สวัสดีครับ ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยวแบบ Backpack ตอนนี้กำลังเรียนต่อโทอยู่เลยพอมีเวลาว่างอยู่บ้าง ได้โอกาสเหมาะก็แบกเป้ออกลุยท่องโลกกว้างอยู่เรื่อยๆ พอได้ไปเที่ยวก็อยากนำประสบการณ์ที่ได้มาแชร์กับเพื่อนๆ
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาผมตัดสินใจเดินทางคนเดียวครั้งแรกในชีวิต ต้นสายปรายเหตุของการเดินทางครั้งนี้มากจาก5วันก่อนออกเดินทาง ผมดันเปิดไปเจอตั๋วโปรโมชั่นของLion air (สิงคโปร์-กรุงเทพดอนเมือง) ราคา1200บาท ผมไม่รอช้ารีบจองทันที วันกลับที่จองคือวันที่ 8 ตุลาคม เลยวางแผนเอาไว้ว่าวันที่ 30 กันยายนออกจากอุบลราชธานีเดินทางไปเรื่อยๆให้ถึงสิงคโปร์ก่อนวันที่ 8 เพื่อขึ้นเครื่องกลับไทย รวมการเดินทางทั้งสิ้น 9 วัน เส้นทางที่ผมวางแผนเอาไว้มีเมืองที่ผมสนใจ3เมืองหลักๆ คือ
-เมืองแห่งสตรีทอาร์ต จอร์จทาวน์ เกาะปีนัง
-เมืองมรดกโลก มะละกา
-เกาะสิงโตปลา สิงคโปร์
ผมวางแผนการเดินทางคร่าวๆดังนี้
เดินทางจากอุบลราชธานี-กทม ด้วยเครื่องบิน Thai Lion air
จากกทม(สถานีรถไฟหัวลำโพง)-สาถานีบัตเตอร์เวิร์ธ ปีนัง มาเลเซีย ด้วยรถไฟขบวนที่35
จากปีนัง-มะละกา เดินทางต่อด้วยรถบัส
จากมะละกา-สิงคโปร์ เดินทางด้วยรถบัส
จากสิงคโปร์-ไทย Thai Lion air
ตั๋วรถไฟจากหัวลำโพงไปบัตเตอร์เวิร์ธ ผมจองผ่านสถานีรถไฟที่อุบล(สามารถจองได้ที่สถานีใกล้บ้านได้เลยนะครับ)
ตั๋วรถบัสจากปีนังไปมะละกา และ จากมะละกาไปสิงคโปร์ ผมไปจองที่ท่ารถบัส.ที่มาเลเซียเอาครับ
ที่พักทั้งทริปผมพักจองผ่านเว็ป Agoda
สำหรับสัมพาระที่ใช้ออกเดินทางทั้งทริป ผมใช้เป้สะพายสองใบ
ใบใหญ่สะพายหลัง ข้างในบรรจุ
-เสื้อยืด 11 ตัว (ชุดเดินทาง+ชุดนอน)
-กกน. 11 ตัว (ผมเผื่อกันเหนียวจะได้ไปต้องกลับเทป^^)
-กางเกง 3 ตัว(กางเกงยีนสำรอง 1 ตัว กางเกงใส่นอนอีก2 ตัว )
-ถุงเท้า 6 คู่ (ใส่ซ้ำบางวัน)
-ชุดยาสามัญและอุปกรณ์ทำแผล 1 ชุดเล็ก
-รองเท้าแตะ 1 คู่
-ทิชชู่เปียก 1 ห่อใหญ่
-สบู่เหลว แปลงสีฟัน ฯลฯ (ของใช้ส่วนตัว)
-หนังสืออ่านฆ่าเวลา 2 เล่ม
-หัวแปลงปลั๊กไฟ ที่สิงคโปร์มาเลเซียใช้ปลั๊กหัวเหลี่ยมสามตา อย่าลืมเด็ดขาดเด็ดขาด
ใบที่สอง สะพายด้านหน้า
-Pentax K1000+Super Takumar 35f2
-Pentax MX+SMC Pentax-M 28f2.8
-Rolleicord VB type II
-Gopro4silver+Battery 3 ก้อน + Memory 32Gb 3 แผ่น
-ขาตั้งกล้อง
-Ipad
-Passport (สำคัญมากห้ามลืม ห้ามหายเด็ดขาด)
เอาล่ะครับ พอตั๋วพร้อม อุปกรณ์พร้อม ออกลุยกันเลย
ปล.ภาพทั้งหมดถ่ายจากกล้องฟิล์มนะครับ มีบางภาพถ่ายจาก Gopro ผมจะวงเล็บต่อท้ายไว้
Day 1 (30 sep 2015) รถไฟขบวนที่ 35
ผมแบกเป้ออกเดินทางจากอุบลราชธานีไปขึ้นเครื่องตอน 7.10 น.ถึง สนามบินดอนเมือง เวลา 8.10 น. ระหว่างนั้นผมได้นัดกับพี่ๆที่เล่นกล้องฟิล์มด้วยกันไปเดินถ่ายรูปเล่นและหาของกินอร่อยๆแถวเยาวราชไปพลางๆ รอเวลาขึ้นรถไฟตอนบ่ายสองสี่สิบ
เวลา14.00ผมก็ไปรอรถไฟที่สถานีหัวลำโพงเวลายังพอมีเหลือผมเลยเข้าร้านค้าเพื่อตุนสะเบียงและน้ำดื่มสำหรับมื้อเย็นและมื้อเช้าการเดินทางยังอีกยาวไกลและอาหารบนรถไฟก็ราคาแพงไม่เหมาะกับนักเดินทางกระเป๋าแฟบอย่างผม
14.40 น.รถไฟขบวน35ก็เคลื่อนขบวนมุ่งลงใต้สู่สถานีบัตเตอร์เวิร์ธประเทศมาเลเซีย
ไปกับเรา ไปกับ รฟท
เพื่อนร่วมทาง
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "พญาอินทรีไม่บินเป็นฝูง นกที่บินเป็นฝูงคือนกกระจอก" ดูท่าผมคงเป็นนกกระจอกที่หลงฝูง (Gopro)
Day 2 (1 oct 2015) สวัสดี เมืองแห่งสตรีททอาร์ต จอร์จทาวน์ เกาะปีนัง
การเดินทางบนรถไฟช้าแต่ได้อารมณ์และบรรยากาศ นั่งๆนอนๆอ่านหนังสือดูวิวข้างทาง เผลอหลับแปปเดียวก็เช้าแล้ว ประมาน10 โมง ของวันที่ 1 ตุลาคม รถไฟมาถึงด่านปานังเบซาร์ จุดผ่านแดนไทย-มาเลเซีย จุดนี้ต้องแบกข้าวของทุกอย่างลงไปปั้มพาสปอร์ตและตรวจของก่อน พอตรวจทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็แบกเป้มาขึ้นรถไฟเหมือนเดิม ใช้เวลาไม่นานมาก ระหว่างที่เราเข้าไปตรวจของหัวจักรถไฟก็ถูกเปลี่ยนจากหัวจักรของไทยเป็นหัวรถจักรของมาเลเซียแทน หัวจักรมาเลดูใหม่กว่าของไทยนิดหน่อย แต่พอออกจากด่านรถไฟของไทยเราเพิ่มความคลาสสิกขึ้นอีก10เท่า เพราะที่มาเลเค้ามีรถไฟแบบหัวกระสุนใช้กันแล้ว เมื่อไหร่ไทยจะมีรถไฟรุ่นใหม่ใช้กับเค้าบ้าง ความคลาสสิกของรถไฟไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก
รถไฟเข้าเทียบสถานีบัตเตอร์เวิร์ธเวลา 13.00 น.สายไป15นาที เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าไทยอยู่ 1ชม. เท่ากับว่าผมใช้เวลาบนรถไฟ21 ชม.กับอีก 15 นาที นั่งกันจนตูดชากันเลยทีเดียว
หัวรถจักรมาเลเซีย
พอลงจากรถไฟผมตรงดิ่งไปที่ท่ารถบัสเป็นอันดับแรก ท่ารถบัสอยู่ติดกับสถานีรถไฟเลย เดินตามป้ายไปเรื่อยๆแปปเดียวก็ถึง ผมจองตั๋วรถจากปีนังไปมะละกา วันที่3 ตุลาคม เวลา 23.15 น.ราคา 48 ริงกิต จากปีนังไปมะละกาใช้เวลาเดินทางประมาน 6 ชม. รถมีหลายรอบต่อวันตั้งแต่เช้ายันดึก ก่อนจองตั๋วคำนวณเวลากันดีๆนะ ที่ออก 5 ทุ่มเพราะกะว่าได้เที่ยวปีนังเต็มวันและไปนอนบนรถเอาเช้าก็ถึงมะละกาพอดีประหยัดค่าที่พักไปอีก1คืน
จองตั๋วเสร็จก็เดินย้อนกลับมาทางสถานีรถไฟแล้วเดินตามป้ายไปเรื่อยๆเหมือนเดิม เพื่อไปขึ้นเรือเฟอร์รี่มุ่งหน้าสู่เมืองจอร์จทาวน์ ราคาค่าขึ้นเรือเฟอรรี่ 1.20 ริงกิต จ่ายรอบเดียวขากลับไม่ต้องเสียตังอีก เรือเฟอรรี่เปิดบริการตั้งแต่ 06.00 น- 24.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาน 10-15 นาทีก็ถึงท่าเฟอร์รี่ที่จอร์จทาวน์ย่านเมืองเก่าของปีนัง
มุ่งสู่ท่าเรืออันไกลโพ้น ถ่ายตอนอยู่บนเฟอร์รี่
ลงจากเฟอรี่ ผมแบกเป้หาที่พักก่อนเป็นอันดับแรก ที่พักที่จองไว้เป็น Hostel ชื่อ Noob Hostel ตั้งอยู่ขอบๆของย่านเมืองเก่าด้านหน้าจะเปิดเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ด้านบนเป็นห้องพัก บรรยากาศดีมาก ผมแนะนำถ้าไปปีนังมาพักที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
หลังจากปลดเป้เสร็จก็ได้เวลาออกไปลุยดูเมืองจอร์จทาวน์ เมืองจอร์จทาวน์เป็นเมืองเก่ามีแต่ตึกเก่าๆ คนก็เก่า มีอาแปะแก่ๆขี่มอเตอร์ไซค์ฮอนด้ารุ่นคลาสสิกแว๊นกันเต็มเมือง ผมยังสงสัยว่าผมมาเที่ยวมาเลเซียรึคุณหมิงกันแน่คนจีนเต็มไปหมด ภาษาที่ได้ยินมีแต่จีนนักท่องเที่ยวก็จีนซะเยอะ อาหารการกินก็ออกไปทางจีน แต่ค่าครองชีพถือว่าไม่แพง
Noob Hostel
เสน่ห์ของจอร์จทาวอยู่ที่บรรยากาศเก่าๆกับงานสตรีทอาร์ต ภาพวาดและเหล็กดัด ที่มีอยู่ทั่วไปตามผนังกำแพงรอบเมืองเป็นจุดๆ ความรู้สึกตอนหยิบแผนที่ตามหารูป มันเหมือนอ่านลายแทงตามหาขุมทรัพย์ชัดๆ ดูเหมือนเป็นเรื่องพื้นๆแต่มันสนุก เป็นไอเดียการโปรโหมดเมืองที่เจ๋งมาก นอกจากได้ตามหารูปวาดเรายังได้เดินชมเมืองไปในตัวด้วยถือว่าเป็นจุดขายของปีนังเลย
ผมเดินกินลมชมวิวไปเรื่อย ยังไม่ได้ชมงานศิลป์บนกำแพงอย่างจริงจัง เดินหาของกินและสำรวจเมืองคร่าวๆ ตอนออกจากที่พักก็สี่โมงเย็นแล้ว เดินแปปเดียวก็เริ่มจะค่ำ ที่นี่เป็นเกาะอากาศค่อนข้างชื้นเหงื่อผมทะละออกมาเต็มเสื้อ ผมเลยตัดสินใจกลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เหนี่ยวไปทั้งตัวไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เช้าเมื่อวาน ตั้งใจเอาไว้ว่าอาบน้ำเสร็จสบายตัวค่อยออกไปหาดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืน สรุปฝนตก อดจร้า เดินออกไปแค่ปากซอยก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว แต่ฝนหรือจะสู้ความอยากของคนผมลุยฝนออกไปหาเบียร์ถามร้านขายของทุกที่ไม่มีเบียร์ขายเลย ลืมคิดไปว่ามาเลเซียเป็นประเทศมุสลิมเค้าไม่กินเบียร์กัน เดินหาอยู่นานจนมาเจอเซเว่น เย้มีเบียร์ขาย!!! แต่!!! ราคาแพงมากขวดหนึ่งร้อยกว่าบาท ไหนๆก็ตากฝนมาขนาดนี้ไม่ซื้อก็กะไรอยู่ เลยจัดไปสองขวดแก้เมื่อยก่อนนอน
วันนี้เดินทางมาไกลจริงๆ
ฮอนด้าคลาสสิก ยานพาหนะยอดนิยมของจอร์จทาวน์
เล่นกับแฟร์
เทียบรุ่น ฮอนด้าคลาสสิกกินขาด
แป๊ะแว๊นส่งของ
รุ่นนี้ขึ้นแท่น จอดเฉยๆยังคลาสสิกไม่พอต้องมีเถาวัลย์ขึ้นด้วย
เป็นไอเดียแต่งบ้านที่แนวมาก
ร้านขายของเก่ามีอยู่หลายร้านในจอร์จทาวน์
แป๊ะแว๊นเยอะจริงๆนะ
[CR] เปิดแมพสุดด้ามขวาน สะพายเป้ แบกกล้องฟิล์ม (ปีนัง-มะละกา-สิงคโปร์)
สวัสดีครับ ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยวแบบ Backpack ตอนนี้กำลังเรียนต่อโทอยู่เลยพอมีเวลาว่างอยู่บ้าง ได้โอกาสเหมาะก็แบกเป้ออกลุยท่องโลกกว้างอยู่เรื่อยๆ พอได้ไปเที่ยวก็อยากนำประสบการณ์ที่ได้มาแชร์กับเพื่อนๆ
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาผมตัดสินใจเดินทางคนเดียวครั้งแรกในชีวิต ต้นสายปรายเหตุของการเดินทางครั้งนี้มากจาก5วันก่อนออกเดินทาง ผมดันเปิดไปเจอตั๋วโปรโมชั่นของLion air (สิงคโปร์-กรุงเทพดอนเมือง) ราคา1200บาท ผมไม่รอช้ารีบจองทันที วันกลับที่จองคือวันที่ 8 ตุลาคม เลยวางแผนเอาไว้ว่าวันที่ 30 กันยายนออกจากอุบลราชธานีเดินทางไปเรื่อยๆให้ถึงสิงคโปร์ก่อนวันที่ 8 เพื่อขึ้นเครื่องกลับไทย รวมการเดินทางทั้งสิ้น 9 วัน เส้นทางที่ผมวางแผนเอาไว้มีเมืองที่ผมสนใจ3เมืองหลักๆ คือ
-เมืองแห่งสตรีทอาร์ต จอร์จทาวน์ เกาะปีนัง
-เมืองมรดกโลก มะละกา
-เกาะสิงโตปลา สิงคโปร์
ผมวางแผนการเดินทางคร่าวๆดังนี้
เดินทางจากอุบลราชธานี-กทม ด้วยเครื่องบิน Thai Lion air
จากกทม(สถานีรถไฟหัวลำโพง)-สาถานีบัตเตอร์เวิร์ธ ปีนัง มาเลเซีย ด้วยรถไฟขบวนที่35
จากปีนัง-มะละกา เดินทางต่อด้วยรถบัส
จากมะละกา-สิงคโปร์ เดินทางด้วยรถบัส
จากสิงคโปร์-ไทย Thai Lion air
ตั๋วรถไฟจากหัวลำโพงไปบัตเตอร์เวิร์ธ ผมจองผ่านสถานีรถไฟที่อุบล(สามารถจองได้ที่สถานีใกล้บ้านได้เลยนะครับ)
ตั๋วรถบัสจากปีนังไปมะละกา และ จากมะละกาไปสิงคโปร์ ผมไปจองที่ท่ารถบัส.ที่มาเลเซียเอาครับ
ที่พักทั้งทริปผมพักจองผ่านเว็ป Agoda
สำหรับสัมพาระที่ใช้ออกเดินทางทั้งทริป ผมใช้เป้สะพายสองใบ
ใบใหญ่สะพายหลัง ข้างในบรรจุ
-เสื้อยืด 11 ตัว (ชุดเดินทาง+ชุดนอน)
-กกน. 11 ตัว (ผมเผื่อกันเหนียวจะได้ไปต้องกลับเทป^^)
-กางเกง 3 ตัว(กางเกงยีนสำรอง 1 ตัว กางเกงใส่นอนอีก2 ตัว )
-ถุงเท้า 6 คู่ (ใส่ซ้ำบางวัน)
-ชุดยาสามัญและอุปกรณ์ทำแผล 1 ชุดเล็ก
-รองเท้าแตะ 1 คู่
-ทิชชู่เปียก 1 ห่อใหญ่
-สบู่เหลว แปลงสีฟัน ฯลฯ (ของใช้ส่วนตัว)
-หนังสืออ่านฆ่าเวลา 2 เล่ม
-หัวแปลงปลั๊กไฟ ที่สิงคโปร์มาเลเซียใช้ปลั๊กหัวเหลี่ยมสามตา อย่าลืมเด็ดขาดเด็ดขาด
ใบที่สอง สะพายด้านหน้า
-Pentax K1000+Super Takumar 35f2
-Pentax MX+SMC Pentax-M 28f2.8
-Rolleicord VB type II
-Gopro4silver+Battery 3 ก้อน + Memory 32Gb 3 แผ่น
-ขาตั้งกล้อง
-Ipad
-Passport (สำคัญมากห้ามลืม ห้ามหายเด็ดขาด)
เอาล่ะครับ พอตั๋วพร้อม อุปกรณ์พร้อม ออกลุยกันเลย
ปล.ภาพทั้งหมดถ่ายจากกล้องฟิล์มนะครับ มีบางภาพถ่ายจาก Gopro ผมจะวงเล็บต่อท้ายไว้
Day 1 (30 sep 2015) รถไฟขบวนที่ 35
ผมแบกเป้ออกเดินทางจากอุบลราชธานีไปขึ้นเครื่องตอน 7.10 น.ถึง สนามบินดอนเมือง เวลา 8.10 น. ระหว่างนั้นผมได้นัดกับพี่ๆที่เล่นกล้องฟิล์มด้วยกันไปเดินถ่ายรูปเล่นและหาของกินอร่อยๆแถวเยาวราชไปพลางๆ รอเวลาขึ้นรถไฟตอนบ่ายสองสี่สิบ
เวลา14.00ผมก็ไปรอรถไฟที่สถานีหัวลำโพงเวลายังพอมีเหลือผมเลยเข้าร้านค้าเพื่อตุนสะเบียงและน้ำดื่มสำหรับมื้อเย็นและมื้อเช้าการเดินทางยังอีกยาวไกลและอาหารบนรถไฟก็ราคาแพงไม่เหมาะกับนักเดินทางกระเป๋าแฟบอย่างผม
14.40 น.รถไฟขบวน35ก็เคลื่อนขบวนมุ่งลงใต้สู่สถานีบัตเตอร์เวิร์ธประเทศมาเลเซีย
Day 2 (1 oct 2015) สวัสดี เมืองแห่งสตรีททอาร์ต จอร์จทาวน์ เกาะปีนัง
การเดินทางบนรถไฟช้าแต่ได้อารมณ์และบรรยากาศ นั่งๆนอนๆอ่านหนังสือดูวิวข้างทาง เผลอหลับแปปเดียวก็เช้าแล้ว ประมาน10 โมง ของวันที่ 1 ตุลาคม รถไฟมาถึงด่านปานังเบซาร์ จุดผ่านแดนไทย-มาเลเซีย จุดนี้ต้องแบกข้าวของทุกอย่างลงไปปั้มพาสปอร์ตและตรวจของก่อน พอตรวจทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็แบกเป้มาขึ้นรถไฟเหมือนเดิม ใช้เวลาไม่นานมาก ระหว่างที่เราเข้าไปตรวจของหัวจักรถไฟก็ถูกเปลี่ยนจากหัวจักรของไทยเป็นหัวรถจักรของมาเลเซียแทน หัวจักรมาเลดูใหม่กว่าของไทยนิดหน่อย แต่พอออกจากด่านรถไฟของไทยเราเพิ่มความคลาสสิกขึ้นอีก10เท่า เพราะที่มาเลเค้ามีรถไฟแบบหัวกระสุนใช้กันแล้ว เมื่อไหร่ไทยจะมีรถไฟรุ่นใหม่ใช้กับเค้าบ้าง ความคลาสสิกของรถไฟไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก
รถไฟเข้าเทียบสถานีบัตเตอร์เวิร์ธเวลา 13.00 น.สายไป15นาที เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าไทยอยู่ 1ชม. เท่ากับว่าผมใช้เวลาบนรถไฟ21 ชม.กับอีก 15 นาที นั่งกันจนตูดชากันเลยทีเดียว
พอลงจากรถไฟผมตรงดิ่งไปที่ท่ารถบัสเป็นอันดับแรก ท่ารถบัสอยู่ติดกับสถานีรถไฟเลย เดินตามป้ายไปเรื่อยๆแปปเดียวก็ถึง ผมจองตั๋วรถจากปีนังไปมะละกา วันที่3 ตุลาคม เวลา 23.15 น.ราคา 48 ริงกิต จากปีนังไปมะละกาใช้เวลาเดินทางประมาน 6 ชม. รถมีหลายรอบต่อวันตั้งแต่เช้ายันดึก ก่อนจองตั๋วคำนวณเวลากันดีๆนะ ที่ออก 5 ทุ่มเพราะกะว่าได้เที่ยวปีนังเต็มวันและไปนอนบนรถเอาเช้าก็ถึงมะละกาพอดีประหยัดค่าที่พักไปอีก1คืน
จองตั๋วเสร็จก็เดินย้อนกลับมาทางสถานีรถไฟแล้วเดินตามป้ายไปเรื่อยๆเหมือนเดิม เพื่อไปขึ้นเรือเฟอร์รี่มุ่งหน้าสู่เมืองจอร์จทาวน์ ราคาค่าขึ้นเรือเฟอรรี่ 1.20 ริงกิต จ่ายรอบเดียวขากลับไม่ต้องเสียตังอีก เรือเฟอรรี่เปิดบริการตั้งแต่ 06.00 น- 24.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาน 10-15 นาทีก็ถึงท่าเฟอร์รี่ที่จอร์จทาวน์ย่านเมืองเก่าของปีนัง
ลงจากเฟอรี่ ผมแบกเป้หาที่พักก่อนเป็นอันดับแรก ที่พักที่จองไว้เป็น Hostel ชื่อ Noob Hostel ตั้งอยู่ขอบๆของย่านเมืองเก่าด้านหน้าจะเปิดเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ด้านบนเป็นห้องพัก บรรยากาศดีมาก ผมแนะนำถ้าไปปีนังมาพักที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
หลังจากปลดเป้เสร็จก็ได้เวลาออกไปลุยดูเมืองจอร์จทาวน์ เมืองจอร์จทาวน์เป็นเมืองเก่ามีแต่ตึกเก่าๆ คนก็เก่า มีอาแปะแก่ๆขี่มอเตอร์ไซค์ฮอนด้ารุ่นคลาสสิกแว๊นกันเต็มเมือง ผมยังสงสัยว่าผมมาเที่ยวมาเลเซียรึคุณหมิงกันแน่คนจีนเต็มไปหมด ภาษาที่ได้ยินมีแต่จีนนักท่องเที่ยวก็จีนซะเยอะ อาหารการกินก็ออกไปทางจีน แต่ค่าครองชีพถือว่าไม่แพง
เสน่ห์ของจอร์จทาวอยู่ที่บรรยากาศเก่าๆกับงานสตรีทอาร์ต ภาพวาดและเหล็กดัด ที่มีอยู่ทั่วไปตามผนังกำแพงรอบเมืองเป็นจุดๆ ความรู้สึกตอนหยิบแผนที่ตามหารูป มันเหมือนอ่านลายแทงตามหาขุมทรัพย์ชัดๆ ดูเหมือนเป็นเรื่องพื้นๆแต่มันสนุก เป็นไอเดียการโปรโหมดเมืองที่เจ๋งมาก นอกจากได้ตามหารูปวาดเรายังได้เดินชมเมืองไปในตัวด้วยถือว่าเป็นจุดขายของปีนังเลย
ผมเดินกินลมชมวิวไปเรื่อย ยังไม่ได้ชมงานศิลป์บนกำแพงอย่างจริงจัง เดินหาของกินและสำรวจเมืองคร่าวๆ ตอนออกจากที่พักก็สี่โมงเย็นแล้ว เดินแปปเดียวก็เริ่มจะค่ำ ที่นี่เป็นเกาะอากาศค่อนข้างชื้นเหงื่อผมทะละออกมาเต็มเสื้อ ผมเลยตัดสินใจกลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เหนี่ยวไปทั้งตัวไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เช้าเมื่อวาน ตั้งใจเอาไว้ว่าอาบน้ำเสร็จสบายตัวค่อยออกไปหาดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืน สรุปฝนตก อดจร้า เดินออกไปแค่ปากซอยก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว แต่ฝนหรือจะสู้ความอยากของคนผมลุยฝนออกไปหาเบียร์ถามร้านขายของทุกที่ไม่มีเบียร์ขายเลย ลืมคิดไปว่ามาเลเซียเป็นประเทศมุสลิมเค้าไม่กินเบียร์กัน เดินหาอยู่นานจนมาเจอเซเว่น เย้มีเบียร์ขาย!!! แต่!!! ราคาแพงมากขวดหนึ่งร้อยกว่าบาท ไหนๆก็ตากฝนมาขนาดนี้ไม่ซื้อก็กะไรอยู่ เลยจัดไปสองขวดแก้เมื่อยก่อนนอน
วันนี้เดินทางมาไกลจริงๆ