ด้วยความที่จขกท.อยู่ในแวดวงสายกฎหมายมาเกือบ 10 ปี ใช้ชีวิตเข้าออกศาลเป็นว่าเล่น (ก็งานอะเนอะ) เมื่อได้รู้ว่าละครเรื่อง "ล่า 2017" ซึ่งค่อนข้างเกี่ยวกับปัญหากระบวนการยุติธรรมไทยจะถูกสร้างขึ้น ก็ต้องรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดาเพราะอยากเห็นว่าทางละครได้นำเสนอการพิจารณาคดีในศาลและกระบวนการต่างๆอย่างไร เนื่องจากปกติไม่ค่อยมีละครไทยที่มีฉากการพิจารณาคดีให้เห็นมากนัก
ออกตัวก่อนเลยว่าแค่ฉากแรกๆของเรื่องในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีในศาล จขกท.ก็ตั้งคำถามข้างในในใจ ในหมู่เพื่อนฝูงก็มาถามไถ่ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างนี้หรอ ในหมู่เพื่อนนักกฎหมายร่วมอาชีพก็ต่างคุยกันวิพากษ์วิจารณ์กันไปตามเรื่องตามราว จขกท.ก็อดทนรอ รอแล้วรออีกว่าเมื่อไหร่จะมีนักกฎหมายกล้าที่จะมาให้ความรู้ทางกฎหมาย "ที่ถูกต้อง" เสียที จนกระทั่งเมื่อวานมีอาจารย์ คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ท่านนึงออกมาโพสต์ในเฟสบุ๊คเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น วันนี้ หลังจากผ่านการคิดมาทั้งคืนว่า เราในฐานะนักกฎหมายคนนึง จะมาช่วยสร้าง "ความรู้และความเข้าใจ" ที่ถูก ที่เป็นให้กับสังคมดีไหม ซึ่งจขกท.ตอบตัวเองแทบจะทันทีว่า แม้จะมีคนอ่านกระทู้นี้จบเพียงหนึ่งคน ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว...
จขกทจึงตั้งกระทุ้นี้ขึ้นเพื่อให้ทุกท่านร่วมกันตั้งข้อสังเกต คำถาม และช่วยกันหาคำตอบไปพร้อมกัน
*จขกท.ไม่ได้ดูละครเรื่องนี้โดยตลอด แต่เลือกดูเฉพาะศาลในศาล ดังนั้นอาจจะจำชื่อตัวละครไม่ได้หมด และอาจมีเนื้อหาบางส่วนตกหล่นไป ต้องขออภัยแฟนละครทุกท่าน
** คดีทุกคดีในละครเรื่องนี้เกิดหลังปี 2557 (สังเกตุจากงานวันเเม่)
1.ห้องพิจารณาในศาล ใครเป็นใคร
ก่อนที่เราจะไปคุยกันในรายละเอียด จขกทอยากแนะนำข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวละครก่อนว่า ใครเป็นใคร มีหน้าที่อะไร ฝั่งขวา ฝั่งซ้าย ใส่ครุยทนายเหมือนกันเค้าต่างกันไหม
เริ่มแรก แน่นอนว่าบนบัลลังก์ที่ใส่ชุดครุยไม่เหมือนคนอื่น คือ ผู้พิพากษา ซึ่งเมื่อนั่งพิจารณาหลายคนพร้อมกันจะเรียกว่า "องค์คณะ" ตามกฎหมายจะกำหนดจำนวนองค์คณะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของคดี บางคดีผู้พิพากษาคนเดียวนั่งได้ บางคดี 2 คน (ซึ่งรวมถึงคดีในละคร ตามกฎหมายนั่ง 2 คนก็พอ)
ฝั่งขวามือของผู้พิพากษาเมื่อมองลงมาจากบัลลังก์คือ โจทก์ (ไม่ใช่โจทย์นะ55) โจทก์ เนี่ยในคดีอาญาถ้ารัฐเป็นคนฟ้องคือ อัยการ (คุณภูริ) แต่ถ้าประชาชนเลือกฟ้องคดีเองก็จะมีการแต่งตั้งทนายโจทก์ จะไม่มีอัยการ หน้าที่ของอัยการคร่าวๆก็คือ เป็นทนายที่ต้องพิสุจน์ความผิดของจำเลย
ส่วนฝั่งซ้ายมือคือ ทนายจำเลย ซึ่งมีหน้าที่แก้ต่างให้ตัวจำเลยว่าไม่ผิด หรือถึงผิดก็มีเหตุให้น่าลดโทษนะ ไม่ได้ร้ายแรงขนาดที่อัยการฟ้องมา (อย่างคดีคุณมธุสรมีอัตราโทษถึงประหารชีวิต กฎหมายจะบังคับว่าต่อให้จำเลยไม่มีทนาย ศาลก็ต้องหาทนายให้เสมอ (ปวิอ.มาตรา 173)
2.Ep.1-2 ฉากเปิดตัว จนถึงฉากเปิดภาพสถานที่เกิดเหตุ ep.5
ในฉากเปิดตัวการพิจารณาคดีในศาล จะเห็นได้ว่าฝั่งอัยการมีการถามคำตอบคุณมธุสแต่คุณมธุสรไม่ตอบทำให้อัยการตบโต๊ะ ความจริงแล้วในการถามพยาน การตบโต๊ะหรือแม้กระทั่งการถามพยานในเชิงข่มขู่หรือเข้าใกล้พยานมากจนเกินไปเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียส และไม่ค่อยเกิดขึ้นรุนแรงแบบในละคร ถ้ามีอัยการหรือทนายคนใดทำ ศาลจะเตือน ซึ่งถ้าพยานรู้สึกกลัวสามารถบอกศาลหรือทนายฝั่งตนได้ทันที
จขกท.ขออนุญาตข้ามมาถึงฉากที่ศาลในคดีนี้พูดในทำนองว่า "จากการไต่สวนยังขาดข้อมูลอีกหลายประเด็น ขอให้จำเลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้น" ไล่ไปจนถึงฉากที่คุณมธุสรได้เล่าเรื่องที่ตนถูกข่มขืนและมีการตัดภาพมาที่การพิจารณาคดีต่อ โดยทนายจำเลยหรือคุณมธุสรนำภาพสถานที่เกิดเหตุมาให้ดู
จขกทยอมรับว่า จขกท ค่อนข้างงงกับลำดับการพิจารณาคดีดังกล่าว และไม่รู้จะอธิบายยังไงดี555 เอาเป็นว่าในทางปฏิบัติ การถามพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นหน้าที่ของทนายแต่ละฝ่ายในการช่วยกันทำให้ศาลซึ่งเป็นคนกลางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เว้นแต่จำเลยจะไม่มีทนายจริงๆ ศาลก็จะถามให้ (แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่าคดีนี้ กฎหมายบังคับให้หาทนายให้คุณมธุสรเสมอ)
3.Ep.6 ข่มขืนภริยาไม่ผิดกฎหมาย จริงหรอ?
ในฉากการพิจารณาคดีข่มขืนของ 7 ทรชน กับคุณมธุสร เริ่มแรกเราจะเห็นศาลอ่านคำฟ้องให้จำเลยฟัง ซึ่งอันนี้ไม่รู้ว่ามีการศึกษาข้อมูลมามากน้อยแค่ไหน ถ้าทางทีมงานศึกษาข้อมูลมา ต้องขอชื่นชมที่ใส่ใจรายละเอียดเรื่องนี้ เพราะตามกฎหมาย ศาลมีหน้าที่ต้องอ่านคำฟ้องให้จำเลยฟังก่อนพิจรณาคดี (มาตรา 172 ปวิอ.) แต่สุดท้ายก็เรียกได้ว่ามาตกม้าตายเอาตอนอ่านฟ้องจริงๆ เพราะข้อหาที่ศาลอ่านเป็นข้อหา"ข่มขืนผู้อื่นที่มิใช่ภริยาตน" ซึ่งเป็นกฎหมายเดิม และปัจจุบันถูกแก้ไขแล้วตั้งแต่ปี 2550 (ถ้าจำไม่ผิด) ดังนั้น ปัจจุบันจะข่มขืนภริยาตัวเองโดยเขาไม่ยินยอม ผิดเสมอนะจ๊ะ!
***ส่วนใครจะแก้ตัวว่าคดีเกิดก่อนกฎหมายแก้ก็ไม่ได้ เพราะตามละครเกิดหลังปี 2557 (มีฉากลูกรับรางวัลวันแม่ 2557 จ้า)
4.Ep.6 ซักถาม ถามค้าน ถามติง แล้วถามอีก!?!
เรายังอยู่กับฉากพิจารณาคดีข่มขืนกันอยู่ ถ้าใครจำได้ในช่วงที่มีการสืบพยานนั้นจะเห็นทนายจำเลยของ 7 ทรชน กำลังถามค้านพยานอยู่และแถลงว่าหมดคำถาม จากนั้นอัยการก็ลุกขึ้นมาถามต่อแล้วแถลงหมดคำถาม แล้ว....อยู่ๆทนายจำเลยก็มาถามใหม่! สำหรับคนที่ไม่ได้เรียนมาทางนี้ก็อาจจะดูแล้วแบบจขกทมีปัญหาอะไร ไม่เห็นมีอะไรเลย555 ผลต่อละครคงไม่มี แต่คนทำงานด้านกฎหมายต้องมีคนร้องอุทานแบบจขกท.แน่นอน555
ในการถามพยานเนี่ย ไม่ใช่ว่าใครจะถามกี่รอบก็ได้จนกว่าจะแบบพอละเหนื่อยขี้เกียจถามละ ไม่ใช่เนอะ กฎหมายจะเขียนไว้ชัดว่าจะมีการถาม 3 รอบ คือ ซักถาม ถามค้าน(cross-examination) และถามติง (ขอไม่ลงรายละเอียดว่าแต่ละรอบเนี่ยต่างกันไง เดี๋ยวจะงง) อาจะมีการถามมากกว่านี้ได้ แต่! ต้องขออนุญาตศาลถาม ซึ่งศาลจะถามก่อนว่าจะถามอะไร จำเป็นแค่ไหน ถ้าเห็นว่าจำเป็นจริงๆก็จะอนุญาต
5.Ep.6หนึ่งในทรชนบอกว่า ผมอยู่บุรีรัมย์ครับ
จขกท.เชื่อว่าหลายคนได้ดูฉากที่ 7 ทรชน ให้การแล้วแทบจะเขวี้ยงรีโมทไปที่หน้าจอ กล้าพูดออกมาได้ไงว่าอยู่นู้นอยู่นี่ (อินๆ)
เอาจริงๆการอ้างว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเนี่ยเป็นข้ออ้างคลาสสิกอย่างหนึ่งของจำเลย มีทั้งในไทยและต่างประเทศ (alibi หรือภาษากฎหมายเรียกว่า การสู้ฐานที่อยู่) แต่ไม่ใช่ว่าสู้แบบนี้แล้วจะรอด เพราะส่วนใหญ่แล้วการสู้คดีแบบนี้ต้องมีหลักฐานแน่นมากว่าตัวเองไม่อยู่จริงๆ เช่น บอกไปบุรีรัมย์ ก็ต้องมีหลักฐานการเดินทาง มีรางวัลมาโชว์ ไม่งั้นแล้วศาลมักจะมองว่าเป็นการพูดลอยๆ ไม่น่าเชื่อถือเท่านั้น
6.Ep.6 คุณมธุสรเป็นแม่หม้ายครับ
มีฉากนึงที่คุณเต๋ากับคุณแทค (จำชื่อตัวละครไม่ได้) ให้การในทำนองว่าคุณมธุสรเป็นแม่หม้าย และพูดเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของคุณมธุสร
ความจริงแล้วนั้น การสืบในทำนองเนี่ยเหมือนจะเป็นการสืบเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของผู่เสียหาย เช่น

มาก่อน บลาๆ ตามปวิอ.มาตรา 226/4 ห้ามไว้ชัดเจน เว้นจะเข้าข้อยกเว้น (ซึ่งตามคดีในละครไม่เข้า) เหตุที่ต้องมีกม.นี้เกิดขึ้นก็เพราะในอดีตเนี่ย ทนายบางคนจะสืบเรื่องพฤติกรรมทางเพศของผู้เสียหายทำให้ผู้เสียหายอับอาย ไม่อยากเบิกความ กฎหมายตัวนี้จึงต้องออกมาคุ้มครอง และที่สำคัญ ต่อให้คุณจะมีพฤติกรรมทางเพศยังไง มันก้อไม่ได้หมายความว่าคุณจะถูกข่มขืนไม่ได้
7. Ep.6 ทำไมต้องนั่งเผชิญหน้ากับจำเลย ทำไมคนอยู่ในห้องพิจารณาเยอะจัง
หลายคนค่อนข้างตกใจและกลัวมากหลังจากได้เห็นภาพห้องพิจารณาว่าคุณมธุสรต้องนั่งร่วมห้องกับทรชน 7 คน คนมาฟังก็เยอะต้องมานั่งเล่าเรื่องตัวเองโดนข่มขืนให้ใครไม่รู้ในห้องนั่งฟังด้วยหรอ ไม่เอาและ ไม่อยากไปศาล
ประเด็นนี้จขกท.ค่อนข้างซีเรียส เพราะจริงๆ ในกรณีแบบนี้คุณมธูสรสามารถเลือกที่จะทำการสืบพยานโดยไม่ต้องให้คุณมธุสรกับทรชนเผชิญหน้ากันก็ได้ แต่จะใช้วิธี video conference โดยคุณมธุสรจะอยู่อีกห้องนึง และสามารถถามพยานผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ได้ (มาตรา 172 ปวิอ)
นอกจากนี้ ยังสามารถขอให้ศาลดำเนินคดีโดยให้เฉพาะคนที่เกี่ยวข้องอยุ่ในห้องพิจารณาเท่านั้นได้ เพื่อตัวผู้เสียหายจะไม่อาย หรือไม่อยากพุดเรื่องถูกข่มขืนให้คนนอกฟัง (มาตรา 36 ปวิพ.ประกอบปวิอ มาตรา 15)
8.แล้วลูกล่ะ!!!
สิ่งที่ขาดหายไปซึ่งคิดว่าค่อนข้างเป็นส่วนสำคัญทีเดียวของการพิจารณาคดีคือ การสืบพยานเกี่ยวกับความผิดของ 7 ทรชน ที่ทำต่อลูกมธุสร เพราะตามกฎหมายนั้น ไม่ว่าลูกคุณมธุสรจะสมยอมหรือไม่ แค่มี sex กับเด็กก็มีความผิดแล้ว
ข้อสังเกตเล็กน้อย หากลูกคุณมธุสรจิตใจปกติและมาเบิกความ ขั้นตอนของการสืบพยานก็จะเปลี่ยนไปจากที่เห็นในละครมาก เพราะการสืบพยานเด็กมีขั้นตอนที่กฎหมายคุ้มครองตัวเด็กมาก เช่น เด็กจะได้นั่งอีกห้อง ใช้ video conference มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ หรือแม้กระทั่งใช้ vdo ที่อัดตอนชั้นสอบสวนมาเปิดได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องให้เด็กเล่าซ้ำไปมา (รายละเอียดค่อนข้างมาก อาจจะขอไม่พูดถึง)
9. ยกฟ้องเพราะจำชื่อไม่ได้!
พูดได้คำเดียวว่า หมดคำพูด เหนื่อย5555555
(ล่า 2017) ฉากในศาล ฉากต่อฉาก ละครหรือความจริง?
ออกตัวก่อนเลยว่าแค่ฉากแรกๆของเรื่องในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีในศาล จขกท.ก็ตั้งคำถามข้างในในใจ ในหมู่เพื่อนฝูงก็มาถามไถ่ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างนี้หรอ ในหมู่เพื่อนนักกฎหมายร่วมอาชีพก็ต่างคุยกันวิพากษ์วิจารณ์กันไปตามเรื่องตามราว จขกท.ก็อดทนรอ รอแล้วรออีกว่าเมื่อไหร่จะมีนักกฎหมายกล้าที่จะมาให้ความรู้ทางกฎหมาย "ที่ถูกต้อง" เสียที จนกระทั่งเมื่อวานมีอาจารย์ คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ท่านนึงออกมาโพสต์ในเฟสบุ๊คเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น วันนี้ หลังจากผ่านการคิดมาทั้งคืนว่า เราในฐานะนักกฎหมายคนนึง จะมาช่วยสร้าง "ความรู้และความเข้าใจ" ที่ถูก ที่เป็นให้กับสังคมดีไหม ซึ่งจขกท.ตอบตัวเองแทบจะทันทีว่า แม้จะมีคนอ่านกระทู้นี้จบเพียงหนึ่งคน ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว...
จขกทจึงตั้งกระทุ้นี้ขึ้นเพื่อให้ทุกท่านร่วมกันตั้งข้อสังเกต คำถาม และช่วยกันหาคำตอบไปพร้อมกัน
*จขกท.ไม่ได้ดูละครเรื่องนี้โดยตลอด แต่เลือกดูเฉพาะศาลในศาล ดังนั้นอาจจะจำชื่อตัวละครไม่ได้หมด และอาจมีเนื้อหาบางส่วนตกหล่นไป ต้องขออภัยแฟนละครทุกท่าน
** คดีทุกคดีในละครเรื่องนี้เกิดหลังปี 2557 (สังเกตุจากงานวันเเม่)
1.ห้องพิจารณาในศาล ใครเป็นใคร
ก่อนที่เราจะไปคุยกันในรายละเอียด จขกทอยากแนะนำข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวละครก่อนว่า ใครเป็นใคร มีหน้าที่อะไร ฝั่งขวา ฝั่งซ้าย ใส่ครุยทนายเหมือนกันเค้าต่างกันไหม
เริ่มแรก แน่นอนว่าบนบัลลังก์ที่ใส่ชุดครุยไม่เหมือนคนอื่น คือ ผู้พิพากษา ซึ่งเมื่อนั่งพิจารณาหลายคนพร้อมกันจะเรียกว่า "องค์คณะ" ตามกฎหมายจะกำหนดจำนวนองค์คณะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของคดี บางคดีผู้พิพากษาคนเดียวนั่งได้ บางคดี 2 คน (ซึ่งรวมถึงคดีในละคร ตามกฎหมายนั่ง 2 คนก็พอ)
ฝั่งขวามือของผู้พิพากษาเมื่อมองลงมาจากบัลลังก์คือ โจทก์ (ไม่ใช่โจทย์นะ55) โจทก์ เนี่ยในคดีอาญาถ้ารัฐเป็นคนฟ้องคือ อัยการ (คุณภูริ) แต่ถ้าประชาชนเลือกฟ้องคดีเองก็จะมีการแต่งตั้งทนายโจทก์ จะไม่มีอัยการ หน้าที่ของอัยการคร่าวๆก็คือ เป็นทนายที่ต้องพิสุจน์ความผิดของจำเลย
ส่วนฝั่งซ้ายมือคือ ทนายจำเลย ซึ่งมีหน้าที่แก้ต่างให้ตัวจำเลยว่าไม่ผิด หรือถึงผิดก็มีเหตุให้น่าลดโทษนะ ไม่ได้ร้ายแรงขนาดที่อัยการฟ้องมา (อย่างคดีคุณมธุสรมีอัตราโทษถึงประหารชีวิต กฎหมายจะบังคับว่าต่อให้จำเลยไม่มีทนาย ศาลก็ต้องหาทนายให้เสมอ (ปวิอ.มาตรา 173)
2.Ep.1-2 ฉากเปิดตัว จนถึงฉากเปิดภาพสถานที่เกิดเหตุ ep.5
ในฉากเปิดตัวการพิจารณาคดีในศาล จะเห็นได้ว่าฝั่งอัยการมีการถามคำตอบคุณมธุสแต่คุณมธุสรไม่ตอบทำให้อัยการตบโต๊ะ ความจริงแล้วในการถามพยาน การตบโต๊ะหรือแม้กระทั่งการถามพยานในเชิงข่มขู่หรือเข้าใกล้พยานมากจนเกินไปเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียส และไม่ค่อยเกิดขึ้นรุนแรงแบบในละคร ถ้ามีอัยการหรือทนายคนใดทำ ศาลจะเตือน ซึ่งถ้าพยานรู้สึกกลัวสามารถบอกศาลหรือทนายฝั่งตนได้ทันที
จขกท.ขออนุญาตข้ามมาถึงฉากที่ศาลในคดีนี้พูดในทำนองว่า "จากการไต่สวนยังขาดข้อมูลอีกหลายประเด็น ขอให้จำเลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้น" ไล่ไปจนถึงฉากที่คุณมธุสรได้เล่าเรื่องที่ตนถูกข่มขืนและมีการตัดภาพมาที่การพิจารณาคดีต่อ โดยทนายจำเลยหรือคุณมธุสรนำภาพสถานที่เกิดเหตุมาให้ดู
จขกทยอมรับว่า จขกท ค่อนข้างงงกับลำดับการพิจารณาคดีดังกล่าว และไม่รู้จะอธิบายยังไงดี555 เอาเป็นว่าในทางปฏิบัติ การถามพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นหน้าที่ของทนายแต่ละฝ่ายในการช่วยกันทำให้ศาลซึ่งเป็นคนกลางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เว้นแต่จำเลยจะไม่มีทนายจริงๆ ศาลก็จะถามให้ (แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่าคดีนี้ กฎหมายบังคับให้หาทนายให้คุณมธุสรเสมอ)
3.Ep.6 ข่มขืนภริยาไม่ผิดกฎหมาย จริงหรอ?
ในฉากการพิจารณาคดีข่มขืนของ 7 ทรชน กับคุณมธุสร เริ่มแรกเราจะเห็นศาลอ่านคำฟ้องให้จำเลยฟัง ซึ่งอันนี้ไม่รู้ว่ามีการศึกษาข้อมูลมามากน้อยแค่ไหน ถ้าทางทีมงานศึกษาข้อมูลมา ต้องขอชื่นชมที่ใส่ใจรายละเอียดเรื่องนี้ เพราะตามกฎหมาย ศาลมีหน้าที่ต้องอ่านคำฟ้องให้จำเลยฟังก่อนพิจรณาคดี (มาตรา 172 ปวิอ.) แต่สุดท้ายก็เรียกได้ว่ามาตกม้าตายเอาตอนอ่านฟ้องจริงๆ เพราะข้อหาที่ศาลอ่านเป็นข้อหา"ข่มขืนผู้อื่นที่มิใช่ภริยาตน" ซึ่งเป็นกฎหมายเดิม และปัจจุบันถูกแก้ไขแล้วตั้งแต่ปี 2550 (ถ้าจำไม่ผิด) ดังนั้น ปัจจุบันจะข่มขืนภริยาตัวเองโดยเขาไม่ยินยอม ผิดเสมอนะจ๊ะ!
***ส่วนใครจะแก้ตัวว่าคดีเกิดก่อนกฎหมายแก้ก็ไม่ได้ เพราะตามละครเกิดหลังปี 2557 (มีฉากลูกรับรางวัลวันแม่ 2557 จ้า)
4.Ep.6 ซักถาม ถามค้าน ถามติง แล้วถามอีก!?!
เรายังอยู่กับฉากพิจารณาคดีข่มขืนกันอยู่ ถ้าใครจำได้ในช่วงที่มีการสืบพยานนั้นจะเห็นทนายจำเลยของ 7 ทรชน กำลังถามค้านพยานอยู่และแถลงว่าหมดคำถาม จากนั้นอัยการก็ลุกขึ้นมาถามต่อแล้วแถลงหมดคำถาม แล้ว....อยู่ๆทนายจำเลยก็มาถามใหม่! สำหรับคนที่ไม่ได้เรียนมาทางนี้ก็อาจจะดูแล้วแบบจขกทมีปัญหาอะไร ไม่เห็นมีอะไรเลย555 ผลต่อละครคงไม่มี แต่คนทำงานด้านกฎหมายต้องมีคนร้องอุทานแบบจขกท.แน่นอน555
ในการถามพยานเนี่ย ไม่ใช่ว่าใครจะถามกี่รอบก็ได้จนกว่าจะแบบพอละเหนื่อยขี้เกียจถามละ ไม่ใช่เนอะ กฎหมายจะเขียนไว้ชัดว่าจะมีการถาม 3 รอบ คือ ซักถาม ถามค้าน(cross-examination) และถามติง (ขอไม่ลงรายละเอียดว่าแต่ละรอบเนี่ยต่างกันไง เดี๋ยวจะงง) อาจะมีการถามมากกว่านี้ได้ แต่! ต้องขออนุญาตศาลถาม ซึ่งศาลจะถามก่อนว่าจะถามอะไร จำเป็นแค่ไหน ถ้าเห็นว่าจำเป็นจริงๆก็จะอนุญาต
5.Ep.6หนึ่งในทรชนบอกว่า ผมอยู่บุรีรัมย์ครับ
จขกท.เชื่อว่าหลายคนได้ดูฉากที่ 7 ทรชน ให้การแล้วแทบจะเขวี้ยงรีโมทไปที่หน้าจอ กล้าพูดออกมาได้ไงว่าอยู่นู้นอยู่นี่ (อินๆ)
เอาจริงๆการอ้างว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเนี่ยเป็นข้ออ้างคลาสสิกอย่างหนึ่งของจำเลย มีทั้งในไทยและต่างประเทศ (alibi หรือภาษากฎหมายเรียกว่า การสู้ฐานที่อยู่) แต่ไม่ใช่ว่าสู้แบบนี้แล้วจะรอด เพราะส่วนใหญ่แล้วการสู้คดีแบบนี้ต้องมีหลักฐานแน่นมากว่าตัวเองไม่อยู่จริงๆ เช่น บอกไปบุรีรัมย์ ก็ต้องมีหลักฐานการเดินทาง มีรางวัลมาโชว์ ไม่งั้นแล้วศาลมักจะมองว่าเป็นการพูดลอยๆ ไม่น่าเชื่อถือเท่านั้น
6.Ep.6 คุณมธุสรเป็นแม่หม้ายครับ
มีฉากนึงที่คุณเต๋ากับคุณแทค (จำชื่อตัวละครไม่ได้) ให้การในทำนองว่าคุณมธุสรเป็นแม่หม้าย และพูดเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของคุณมธุสร
ความจริงแล้วนั้น การสืบในทำนองเนี่ยเหมือนจะเป็นการสืบเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของผู่เสียหาย เช่น
7. Ep.6 ทำไมต้องนั่งเผชิญหน้ากับจำเลย ทำไมคนอยู่ในห้องพิจารณาเยอะจัง
หลายคนค่อนข้างตกใจและกลัวมากหลังจากได้เห็นภาพห้องพิจารณาว่าคุณมธุสรต้องนั่งร่วมห้องกับทรชน 7 คน คนมาฟังก็เยอะต้องมานั่งเล่าเรื่องตัวเองโดนข่มขืนให้ใครไม่รู้ในห้องนั่งฟังด้วยหรอ ไม่เอาและ ไม่อยากไปศาล
ประเด็นนี้จขกท.ค่อนข้างซีเรียส เพราะจริงๆ ในกรณีแบบนี้คุณมธูสรสามารถเลือกที่จะทำการสืบพยานโดยไม่ต้องให้คุณมธุสรกับทรชนเผชิญหน้ากันก็ได้ แต่จะใช้วิธี video conference โดยคุณมธุสรจะอยู่อีกห้องนึง และสามารถถามพยานผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ได้ (มาตรา 172 ปวิอ)
นอกจากนี้ ยังสามารถขอให้ศาลดำเนินคดีโดยให้เฉพาะคนที่เกี่ยวข้องอยุ่ในห้องพิจารณาเท่านั้นได้ เพื่อตัวผู้เสียหายจะไม่อาย หรือไม่อยากพุดเรื่องถูกข่มขืนให้คนนอกฟัง (มาตรา 36 ปวิพ.ประกอบปวิอ มาตรา 15)
8.แล้วลูกล่ะ!!!
สิ่งที่ขาดหายไปซึ่งคิดว่าค่อนข้างเป็นส่วนสำคัญทีเดียวของการพิจารณาคดีคือ การสืบพยานเกี่ยวกับความผิดของ 7 ทรชน ที่ทำต่อลูกมธุสร เพราะตามกฎหมายนั้น ไม่ว่าลูกคุณมธุสรจะสมยอมหรือไม่ แค่มี sex กับเด็กก็มีความผิดแล้ว
ข้อสังเกตเล็กน้อย หากลูกคุณมธุสรจิตใจปกติและมาเบิกความ ขั้นตอนของการสืบพยานก็จะเปลี่ยนไปจากที่เห็นในละครมาก เพราะการสืบพยานเด็กมีขั้นตอนที่กฎหมายคุ้มครองตัวเด็กมาก เช่น เด็กจะได้นั่งอีกห้อง ใช้ video conference มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ หรือแม้กระทั่งใช้ vdo ที่อัดตอนชั้นสอบสวนมาเปิดได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องให้เด็กเล่าซ้ำไปมา (รายละเอียดค่อนข้างมาก อาจจะขอไม่พูดถึง)
9. ยกฟ้องเพราะจำชื่อไม่ได้!
พูดได้คำเดียวว่า หมดคำพูด เหนื่อย5555555