สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
สมัยก่อนทำงานบริษัทเงินเดือน+คอมฯ ปีละล้านกว่า ทำงานมา 8 ปีมีเงินเก็บในรูปออมทรัพย์แค่ 3-5 แสนเองค่ะไม่เคยเกินนี้.. หมดไปกับกินเที่ยวหรูทุกมื้อ แบรนด์เนม ของเล่นไฮเทคทั้งหลายแหล่ มีลงทุนแค่นิดหน่อยในกองทุนตามธรรมเนียมไว้หักภาษี
พออายุ 30 ไม่สบายหนักต้องเข้ารพ. ลาออกจากงานมารักษาตัว เงินเก็บที่มีไม่เหลือเลยแถมไม่พออีกต่างหากต้องขอยืมแม่.. หลังจากนั้นเพิ่งคิดได้ เริ่มคิดถึงเงินก้อนเผื่อเกษียณและสำรองเงินออมเผื่อฉุกเฉินให้มากขึ้น เพราะอะไรๆ ก็ไม่แน่นอนในชีวิต.. เดี๋ยวนี้จะกินร้านในห้างซักมื้อยังคิดก่อนเลย
**เพิ่มเติมค่ะ แอบไปเห็นคอมเม้นท์ในเพจกระทู้เด็ดพันทิปออกไปในแนวไม่เชื่อ (ไม่รู้ไม่เชื่อเรื่องรายได้หรือไม่เชื่อเรื่องทำอีท่าไหนให้มันหมดได้ขนาดนั้น ^^") ขอเอาทวิ 50 สมัยทำงานมาแปะให้ดูค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ไม่ได้มีเจตนาโอ้อวดรายได้ เพราะในสายงานที่เราเคยอยู่ตำแหน่งประมาณนี้ อายุประมาณนี้ รายได้เท่านี้ถือว่ากลางๆ ไม่ได้มากมายอะไร รุ่นเดียวกันได้มากกว่าเราก็มี.. อีกอย่างเพราะเราก็เป็นแค่สมาชิกหมายเลข ไม่ได้มีตัวตนในบอร์ดพันทิปอยู่แล้วไม่รู้จะอวดทำไม
ส่วนเรื่องที่สามารถกินเที่ยวได้จนเงินหมด.. เงินเดือนละแสนมันตกวันละ 3000 เองนะ กับชีวิตในเมืองกรุงกินเที่ยวในห้างตลอดมันไม่ได้ยากเลยนะคะที่จะใช้จนหมดได้
แค่อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์กับหลายๆ คนที่ใช้ชีวิตประมาทแบบที่เราเคยเป็น.. หวังว่าคงไม่มีใครต้องพบเจอประสบการณ์โชคร้ายแบบเราค่ะ
พออายุ 30 ไม่สบายหนักต้องเข้ารพ. ลาออกจากงานมารักษาตัว เงินเก็บที่มีไม่เหลือเลยแถมไม่พออีกต่างหากต้องขอยืมแม่.. หลังจากนั้นเพิ่งคิดได้ เริ่มคิดถึงเงินก้อนเผื่อเกษียณและสำรองเงินออมเผื่อฉุกเฉินให้มากขึ้น เพราะอะไรๆ ก็ไม่แน่นอนในชีวิต.. เดี๋ยวนี้จะกินร้านในห้างซักมื้อยังคิดก่อนเลย
**เพิ่มเติมค่ะ แอบไปเห็นคอมเม้นท์ในเพจกระทู้เด็ดพันทิปออกไปในแนวไม่เชื่อ (ไม่รู้ไม่เชื่อเรื่องรายได้หรือไม่เชื่อเรื่องทำอีท่าไหนให้มันหมดได้ขนาดนั้น ^^") ขอเอาทวิ 50 สมัยทำงานมาแปะให้ดูค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ไม่ได้มีเจตนาโอ้อวดรายได้ เพราะในสายงานที่เราเคยอยู่ตำแหน่งประมาณนี้ อายุประมาณนี้ รายได้เท่านี้ถือว่ากลางๆ ไม่ได้มากมายอะไร รุ่นเดียวกันได้มากกว่าเราก็มี.. อีกอย่างเพราะเราก็เป็นแค่สมาชิกหมายเลข ไม่ได้มีตัวตนในบอร์ดพันทิปอยู่แล้วไม่รู้จะอวดทำไม
ส่วนเรื่องที่สามารถกินเที่ยวได้จนเงินหมด.. เงินเดือนละแสนมันตกวันละ 3000 เองนะ กับชีวิตในเมืองกรุงกินเที่ยวในห้างตลอดมันไม่ได้ยากเลยนะคะที่จะใช้จนหมดได้
แค่อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์กับหลายๆ คนที่ใช้ชีวิตประมาทแบบที่เราเคยเป็น.. หวังว่าคงไม่มีใครต้องพบเจอประสบการณ์โชคร้ายแบบเราค่ะ
ความคิดเห็นที่ 34
ขออนุญาตเล่าเรื่องของท่านแม่ให้ฟัง
แม่เข้ามาเรียนพาณิชในกรุง แล้วก็ทำงานเกี่ยวกะบัญชีนี่แหละ แล้วก็ขยับขยายทำงานไปลงเรียน ม.กรุงเทพไป ตอนแม่รับปริญญาเราก็ 6 ขวบแล้ว จำได้ราวๆ นั้น
แม่เลี้ยงเราคนเดียวเพราะหย่ากะพ่อตั้งแต่เราขวบเดียว ก็เป็นซิงเกิ้ลมัม ทำงานเก็บเงิน เลี้ยงลูก ตัวคนเดียว ส่งเงินกลับบ้านนอกให้ยายให้ตาด้วย
อาจจะโชคดีหน่อยที่เรากับแม่ไม่เคยต้อง "เช่าบ้าน" อยู่ ตอนเด็กๆ อยู่บ้านญาติ ป้าเค้าไปเมืองนอก ให้แม่เราดูแลลูกเค้าสองคน (แต่อายุจะใกล้ๆกะแม่เราเลยห่างกันไม่ถึงสิบปี) ก็เท่ากะเราอยู่กับลูกพี่ลูกน้อง มีคนช่วยดูเรานั่นแหละ แต่พอพี่เราเรียนมหาลัย แต่งงาน อะไรแบบนี้ เราก็ไม่มีใครนะ จำได้ว่าตอน ป.4 เราก็เดินกลับจากโรงเรียนจำนงตรงประชาสงเคราะห์กลับซอยแม่เนี้ยวตรงแถวๆแฟลตดินแดงเองแล้ว คืออยู่คนเดียวตลอด รอแม่กลับบ้านทุ่มสองทุ่มกินข้าวกันสองคนแม่ลูก ตอนนั้นแม่เราน่าจะ30กว่าๆ เราก็ไม่ถึงสิบขวบ
เรากับแม่อยู่กันง่ายๆ ขึ้นรถเมลล์งี้ กินง่ายๆ แต่เราจะไม่ค่อยมีของเล่น ไม่มีเกม ไม่เคยมีบาร์บี้ ส่วนใหญ่เรารื้อหนังสือในบ้านมาอ่านไม่ก็ดูทีวีอยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ออกไปเล่นกะเพื่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าอัตคัดนะ ตอนประถมเราได้เรียนโรงเรียนเอกชนไม่ได้ขี้เหร่ ตอนอนุบาลนั่งรถตู้กลับบ้านด้วย อยากได้อะไรก็เก็บเงินจากค่าขนมเอง เราก็เรียบง่ายแบบนั้นมาจนเรียนมหาลัยเลยอ่ะ ตอนมัธยมได้พีซีทีตอนมหาลัยก็เริ่มมีมือถือกะเค้า แต่ก็นั่งรถเมลล์กลับบ้าน ไม่ได้วัตถุนิยมมากจนต้องแบรนด์เนมหรือกินห้างตลอดเวลา เราไม่เที่ยวด้วยไม่ใช้เงินกับเรื่องอบายมุขเพราะจำขึ้นใจว่าพ่อเมาแล้วอาละวาดทำร้ายร่างกายแม่นี่แหละเลยต้องเลิกกัน
พ่อแม่ทุกวันนี้เลี้ยงลูกเป็นเทวดา ค่าใช้จ่ายมันก็เพิ่มขึ้นเยอะแหละ มันปรุงแต่งรสนิยมและทัศนคติของลูกให้จมไม่ลงรักสบายนะ การทำตัวของพ่อแม่มีผลจริงๆ เราเห็นแม่เราลำบาก ใช้ชีวิตพอดีไม่ฟุ้งเฟ้อ เราก็ซึมซับนะ ไม่รู้สึกอะไรที่ไม่เคยไปเที่ยวเมืองนอก ยิ่งยุคนี้ค่าตั๋วยิ่งถูก เงินก็มีแล้ว แต่เราก็ถามตัวเองว่า "อยากไปเหรอ? ไปทำไม หรืออยากไปเพราะ ใครๆ ก็ไปกัน ไปตอนนี้คุ้มนะ ต้องรีบไปเดี๋ยวเสียสิทธิ์" เราก็ไม่ไป กอดเงินไว้ละนอนอยู่บ้าน เพราะเราถูกแม่เลี้ยงมาแบบนั้น เลยสบายๆ กับการกินอยู่ อะไรที่ควรซื้อก็ซื้อเมื่อถึงเวลาไม่ใช่ตระหนี่จนเกินไป
ผ่านไป 20 ปี ตอนนี้แม่เรามีบ้าน มีรถ และที่สำคัญที่เราสบายใจมากคือ แม่เราไม่มีหนี้ แต่ถามว่ามีเงินเก็บเท่าไหร่ แม่บอกมีไม่เยอะหรอก อาจจะนับเป็นเงินสดล้านเดียวก็ได้ แต่แม่เราประหยัด เรารู้ว่าแม่เราจะลงทุนและบริหารเงินนั้นได้สบายๆ
เราก็ถามแม่นะว่า แม่เก็บเงินซื้อบ้านยังไง แม่บอกว่า ตอนนั้นบริษัทเค้ามีเปิดให้จองที่ แม่ก็เลยลงชื่อจองมาแปลงนึง กรุงเทพตะวันออก ชายขอบซะ! ตอนนั้นที่ราคาแค่สองแสน แม่เงินเดือนสามสี่พัน แม่ก็เก็บเงินผ่อนไปเรื่อยๆ เลี้ยงเราไปด้วย ต่อมาพอเริ่มมีตังค์ก็กู้ธนาคารอาคารสงเคราะห์มาปลูกบ้าน แม่กู้มาแค่สี่ห้าแสน ก็ผ่อนไม่มาก แม่บอกว่าถ้ามีโบนัสหรือเงินเหลือแม่ก็โปะโลดเพื่อลดต้น แม่ขยันไม่ฟุ่มเฟือยเก็บตังค์ลงทุนเรื่องที่อยู่อาศัยก่อนเลย พออยู่ตัวละสบโอกาสมาร์ชเปิดตัวราคาไม่กี่แสนบ้านเราค่อยมีรถ แม่ผ่อนสามปีก็หมด รู้ตัวอีกทีรถคันนี้ใช้มาห้าปีแล้ว แม้มูลค่ามันจะลดลงแต่มันคือทรัพย์ ไม่ใช่หนี้ ส่วนบ้านและที่ดินมูลค่าก็เพิ่มขึ้นทุกวันๆ เพราะปีที่น้ำท่วมเอาไม่อยู่กัน ฝั่งบ้านเราก็ไม่ท่วม แถมยังมีแอร์พอร์ตลิงค์ลงหลังบ้านเลยสบ๊ายสบาย ซึ่งทุกวันนี้เรากะแม่ก็ยังนั่งรถสารธารณะกันอยู่ เวลาไปไหนที่มันเอารถไปไม่ได้ก็นั่งรถเมลล์กันได้ ยิ่งไปทำงานนะแม่เราไม่ดันทุรังเอารถไปเข้าเมือง ก็นั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างอ่ะแหละ ยังใช้ชีวิตเหมือนสมัยที่ยังไม่มีทั้งบ้านทั้งรถ
แม่เคยพูดให้ฟังเรื่องคนรู้จัก กู้เงินซื้อบ้านเจ็ดแสนตอนแต่งงาน จนลูกโตสิบขวบละ แต่เงินต้นไม่ลดลงเลย นี่เค้าก็จะขายบ้านย้ายไปต่างจังหวัด ขายล้านกว่า คงกะเอาเงินไปโปะหนี้ แต่ประเด็นคือมันจะขายได้เมื่อไหร่นี่สิ ของในมือไม่ใช่ทรัพย์ด้วยแต่เป็นหนี้ที่ดอกเพิ่มทุกวันๆ
ส่วนเรา มีอยู่สามแสน ถามแม่ว่าจะลงทุนอะไรดี? หนูลงทุนไม่เก่ง กลัวเจ๊ง แม่บอกว่า "กอดเงินไว้เฉยๆ เถอะลูก ตอนนี้อย่าพึ่งทำอะไร" ลืมบอกไปว่าแม่เราอยู่บริษัทโบรกเกอร์อ่ะ แม่ว่ามางั้น เราเลยทำของขายในเน็ทหารายได้เล็กๆ น้อยๆ ไปเรื่อยๆ ละใช้ให้น้อยแทน ถ้าเราจะลงทุนอะไรใหญ่ๆซักก้อน เราจะตั้งเป้าก่อนว่าจะเก็บเงินให้ได้เท่านั้น แล้วค่อยเก็บเงินให้ได้ค่าลงทุนก่อนจะลงมือทำจริงๆ อย่างน้อยๆ เงินเก็บที่มีจะได้ไม่หาย ยังมีเงินก้อนอยู่ในธนาคาร ได้กำไรน้อย แต่ไม่ขาดทุนนี่ก็ดีมากๆ แล้ว มันอาจจะไม่รวยมาก ไม่เงินสะพัด มีพอร์ตดูดี โปรไฟล์เริ่ด แต่สิ่งที่เป็นความจริงคือมันคือทรัพย์จริงๆ ไม่ใช่แค่เครดิตหรือหนี้ที่ต้องบริหาร
แม่บอกเราเสมอว่า "ถ้าเราหาได้น้อย ก็ใช้ให้น้อย ใช้ให้พอเท่าที่หาได้" ส่วนใครที่ "หาเก่ง" จะขวนขวายหาเยอะๆ ก็เป็นเรื่องของเค้า แต่เงินต่อเงินหมุนไปเรื่อย พักไม่ได้ พักแล้วเงินจะกลายเป็นหนี้ เหนื่อยแบบนั้นเราสู้ไม่ไหวอ่ะ ขอกอดเงินจริงๆ ไว้กับตัวดีกว่า แม้จะรู้ว่าสองแสนนี่มันใช้อะไรไม่ได้ในยุคนี้ก็ตาม แต่มันพอค่าทำศพ และที่สำคัญเรามีที่ซุกหัวนอนที่เป็นชื่อตัวเองแล้ว เราไม่ต้องมีภาระผ่อนอะไร ไม่มีลูกไม่มีผัว ตายก็ตาย จะตายโรคตายอุบัติเหตุมันก็ตายเหมือนกัน ตายอุบัติเหตุได้ประกันให้แม่ด้วย แม่เราก็สบายไป
แม่เข้ามาเรียนพาณิชในกรุง แล้วก็ทำงานเกี่ยวกะบัญชีนี่แหละ แล้วก็ขยับขยายทำงานไปลงเรียน ม.กรุงเทพไป ตอนแม่รับปริญญาเราก็ 6 ขวบแล้ว จำได้ราวๆ นั้น
แม่เลี้ยงเราคนเดียวเพราะหย่ากะพ่อตั้งแต่เราขวบเดียว ก็เป็นซิงเกิ้ลมัม ทำงานเก็บเงิน เลี้ยงลูก ตัวคนเดียว ส่งเงินกลับบ้านนอกให้ยายให้ตาด้วย
อาจจะโชคดีหน่อยที่เรากับแม่ไม่เคยต้อง "เช่าบ้าน" อยู่ ตอนเด็กๆ อยู่บ้านญาติ ป้าเค้าไปเมืองนอก ให้แม่เราดูแลลูกเค้าสองคน (แต่อายุจะใกล้ๆกะแม่เราเลยห่างกันไม่ถึงสิบปี) ก็เท่ากะเราอยู่กับลูกพี่ลูกน้อง มีคนช่วยดูเรานั่นแหละ แต่พอพี่เราเรียนมหาลัย แต่งงาน อะไรแบบนี้ เราก็ไม่มีใครนะ จำได้ว่าตอน ป.4 เราก็เดินกลับจากโรงเรียนจำนงตรงประชาสงเคราะห์กลับซอยแม่เนี้ยวตรงแถวๆแฟลตดินแดงเองแล้ว คืออยู่คนเดียวตลอด รอแม่กลับบ้านทุ่มสองทุ่มกินข้าวกันสองคนแม่ลูก ตอนนั้นแม่เราน่าจะ30กว่าๆ เราก็ไม่ถึงสิบขวบ
เรากับแม่อยู่กันง่ายๆ ขึ้นรถเมลล์งี้ กินง่ายๆ แต่เราจะไม่ค่อยมีของเล่น ไม่มีเกม ไม่เคยมีบาร์บี้ ส่วนใหญ่เรารื้อหนังสือในบ้านมาอ่านไม่ก็ดูทีวีอยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ออกไปเล่นกะเพื่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าอัตคัดนะ ตอนประถมเราได้เรียนโรงเรียนเอกชนไม่ได้ขี้เหร่ ตอนอนุบาลนั่งรถตู้กลับบ้านด้วย อยากได้อะไรก็เก็บเงินจากค่าขนมเอง เราก็เรียบง่ายแบบนั้นมาจนเรียนมหาลัยเลยอ่ะ ตอนมัธยมได้พีซีทีตอนมหาลัยก็เริ่มมีมือถือกะเค้า แต่ก็นั่งรถเมลล์กลับบ้าน ไม่ได้วัตถุนิยมมากจนต้องแบรนด์เนมหรือกินห้างตลอดเวลา เราไม่เที่ยวด้วยไม่ใช้เงินกับเรื่องอบายมุขเพราะจำขึ้นใจว่าพ่อเมาแล้วอาละวาดทำร้ายร่างกายแม่นี่แหละเลยต้องเลิกกัน
พ่อแม่ทุกวันนี้เลี้ยงลูกเป็นเทวดา ค่าใช้จ่ายมันก็เพิ่มขึ้นเยอะแหละ มันปรุงแต่งรสนิยมและทัศนคติของลูกให้จมไม่ลงรักสบายนะ การทำตัวของพ่อแม่มีผลจริงๆ เราเห็นแม่เราลำบาก ใช้ชีวิตพอดีไม่ฟุ้งเฟ้อ เราก็ซึมซับนะ ไม่รู้สึกอะไรที่ไม่เคยไปเที่ยวเมืองนอก ยิ่งยุคนี้ค่าตั๋วยิ่งถูก เงินก็มีแล้ว แต่เราก็ถามตัวเองว่า "อยากไปเหรอ? ไปทำไม หรืออยากไปเพราะ ใครๆ ก็ไปกัน ไปตอนนี้คุ้มนะ ต้องรีบไปเดี๋ยวเสียสิทธิ์" เราก็ไม่ไป กอดเงินไว้ละนอนอยู่บ้าน เพราะเราถูกแม่เลี้ยงมาแบบนั้น เลยสบายๆ กับการกินอยู่ อะไรที่ควรซื้อก็ซื้อเมื่อถึงเวลาไม่ใช่ตระหนี่จนเกินไป
ผ่านไป 20 ปี ตอนนี้แม่เรามีบ้าน มีรถ และที่สำคัญที่เราสบายใจมากคือ แม่เราไม่มีหนี้ แต่ถามว่ามีเงินเก็บเท่าไหร่ แม่บอกมีไม่เยอะหรอก อาจจะนับเป็นเงินสดล้านเดียวก็ได้ แต่แม่เราประหยัด เรารู้ว่าแม่เราจะลงทุนและบริหารเงินนั้นได้สบายๆ
เราก็ถามแม่นะว่า แม่เก็บเงินซื้อบ้านยังไง แม่บอกว่า ตอนนั้นบริษัทเค้ามีเปิดให้จองที่ แม่ก็เลยลงชื่อจองมาแปลงนึง กรุงเทพตะวันออก ชายขอบซะ! ตอนนั้นที่ราคาแค่สองแสน แม่เงินเดือนสามสี่พัน แม่ก็เก็บเงินผ่อนไปเรื่อยๆ เลี้ยงเราไปด้วย ต่อมาพอเริ่มมีตังค์ก็กู้ธนาคารอาคารสงเคราะห์มาปลูกบ้าน แม่กู้มาแค่สี่ห้าแสน ก็ผ่อนไม่มาก แม่บอกว่าถ้ามีโบนัสหรือเงินเหลือแม่ก็โปะโลดเพื่อลดต้น แม่ขยันไม่ฟุ่มเฟือยเก็บตังค์ลงทุนเรื่องที่อยู่อาศัยก่อนเลย พออยู่ตัวละสบโอกาสมาร์ชเปิดตัวราคาไม่กี่แสนบ้านเราค่อยมีรถ แม่ผ่อนสามปีก็หมด รู้ตัวอีกทีรถคันนี้ใช้มาห้าปีแล้ว แม้มูลค่ามันจะลดลงแต่มันคือทรัพย์ ไม่ใช่หนี้ ส่วนบ้านและที่ดินมูลค่าก็เพิ่มขึ้นทุกวันๆ เพราะปีที่น้ำท่วมเอาไม่อยู่กัน ฝั่งบ้านเราก็ไม่ท่วม แถมยังมีแอร์พอร์ตลิงค์ลงหลังบ้านเลยสบ๊ายสบาย ซึ่งทุกวันนี้เรากะแม่ก็ยังนั่งรถสารธารณะกันอยู่ เวลาไปไหนที่มันเอารถไปไม่ได้ก็นั่งรถเมลล์กันได้ ยิ่งไปทำงานนะแม่เราไม่ดันทุรังเอารถไปเข้าเมือง ก็นั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างอ่ะแหละ ยังใช้ชีวิตเหมือนสมัยที่ยังไม่มีทั้งบ้านทั้งรถ
แม่เคยพูดให้ฟังเรื่องคนรู้จัก กู้เงินซื้อบ้านเจ็ดแสนตอนแต่งงาน จนลูกโตสิบขวบละ แต่เงินต้นไม่ลดลงเลย นี่เค้าก็จะขายบ้านย้ายไปต่างจังหวัด ขายล้านกว่า คงกะเอาเงินไปโปะหนี้ แต่ประเด็นคือมันจะขายได้เมื่อไหร่นี่สิ ของในมือไม่ใช่ทรัพย์ด้วยแต่เป็นหนี้ที่ดอกเพิ่มทุกวันๆ
ส่วนเรา มีอยู่สามแสน ถามแม่ว่าจะลงทุนอะไรดี? หนูลงทุนไม่เก่ง กลัวเจ๊ง แม่บอกว่า "กอดเงินไว้เฉยๆ เถอะลูก ตอนนี้อย่าพึ่งทำอะไร" ลืมบอกไปว่าแม่เราอยู่บริษัทโบรกเกอร์อ่ะ แม่ว่ามางั้น เราเลยทำของขายในเน็ทหารายได้เล็กๆ น้อยๆ ไปเรื่อยๆ ละใช้ให้น้อยแทน ถ้าเราจะลงทุนอะไรใหญ่ๆซักก้อน เราจะตั้งเป้าก่อนว่าจะเก็บเงินให้ได้เท่านั้น แล้วค่อยเก็บเงินให้ได้ค่าลงทุนก่อนจะลงมือทำจริงๆ อย่างน้อยๆ เงินเก็บที่มีจะได้ไม่หาย ยังมีเงินก้อนอยู่ในธนาคาร ได้กำไรน้อย แต่ไม่ขาดทุนนี่ก็ดีมากๆ แล้ว มันอาจจะไม่รวยมาก ไม่เงินสะพัด มีพอร์ตดูดี โปรไฟล์เริ่ด แต่สิ่งที่เป็นความจริงคือมันคือทรัพย์จริงๆ ไม่ใช่แค่เครดิตหรือหนี้ที่ต้องบริหาร
แม่บอกเราเสมอว่า "ถ้าเราหาได้น้อย ก็ใช้ให้น้อย ใช้ให้พอเท่าที่หาได้" ส่วนใครที่ "หาเก่ง" จะขวนขวายหาเยอะๆ ก็เป็นเรื่องของเค้า แต่เงินต่อเงินหมุนไปเรื่อย พักไม่ได้ พักแล้วเงินจะกลายเป็นหนี้ เหนื่อยแบบนั้นเราสู้ไม่ไหวอ่ะ ขอกอดเงินจริงๆ ไว้กับตัวดีกว่า แม้จะรู้ว่าสองแสนนี่มันใช้อะไรไม่ได้ในยุคนี้ก็ตาม แต่มันพอค่าทำศพ และที่สำคัญเรามีที่ซุกหัวนอนที่เป็นชื่อตัวเองแล้ว เราไม่ต้องมีภาระผ่อนอะไร ไม่มีลูกไม่มีผัว ตายก็ตาย จะตายโรคตายอุบัติเหตุมันก็ตายเหมือนกัน ตายอุบัติเหตุได้ประกันให้แม่ด้วย แม่เราก็สบายไป
แสดงความคิดเห็น
ทำงานมาเกินสิบปี เก็บเงินกันได้บ้างมั้ยคะ
วันนี้มานั่งดูบัญชีตัวเอง เพราะเครียดอยากจะลาออก ก็มีเงินเก็บไม่เท่าไหร่
คิดย้อนหลังไปทำงานหนักกๆ เครียดมากทุ่มเทมานับสิบปี มีเงินเก็บแค่นี้เองหรือ..
เอาแค่ว่าถ้าลาออกมายังไม่มีงานทำกินข้าวแกงธรรมดาในย่านกลางเมืองใหญ่ ไม่ได้กินหรูหรา ก็อยู่ได้ไม่นาน
นี่ขนาดบังคับตัวเองฝากประจำทุกเดือนมา 2 ปีนะคะ
เพื่อนๆออมเงินกันได้เยอะมั้ยคะ มีเคล็ดลับยังไง อันนี้ขอไม่รวมการนำเงินไปลงทุนต่างๆนะคะ พูดถึงแค่เงินออม
เผื่อไว้ยามฉุกเฉินหรือแก่ตัวลง
**********************************************************************
หัวปักอยู่แต่งานยุ่งและเครียดมากน้ำตาตกในไม่มีเวลาอ่าน หลังจากตั้งกระทู้ผ่านไป24 ชั่วโมง โอ๊วววเป็นกระทู้แนะนำไปเรียบร้อย
ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะจะอ่านทุกอัน ให้กำลังใจทุกคนนะคะ ทั้งที่ทำงานอยู่แล้วเครียดมากอย่าเรา หรือคนที่ยังไม่มีงานทำ
หรือกำลังคิดจะลาออก บางทีคนเราก็ไม่ได้เกิดมาเพียงแค่เป็นมนุษย์เงินเดือนเดินตามๆๆคนอื่นเค้าไป จนวันสุดท้ายของชีวิต
ขอให้เป็นชีวิตที่ดี สนุกสนาน และการมีอยู่ของคุณ เป็นประโยชน์แก่โลกและผู้อื่นที่ลำบากกว่านะคะ มีความสุขทุกคนค่าาาาา