความไว้ใจของคุณเถอะ
ขอบคุณที่อ่านนะคะ ตั้งใจเขียนอยู่เหมือนกัน เราถือว่าวิธีการนี้คือการทำบุญของเรา บำบัดตัวเองและคนอื่น
ขอให้คุณพบเจอแต่สิ่งดีๆต่อไปนะ ขอบคุณที่อ่านค่ะ
ปล.เราเคยอ่านเจอว่าอาการที่เราเป็นในช่วงแรกๆหลังจากกลับมาจากต่างประเทศ เรียกว่า Reverse culture shock หรือเกิดอาการ culture shock ในบ้านเกิดตัวเอง อาการนี้คือเหมือนกับคุณเริ่มใช้ชีวิตไม่เป็น และรู้สึกไม่ปลอดภัยในที่ๆตัวเองคุ้นชิน คนที่ไปอยู่เมืองนอกนานหลายปีอาจจะเป็น แต่เราไปแค่แป๊บเดียว แต่อาจจะเป็นเพราะที่นู่นมีอะไรที่เราขาด เราเลยคุ้นชินและจำความรู้สึกที่นู่นได้มากกว่า
ปล.2 เราเคยคิดว่าตัวเองเป็น bipolar เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว และคิดว่าตอนนี้เป็นโรคซึมเศร้า อยากไปหาจิตแพทย์แต่ไม่มีความรู้ทางนี้ บวกกับความกลัวไม่อยากกินยา ใครพอจะมีความรู้ทางนี้รบกวนชี้แนะหน่อยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ปล.3 ไม่รู้จะตั้งชื่อกระทู้อะไรดี และไม่รู้จะแท็กห้องไหนดี ถ้ามันไม่เหมาะสมแนะนำได้ค่ะ
ปล.4 ขอบคุณป๊ากับแม่ที่ดูแลลูกคนนี้มาอย่างดี ขอบคุณคนที่นู่นที่ได้ให้ความอบอุ่นเหมือนคนในครอบครัว ขอบคุณแฟนที่ดีมาโดยตลอดแม้จะเลิกกันแล้ว ขอบคุณเพื่อนที่อยู่ข้างกู
อยากให้คนที่กำลังคิด หรืออยากฆ่าตัวตายเข้ามาอ่าน
สวัสดีค่ะ ต้องขอบอกก่อนนะคะว่าเราไม่ค่อยเล่นพันทิป
ตามอ่านมาบ้าง ตอบมาบ้าง แต่ไม่ใช่แฟนตัวยงของพันทิป
ซึ่งกระทู้ที่เรามาตั้งในวันนี้ เป็นกระทู้เตือนสติ สำหรับคนที่กำลังคิดสั้น หรือคิดที่จะฆ่าตัวตาย
*เราเขียนและอ่านของตัวเองพบว่าในกระทู้มีคำหยาบและเนื้อหาบางส่วนล่อแหลม
ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ ไม่มีเจตนาให้ทำตาม*
เราเพิ่งได้ตอบกระทู้ของผู้หญิงคนนึงที่ตั้งถามในทำนองที่ว่า
ถ้าลูกฆ่าตัวตาย คนเป็นพ่อแม่จะรู้สึกยังไง
เราพิมพ์ตอบเยอะมาก นานมาก(สำหรับเรานะ) ทำให้คิดว่าเราน่าจะตั้งกระทู้เองบ้างดีกว่า
ในกระทู้นี้อาจจะมีทั้งข้อมูลที่ผิดพลาด หรือเพราะเรารู้ไม่จริงในบางเรื่อง
ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ และเราพร้อมจะนำทุกข้อเสนอแนะ คำแนะนำ ไปปรับใช้กับตัวเอง
ช่วงนี้มีข่าวเยอะมาก เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ทำให้รู้สึกว่าอยากช่วยลด ช่วยยื้อชีวิต
คนที่กำลังหรือมีแนวโน้วที่จะคิดแบบนี้ ด้วยการเล่าเรื่องของตัวเอง ในมุมมองของตัวเองให้ฟังค่ะ
ตอนนี้เราอายุ 20 ปีบริบูรณ์
เราเป็นคนมีเพื่อนสนิทน้อยมาก เพราะด้วยความที่ตัวเองเป็นคนแปลกมั้งตามความคิดของคนอื่น
แต่สำหรับตัวเราเองและเพื่อนสนิท เราคิดว่าเราปกติดี
เราไม่ได้เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เราแค่เป็นคนคิดซับซ้อน ซึ่งจะมีแค่ไม่กี่คนที่เข้าใจในความคิดเรา
แต่ทุกครั้งที่มีคนเข้าใจ เราจะรู้สึกดีมาก แค่อย่างน้อยพยายามที่จะเข้าใจเราก็รู้สึกดีมากแล้ว
ถ้าคุณคิดว่าจากคำพูดเรา อาจจะทำให้คนที่เครียด ยิ่งเครียดขึ้นไปอีก รออีกสักนิด ทนอ่านต่อก่อน
เราแค่กำลังจะหาความเหมือนหรือต่างในตัวคุณกับเรา เหมือนหลักการที่หมอดูใช้
ทำให้เรารู้สึกสนิทกันมากขึ้น กล้าพูดความลับ ความรู้สึกของตัวเอง
เราต้องถามก่อนว่า ทำไมคุณถึงอยากฆ่าตัวตาย?
เพราะว่าคุณคิดว่าการตาย ดีกว่าการอยู่ใช่มั้ย ถ้าคุณตายจะมีประโยชน์มากกว่าอยู่แน่ๆ
ถ้าคุณตอบแบบนี้ เราไม่ได้บอกว่ามันเป็นความคิดที่ผิด
เพียงแต่ คุณยังไม่ได้คิดให้หมดเท่านั้น
คุณรู้รึเปล่า ว่าการที่คุณอยู่ มันจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่าคุณตายอีกเยอะเลย
มาฟังเรื่องของเราบ้างนะ
เราเคยฆ่าตัวตายตอนอายุ 15 อยู่ ม.3 ตอนนั้นเครียดเรื่องเรียนต่อ และเรื่องที่บ้าน
เราทำโดยการกินยาโรคไมเกรนไปเกินขนาด แต่โชคยังดีที่เรารอด รอดแบบที่กูจะไม่ทำอีกแล้วในชีวิตนี้
คือตอนที่เรากินเข้าไปเนี่ย เราศึกษาข้อมูลยามาประมาณนึง ว่ากินเข้าไปแล้วมันจะมีอาการยังไง
แต่ที่เราไม่รู้คือ มันจะทำให้ทรมานกว่าตายขนาดนี้
เราคิดว่ามันช่วยแค่ให้เรานอนหลับ แต่ไม่ใช่ มันทำให้เราง่วง แต่เรานอนไม่ได้
มันไม่เหมือนกับการที่คุณกินยาล้างห้องน้ำ หรือยาฆ่าหญ้า มันทรมานคนละแบบ
เรากินเข้าไปสักประมาณ 2 ทุ่ม เริ่มง่วง หลับไปจนถึงสี่ทุ่ม เราสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกเต็มตัว
หายใจไม่ทัน หัวใจเต้นแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนวิ่งรอบสนามแล้วเหนื่อยจะเป็นลมแล้วแต่ก็ยังต้องวิ่งต่อ
ภาวนาให้ตัวเองอยู่จนถึงเช้า ร้องไห้ไม่ออก กลัวเหนื่อยกว่าเดิม สมองก็ง่วงมาก แต่หัวใจก็เต้นรัวไม่หยุด
จนตีห้าน็อค หลับแบบไม่รู้เรื่องจนถึงเก้าโมงเช้า เพื่อนมาปลุกไปโรงพยาบาล ก่อนไปก็อ้วกหลายรอบ
พอไปถึง ก็โดนจับฉีดยา ไม่ได้ล้างท้อง เพราะอะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่รู้แค่ว่า มันทรมานมาก มากซะจนใจนึงก็คิดว่าตายเถอะ
อีกใจคิดว่ากูต้องรอด ขอให้รอดเถอะ คิดถึงแต่หน้าพ่อหน้าแม่ ถ้ารอดไปแล้ว สัญญากับตัวเองเลยว่า
จะไม่ทำร้ายตัวเองอีกแล้วตลอดชีวิตนี้ ก่อนหน้านี้เราก็เคยกรีดแขน เพราะจะทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากแฟน
สรุปเป็นไง ผลคือมันก็ไม่สนใจอยู่ดี
หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตปกติดี ไม่มีแฟน ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่สิ้นคิดเอง และพ่อแม่ไม่เคยรู้ค่ะ
จนตอนนี้ อายุ 20 เราดรอปเรียน เพราะเรามีปัญหากับตัวเอง
เราเขียนอธิบายปัญหาของตัวเองได้ไม่หมดหรอกนะ แต่รวมๆคือ เข้าข่ายโรคซึมเศร้า
ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยคิดว่าตัวเองเป็นไบโพล่าร์ เรากลับมาจากต่างประเทศ เราร้องไห้ ตั้งแต่เครื่องบินออกจากประเทศนั้น
มาจนถึงไทย ความรู้สึกคือ homesick แบบมากๆ แบบที่จะไม่มีโอกาสกลับไปอีกแล้ว ก่อนกลับเราคิดแพลนไว้หลายอย่างมาก
ว่าระหว่างที่กลับมาไทยจะทำอะไร แต่พอกลับมาถึงจริงๆเราก็ไม่มีอารมณ์ทำอะไร ไม่อยากไปเรียน ไม่อยากเจอคนอื่น
ทุกวันนี้เจอแค่หน้าพ่อแม่ ไม่อยากกินข้าว ไม่อยากไปไหน เราก็ทะเลาะกับพ่อเรื่องดรอปเรียนรุนแรงมาก
และนั่นเป็นอีกครั้งที่เราคิดอยากฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็หนีออกจากบ้าน เราร้องไห้หนักมากอยู่สองวัน
เราบอกแฟนเราว่าอยากตาย เค้าก็ด่ามาตามปกติ เราบอกเพื่อนสนิทเราว่าเราอยากตาย เค้าก็นิ่ง ฟัง ไม่พูดอะไร
ให้เราเล่าเท่าที่เราอยากเล่า และพูดกับเราตบท้ายว่า กูห่วง
คุณเคยดูคลิปเกี่ยวกับแคมเปญ การเป็นผู้ฟังที่ดีมั้ยคะ นั่นแหละ เพื่อนเราเป็นแบบนั้น
เป็นตั้งแต่เริ่มคบกัน จนทุกวันนี้ และมีแค่คนเดียวด้วยที่เป็นแบบนี้ (เรารู้สึกโคตรโชคดีเลย)
เราก็คิดอยากหนีปัญหา หนีไปไหนก็ได้ เรามีเงินเก็บติดตัว ว่าจะหนีไปอยู่ที่อื่นสักพัก
คิดแผนไว้แล้วว่าเนี่ยเดี๋ยวเช้า เก็บเสื้อผ้าให้เพื่อนไปส่งขึ้นรถ ไปต่างจังหวัดเลย
แต่เมื่อมองดูคนรอบข้าง กำลังทำงานเพื่อเรา กำลังทำทุกอย่างเพื่อเรา เราพูดกับตัวเองว่าเราทิ้งเค้าไม่ได้
เค้าหามาทั้งหมดเนี่ย ให้
จนวันนึง เราเลิกกับแฟน เพราะเราคิดว่าความสุขของเค้ามันไม่ใช่เราอีกต่อไปแล้ว
เค้าควรจะได้เจอคนที่ดีและมีอนาคตกว่านี้ อาทิตย์แรกที่เลิก เราอยู่ได้ เราตัดขาดหมดทุกอย่าง
ลบรูป เบอร์โทร แอพไลน์ facebook ทวิต ไอจี ลบหมดทุกโซเชียล เพื่อที่จะรักษาความรู้สึกตัวเองเอาไว้ คิดว่าต้องอยู่ให้ได้
เราคิดว่าการไม่เห็นมันจะเป็นวิธีที่ดี แต่ไม่เลย ก่อนนอนทุกวัน เราคิดถึงภาพที่เคยมีเค้า
ตอนหลับก็ฝันทุกคืน เราถามเพื่อนอีกคนว่าตอนที่มันเลิกกับแฟนเป็นไงมั่ง มันบอกเราว่าร้องไห้ทุกวันเกือบสองเดือน
เราก็คิดว่า เออเอาวะ กูก็คนปกติ อาจจะหายช้าหน่อย ร้องนานหน่อย คงไม่เป็นไรมั้ง แล้วเวลาผ่านไป มันไม่หาย
ไม่เหมือนแบบที่คิด แย่ลงๆทุกวัน จากความรู้สึกที่คิดว่าตัด มันกลับกลายเป็นว่าเราขุดหลุมฝังมันไว้
แล้วต้นไม้มันเริ่มงอก เริ่มโผล่มาให้เราเห็นแล้ว เรายอมรับกับตัวเองว่าเราคิดถึง และไม่อยากเสียเค้าไป
ปกติเราเป็นคนเข้มแข็ง เหมือนจะไม่มีความรู้สึกด้วยซ้ำ อะไรที่ทำให้ตัวเองมีความสุขก็ทำ อะไรที่คิดแล้วสบายใจก็คิด
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ทุกอย่างมันแย่ไปหมด เริ่มเข้าใกล้คำว่า ไม่ไหวแล้ว
เราตัดสินใจถามแม่ว่า ถ้าหนูตาย แม่จะได้อะไร แม่จะเป็นยังไง แค่นั้นแหละ
เรารู้สึกว่า "กูไม่อยากฆ่าแม่ตัวเองทางอ้อม" เราไม่อยากทำให้เค้าเสียใจ เค้ารักเรามากกว่าชีวิตตัวเองอีกนะ
แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องตาย อยู่สิ
ตั้งแต่วันที่กลับจากต่างประเทศ เราร้องไห้ทุกวันจนถึงวันนี้ แต่เราพูดกับตัวเองเสมอว่า
อยากไปไหน ไปเลย อยากกินอะไรกิน อยากทำอะไรทำ
ขออย่างเดียว ขอแค่อย่าตาย ทุกวันนี้ เราถึงยังมีชีวิตอยู่
ถึงชีวิตจะไม่สู้ดีนัก แต่รู้มั้ยการที่คุณเคยเกือบตาย จะทำให้รู้ว่าชีวิตตัวเองมีค่ามากแค่ไหน
ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่เกลียดการตื่นเช้า เกลียดพระอาทิตย์ เกลียดการที่มีคนมาปลุกเวลานอน
แต่การที่เพื่อนเรามาปลุกให้ไปโรงพยาบาลในวันนั้น ได้เห็นแสงอาทิตย์
มันทำให้รู้ว่าเราควรจะขอบคุณตัวเองมากแค่ไหน ที่ได้ให้โอกาสตัวเองในการมีชีวิตอยู่ในทุกวันนี้
สำหรับคนที่คุณรัก พูดไปเถอะ อะไรที่มันดีต่อเค้าและคุณ พูดไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย
ถึงเค้าจะไม่ได้คิดในแง่มุมเดียวกับคุณแต่อย่างน้อย คุณก็ได้ทำในสิ่งที่ดีให้กับคนที่คุณรัก
วัฒนธรรมไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบพูด ไม่ชอบแสดงความรักด้วยการพูด หรือทำเซอร์ไพรส์ให้กับคนในครอบครัว หรือญาติพี่น้อง
แต่ คุณก็มีวิธีแสดงออกความรักในรูปแบบของคุณ การทำงานบ้านให้ การทำกับข้าวให้ การดูแล อะไรเหล่านี้ที่คุณทำให้ได้
แต่อย่าลืมว่าการพูดและการกอด ง่ายที่สุด
เราเป็นคนนึงที่ไม่ค่อยบอกรักพ่อแม่ตัวเอง ปากแข็ง ปากหมาด้วยซ้ำ 55
แต่การที่เราอยู่ไกลบ้านมาโดยตลอด มันทำให้เรารู้ว่า การมีคนในครอบครัวมันสำคัญแค่ไหน
เราเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะได้รู้ได้ลองด้วยตัวเอง
ถ้าคุณเป็นคนแบบเรา เชื่อเถอะ ไม่ต้องลองตายนะ มันไม่สนุกหรอก ให้เราลองก็พอแล้ว
เราได้ลองและเล่าให้คุณฟัง นี่เป็นวิธีแสดงออกในรูปแบบหนึ่งของเรา
เรายอมเล่าในสิ่งที่เล่าให้แค่เพื่อนสนิทฟังเท่านั้น แต่เราเล่าให้คุณฟัง เพราะเรารักและเป็นห่วงคุณ
เราเคยอ่านเจอบทความที่บอกว่า วันที่ร่าเริงที่สุด คือวันที่คนเศร้าพร้อมจะฆ่าตัวตาย
เพราะเค้าจะได้ทำในสิ่งที่พวกเค้าอยากทำแล้ว อย่าปล่อยให้คนที่คุณรักทำแบบนั้น
คุณควรเป็นผู้ฟังที่ดี เหมือนในคลิป (เราจำชื่อไม่ได้)
คุณควรพูดในแง่บวก ไม่ใช่คอยแต่จับผิดสิ่งที่เค้าเล่า เค้าอยากเล่าให้คุณฟังเพราะอยากมีคนฟัง ไม่ใช่อยากมีคนด่า
คุณควรรู้สึกขอบคุณลูกคุณ ที่แม้ว่าเค้าจะผิดพลาดกี่ครั้งก็ตาม แต่เค้ายังเลือกที่จะไม่ตาย และยังอยู่กับคุณตรงนี้
เชื่อเถอะว่าถ้าเค้าจากไปจริงๆ ความผิดไม่กี่อย่างที่เค้าทำคุณจะลืมมันไปและอภัยหมด อย่ารอจนถึงวันนั้น
แม้แต่คนชั่ว ก็ไม่สมควรตาย เพราะเค้าก็มีคนที่รักเค้าเหมือนกัน
*ยกเว้นคนชั่วประเภททำผิดกฏหมาย ฆ่าข่มขืนอะไรแบบนี้
เราปล่อยไปตามหน้าที่ของกฏหมาย แต่เห็นสมควรว่ามันไม่ควรอยู่ - - ขอโทษที่นอกเรื่อง
เอาเป็นว่า รอบตัวเรามีคนอยากฆ่า และคิดฆ่าตัวตายเยอะ มีทั้งคนที่เคยเห็นศพลูกตัวเองที่ฆ่าตัวตาย
มีทั้งเพิ่งพยายามฆ่าตัวตายไปหมาดๆ เราอยากฝากถึงคนพวกนี้ว่าเราเป็นห่วงคุณนะ มีอะไร คุยกับเราก่อนเถอะ
ถึงแม้เราจะไม่ค่อยได้เล่นพันทิป แต่หลังไมค์มาหาเราได้ เราจะช่วยเท่าที่ช่วยได้
เรื่องเรามีเยอะมากที่จะเล่าถ้าคุณอยากฟัง แต่ขอให้คุณเปิดใจรับเราเข้าไปอยู่ในความไว้ใจของคุณเถอะ
ขอบคุณที่อ่านนะคะ ตั้งใจเขียนอยู่เหมือนกัน เราถือว่าวิธีการนี้คือการทำบุญของเรา บำบัดตัวเองและคนอื่น
ขอให้คุณพบเจอแต่สิ่งดีๆต่อไปนะ ขอบคุณที่อ่านค่ะ
ปล.เราเคยอ่านเจอว่าอาการที่เราเป็นในช่วงแรกๆหลังจากกลับมาจากต่างประเทศ เรียกว่า Reverse culture shock หรือเกิดอาการ culture shock ในบ้านเกิดตัวเอง อาการนี้คือเหมือนกับคุณเริ่มใช้ชีวิตไม่เป็น และรู้สึกไม่ปลอดภัยในที่ๆตัวเองคุ้นชิน คนที่ไปอยู่เมืองนอกนานหลายปีอาจจะเป็น แต่เราไปแค่แป๊บเดียว แต่อาจจะเป็นเพราะที่นู่นมีอะไรที่เราขาด เราเลยคุ้นชินและจำความรู้สึกที่นู่นได้มากกว่า
ปล.2 เราเคยคิดว่าตัวเองเป็น bipolar เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว และคิดว่าตอนนี้เป็นโรคซึมเศร้า อยากไปหาจิตแพทย์แต่ไม่มีความรู้ทางนี้ บวกกับความกลัวไม่อยากกินยา ใครพอจะมีความรู้ทางนี้รบกวนชี้แนะหน่อยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ปล.3 ไม่รู้จะตั้งชื่อกระทู้อะไรดี และไม่รู้จะแท็กห้องไหนดี ถ้ามันไม่เหมาะสมแนะนำได้ค่ะ
ปล.4 ขอบคุณป๊ากับแม่ที่ดูแลลูกคนนี้มาอย่างดี ขอบคุณคนที่นู่นที่ได้ให้ความอบอุ่นเหมือนคนในครอบครัว ขอบคุณแฟนที่ดีมาโดยตลอดแม้จะเลิกกันแล้ว ขอบคุณเพื่อนที่อยู่ข้างกู