ส่วนตัวคิดว่า นี่คือ The Best Movie of The Year เลยล่ะ คิดไม่ผิดที่เปลี่ยนใจไปดู ตอนแรกวันนี้กะพักผ่อนนอนเล่น แต่กลัวหนังออกไว เพราะประเทศไทยก้ออย่างที่คอหนังย่อมรู้กันว่า หนังดีๆมีคุณภาพสายรางวัลมักได้รอบฉายน้อย รอบฉายดึก และลาโรงไวมาก เลยต้องรีบไปดูก่อนพลาด
หนังเรื่องนี้ นำเสนอภาพทนายจำเลยในฐานะ “คนดี” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยในโลกภาพยนตร์ และโดยส่วนตัว เป็นอะไรที่รอคอยมานานกับแง่มุมนี้ของทนายจำเลยในโลกเซลลูลอยด์ คือโลกใบนี้ดูเหมือนจะมีปัญหากับทนายจำเลยมากนะ แต่พอเวลามีปัญหาล่ะ ถ้าต้องตกเป็นจำเลยซะเองล่ะ ปกติก้อเห็นวิ่งมาหาทนายจำเลยกันเองเลยแทบจะทันทีอ่ะนะ อารมณ์ไม่ต้องรอ ป. วิ อาญา มาตรา 8, 134/1, 173 ดำเนินการให้หรอกค่ะ หรือในต่างประเทศก้อพอกัน อย่าง USA ก้อไม่ต้องรอ The Sixth Amendment อ่ะ หาเองเสร็จสรรพเลยด้วยซ้ำ เฮ้อ! พอกันหมดทั้งโลก
“Every Person Matters.” คุณทนายจำเลย James B. Donovan ในเรื่องกล่าวไว้ ซึ่งจริงที่สุด!
กลับมาเรื่องหนัง คือทุกครั้งที่ Steven Spielberg กะ Tom Hanks โคจรมาเจอกัน ไม่เคยทำให้ผิดหวังสักที!!! และถ้าไม่พากันตลกร้ายใส่คนดู(Catch Me If You Can, The Terminal) ก้อจะพาคนดูกระฉากอารมณ์พาคนดูดราม่า(Saving Private Ryan) ไรงิ แต่เรื่องนี้เหมือนปนๆกันนะ คือเนื้อเรื่องจะดราม่าจริงจังขึงขัง แต่บทสนทนาแทรกด้วยอารมณ์ขันแบบโหดร้ายเป็นระยะๆ ซึ่งพอ End Credit ขึ้นเท่านั้นแหละ ก้อถึงบางอ้อ ก้อแหม...สองในสามของคนเขียนบทคือ สองพี่น้อง Ethan และ Joel Coen นี่นา สองพี่น้องคนนี้เค้าสามารถใส่ความตลกร้ายได้กะหนังทุกแนวอยู่แล้ว (ส่วนมือเขียนบทอีกคนคือ Matt Charman นะคะ เรื่องนี้เขียนบทกันทั้งหมดสามคน)
หนังแนวนี้ยากมากที่จะสร้างออกมาให้ไม่น่าเบื่อ แต่นี่เค้ากลับสร้างออกมาได้สนุกด้วยซ้ำ จนลืมไปเลยว่า หนังยาวตั้งสองชั่วโมงกว่า การเดินเรื่องก้อไม่ยืดเยื้อ เรียกว่าไวมาก เพราะไม่ติดอยู่กับฉากใดฉากหนึ่งนานเกินไป สำหรับนักแสดงก้อยังนึกไม่ออกนะว่าใครจะมาแสดงแทน Tom Hanks ได้โดยคนดูไม่เบื่อหน้าซะก่อน เพราะแทบทั้งเรื่องจะเห็นแต่หน้าพี่ทอมแกแทบทุกนาที เรียกได้ว่า นี่เป็นหนังที่คนอื่นเป็นนักแสดงสมทบหมดนะ มีนักแสดงนำแค่คนเดียว!
บรรยากาศของเรื่องตลอดจนแสงเงาก้อจะทึมๆหม่นๆตลอดค่ะ ถ้าฝนไม่ตกก้อหิมะตก ประมาณนั้น ซึ่งก้อเข้าใจว่า เค้าต้องการคุมโทนหนังให้เหมาะกับ Background ของเรื่องที่อยู่ในยุคและเกี่ยวกับ Cold War แบบบรรยากาศสงครามเย็นกำลังครุกรุ่นอยู่ในยุดสมัยนั้น สร้างบรรยากาศที่ไม่น่าไว้ใจและความหวาดระแวงกับคนดูตลอดทั้งเรื่อง
หนังเรื่องนี้มีแต่ฉากกระฉากอารมณ์คนดูหลายฉากที่ประทับใจมาก การสื่อสารกับคนดูด้วยภาพมีอยู่เยอะมาก แบบแทบไม่ต้องพูดอะไรกันมาก(หรือพูดเยอะ แต่พูดด้วยภาษาอื่นที่คนส่วนใหญ่คงฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี) ในฉากเหล่านี้ ถึงไม่ค่อยมีบทพูดหรือฟังไม่ออก แต่ความรู้สึกคือมาเต็มอ่ะ เช่น
-ฉากที่ให้คนดูร่วมลุ้นไปพร้อมๆกับตัวละครพี่ทอมว่า Rudolf Abel ชายผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับรัสเซีย จะได้รับการกอดต้อนรับหรือถูกต้อนไปนั่งเบาะหลัง
-ฉากที่มีกลุ่มคนพยายามปีนข้ามกำแพงเบอร์ลินแต่แล้วกลับถูกกราดยิงทิ้งแทบจะทันที
-ฉาก “I can wait.” ที่เกิดขึ้นตอนกำลังจะแลกตัวนักโทษกันบนสะพาน Glienicke
-ฉากบ้านพี่ทอมโดนกราดยิง ฉากนั้นคือยอมรับว่า ไม่ได้ตั้งตัวเลย คือตกใจตอนได้ยินเสียงปืน ตอนแรกนึกว่า เป็นแค่ฉากสั้นๆที่ถ่ายภาพตัวละครสบทบ(ลูกสาวคนโตของพี่ทอมนอนดูทีวีอยู่)ก่อนแล้วค่อยพาไปสู่ฉากอื่นอีกที ไม่นึกว่า ที่แท้ฉากนั้นน่ะเป็นฉากที่มีความสำคัญเปนของตัวเอง
- ฉากโดนกลุ่มวัยรุ่นต่างชาติปล้นเสื้อโค้ท โดยหนังเจตนาให้พวกกลุ่มวัยรุ่นพูดภาษาต่างชาติกันไม่หยุด แต่ไม่แปล SUB ให้ ไม่ว่าจะ SUB อังกฤษในหนังต้นฉบับ หรือ SUB ไทยในเวอร์ชั่นที่ฉายในบ้านเรา ซึ่งทั้งหมดนี้ก้อเพื่อสร้างความรู้สึกอึดอัดกดดันให้คนดู ให้เหมือนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพี่ทอม แบบไปต่างบ้านต่างเมือง ไม่เข้าใจภาษาที่เข้าพูดใส่ แต่คนเหล่านั้นเดินรุมเข้ามาเรื่อยๆด้วยเจตนาไม่ดี ใจเราก็ได้แต่ลุ้นว่า อย่าทำอะไรกูนะ กล้องเองก้อถ่ายใกล้มากในฉากนั้น เพื่อทำให้คนดูอึดอัดกดดันตาม เหมือนจะหนีไปไหนก้อหนีไม่ได้
และชอบฉากพี่ทอมบนรถไฟนะ อันนี้ไม่กระฉากอารมณ์นะ แต่สะเทือนอารมณ์มากกว่า ฉากที่ตอนต้นเรื่องกะตอนท้ายเรื่อง สายตาคนในโบกี้นั้นมองพี่ทอมคนละแบบ คือมันนิยามสันดานแย่ๆของคนในสังคมได้โดยไม่ต้องมีบทพูดอะไรเลยสักคำ ตอนพี่ทอมเป็น “(เสมือน)ผู้ร้าย(ในสายตาสังคม)” ก้อมองกันแบบนึง ส่วนตอนพี่ทอมเป็น “(เสมือน)พระเอก(ในสายตาสังคม)” ก้อมองกันอีกแบบหนึ่ง ทั้งๆที่คนๆนี้คือคนๆเดียวกัน หัวใจดวงเดียวกัน ตัวตนเดียวกัน เพียงแต่อยู่ในบทบาทต่างกัน คนละเวลากัน เท่านั้นเอง!
และถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า ฉากตอนคนบนรถไฟมองด้วยความเกลียดชัง คือมองกันแทบจะทั้งโบกี้หรือไม่ก้อทั้งโบกี้เลยด้วยซ้ำ อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆคือรู้ว่ามองกันเยอะมาก แต่ส่วนตอนฉากที่คนบนรถไฟมองด้วยความปลื้มปิติมองด้วยความชื่นชม กลับมีมองอยู่แค่คนเดียวเองมั๊ง! เหมือนตั้งใจจะสื่อว่า เวลาทำอะไรที่ไม่ถูกใจสังคมส่วนใหญ่(ไม่จำเป็นต้องไม่ดีนะ แค่ไม่ถูกใจ) พวกผู้คนก้อจะพากันเสียงดังเชียว แต่เวลาทำอะไรที่ดีๆ คนชื่นชมยินดีจะมีอยู่แค่ไม่กี่คน 55555+ >>>สะท้อนสังคมมากกกกกกกก
เรื่องนี้ให้ A เลยค่ะ ชอบมาก^^
เพื่อนคิดไงกันบ้างค่ะ ประทับใจฉากไหนกันบ้าง มีตรงกันบ้างอ่ะป่าว
ไปดู Bridge of Spies มา หนังคุณภาพคับจอ วิจารณ์แต่ไม่สปอยล์ค่ะ ไปดูมาคิดไงกันบ้างค่ะ??
หนังเรื่องนี้ นำเสนอภาพทนายจำเลยในฐานะ “คนดี” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยในโลกภาพยนตร์ และโดยส่วนตัว เป็นอะไรที่รอคอยมานานกับแง่มุมนี้ของทนายจำเลยในโลกเซลลูลอยด์ คือโลกใบนี้ดูเหมือนจะมีปัญหากับทนายจำเลยมากนะ แต่พอเวลามีปัญหาล่ะ ถ้าต้องตกเป็นจำเลยซะเองล่ะ ปกติก้อเห็นวิ่งมาหาทนายจำเลยกันเองเลยแทบจะทันทีอ่ะนะ อารมณ์ไม่ต้องรอ ป. วิ อาญา มาตรา 8, 134/1, 173 ดำเนินการให้หรอกค่ะ หรือในต่างประเทศก้อพอกัน อย่าง USA ก้อไม่ต้องรอ The Sixth Amendment อ่ะ หาเองเสร็จสรรพเลยด้วยซ้ำ เฮ้อ! พอกันหมดทั้งโลก
“Every Person Matters.” คุณทนายจำเลย James B. Donovan ในเรื่องกล่าวไว้ ซึ่งจริงที่สุด!
กลับมาเรื่องหนัง คือทุกครั้งที่ Steven Spielberg กะ Tom Hanks โคจรมาเจอกัน ไม่เคยทำให้ผิดหวังสักที!!! และถ้าไม่พากันตลกร้ายใส่คนดู(Catch Me If You Can, The Terminal) ก้อจะพาคนดูกระฉากอารมณ์พาคนดูดราม่า(Saving Private Ryan) ไรงิ แต่เรื่องนี้เหมือนปนๆกันนะ คือเนื้อเรื่องจะดราม่าจริงจังขึงขัง แต่บทสนทนาแทรกด้วยอารมณ์ขันแบบโหดร้ายเป็นระยะๆ ซึ่งพอ End Credit ขึ้นเท่านั้นแหละ ก้อถึงบางอ้อ ก้อแหม...สองในสามของคนเขียนบทคือ สองพี่น้อง Ethan และ Joel Coen นี่นา สองพี่น้องคนนี้เค้าสามารถใส่ความตลกร้ายได้กะหนังทุกแนวอยู่แล้ว (ส่วนมือเขียนบทอีกคนคือ Matt Charman นะคะ เรื่องนี้เขียนบทกันทั้งหมดสามคน)
หนังแนวนี้ยากมากที่จะสร้างออกมาให้ไม่น่าเบื่อ แต่นี่เค้ากลับสร้างออกมาได้สนุกด้วยซ้ำ จนลืมไปเลยว่า หนังยาวตั้งสองชั่วโมงกว่า การเดินเรื่องก้อไม่ยืดเยื้อ เรียกว่าไวมาก เพราะไม่ติดอยู่กับฉากใดฉากหนึ่งนานเกินไป สำหรับนักแสดงก้อยังนึกไม่ออกนะว่าใครจะมาแสดงแทน Tom Hanks ได้โดยคนดูไม่เบื่อหน้าซะก่อน เพราะแทบทั้งเรื่องจะเห็นแต่หน้าพี่ทอมแกแทบทุกนาที เรียกได้ว่า นี่เป็นหนังที่คนอื่นเป็นนักแสดงสมทบหมดนะ มีนักแสดงนำแค่คนเดียว!
บรรยากาศของเรื่องตลอดจนแสงเงาก้อจะทึมๆหม่นๆตลอดค่ะ ถ้าฝนไม่ตกก้อหิมะตก ประมาณนั้น ซึ่งก้อเข้าใจว่า เค้าต้องการคุมโทนหนังให้เหมาะกับ Background ของเรื่องที่อยู่ในยุคและเกี่ยวกับ Cold War แบบบรรยากาศสงครามเย็นกำลังครุกรุ่นอยู่ในยุดสมัยนั้น สร้างบรรยากาศที่ไม่น่าไว้ใจและความหวาดระแวงกับคนดูตลอดทั้งเรื่อง
หนังเรื่องนี้มีแต่ฉากกระฉากอารมณ์คนดูหลายฉากที่ประทับใจมาก การสื่อสารกับคนดูด้วยภาพมีอยู่เยอะมาก แบบแทบไม่ต้องพูดอะไรกันมาก(หรือพูดเยอะ แต่พูดด้วยภาษาอื่นที่คนส่วนใหญ่คงฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี) ในฉากเหล่านี้ ถึงไม่ค่อยมีบทพูดหรือฟังไม่ออก แต่ความรู้สึกคือมาเต็มอ่ะ เช่น
-ฉากที่ให้คนดูร่วมลุ้นไปพร้อมๆกับตัวละครพี่ทอมว่า Rudolf Abel ชายผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับรัสเซีย จะได้รับการกอดต้อนรับหรือถูกต้อนไปนั่งเบาะหลัง
-ฉากที่มีกลุ่มคนพยายามปีนข้ามกำแพงเบอร์ลินแต่แล้วกลับถูกกราดยิงทิ้งแทบจะทันที
-ฉาก “I can wait.” ที่เกิดขึ้นตอนกำลังจะแลกตัวนักโทษกันบนสะพาน Glienicke
-ฉากบ้านพี่ทอมโดนกราดยิง ฉากนั้นคือยอมรับว่า ไม่ได้ตั้งตัวเลย คือตกใจตอนได้ยินเสียงปืน ตอนแรกนึกว่า เป็นแค่ฉากสั้นๆที่ถ่ายภาพตัวละครสบทบ(ลูกสาวคนโตของพี่ทอมนอนดูทีวีอยู่)ก่อนแล้วค่อยพาไปสู่ฉากอื่นอีกที ไม่นึกว่า ที่แท้ฉากนั้นน่ะเป็นฉากที่มีความสำคัญเปนของตัวเอง
- ฉากโดนกลุ่มวัยรุ่นต่างชาติปล้นเสื้อโค้ท โดยหนังเจตนาให้พวกกลุ่มวัยรุ่นพูดภาษาต่างชาติกันไม่หยุด แต่ไม่แปล SUB ให้ ไม่ว่าจะ SUB อังกฤษในหนังต้นฉบับ หรือ SUB ไทยในเวอร์ชั่นที่ฉายในบ้านเรา ซึ่งทั้งหมดนี้ก้อเพื่อสร้างความรู้สึกอึดอัดกดดันให้คนดู ให้เหมือนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพี่ทอม แบบไปต่างบ้านต่างเมือง ไม่เข้าใจภาษาที่เข้าพูดใส่ แต่คนเหล่านั้นเดินรุมเข้ามาเรื่อยๆด้วยเจตนาไม่ดี ใจเราก็ได้แต่ลุ้นว่า อย่าทำอะไรกูนะ กล้องเองก้อถ่ายใกล้มากในฉากนั้น เพื่อทำให้คนดูอึดอัดกดดันตาม เหมือนจะหนีไปไหนก้อหนีไม่ได้
และชอบฉากพี่ทอมบนรถไฟนะ อันนี้ไม่กระฉากอารมณ์นะ แต่สะเทือนอารมณ์มากกว่า ฉากที่ตอนต้นเรื่องกะตอนท้ายเรื่อง สายตาคนในโบกี้นั้นมองพี่ทอมคนละแบบ คือมันนิยามสันดานแย่ๆของคนในสังคมได้โดยไม่ต้องมีบทพูดอะไรเลยสักคำ ตอนพี่ทอมเป็น “(เสมือน)ผู้ร้าย(ในสายตาสังคม)” ก้อมองกันแบบนึง ส่วนตอนพี่ทอมเป็น “(เสมือน)พระเอก(ในสายตาสังคม)” ก้อมองกันอีกแบบหนึ่ง ทั้งๆที่คนๆนี้คือคนๆเดียวกัน หัวใจดวงเดียวกัน ตัวตนเดียวกัน เพียงแต่อยู่ในบทบาทต่างกัน คนละเวลากัน เท่านั้นเอง!
และถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า ฉากตอนคนบนรถไฟมองด้วยความเกลียดชัง คือมองกันแทบจะทั้งโบกี้หรือไม่ก้อทั้งโบกี้เลยด้วยซ้ำ อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆคือรู้ว่ามองกันเยอะมาก แต่ส่วนตอนฉากที่คนบนรถไฟมองด้วยความปลื้มปิติมองด้วยความชื่นชม กลับมีมองอยู่แค่คนเดียวเองมั๊ง! เหมือนตั้งใจจะสื่อว่า เวลาทำอะไรที่ไม่ถูกใจสังคมส่วนใหญ่(ไม่จำเป็นต้องไม่ดีนะ แค่ไม่ถูกใจ) พวกผู้คนก้อจะพากันเสียงดังเชียว แต่เวลาทำอะไรที่ดีๆ คนชื่นชมยินดีจะมีอยู่แค่ไม่กี่คน 55555+ >>>สะท้อนสังคมมากกกกกกกก
เรื่องนี้ให้ A เลยค่ะ ชอบมาก^^
เพื่อนคิดไงกันบ้างค่ะ ประทับใจฉากไหนกันบ้าง มีตรงกันบ้างอ่ะป่าว