สัมภาษณ์พิเศษ: เปิดใจ 'ซีอีโอ' กลุ่มอินทัชองค์กร-เทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่าน
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
นับเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมไทยสำหรับกลุ่ม อินทัช บริษัทแม่ค่ายมือถือ "เอไอเอส" หากนับตั้งแต่ยังเป็น "ชินวัตร" มาถึง "ชินคอร์ป" กระทั่งปัจจุบันแม้เปลี่ยนมือเป็น "เทมาเส็ก"แต่ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในองค์กรเองคงจะชัดเจนจากปีนี้ไป ด้วยสิ้นปีนี้ผู้บริหารระดับสูงยุค ก่อตั้งถึงคิวเกษียณเกือบทั้งหมด หนึ่งในนั้นคือ "สมประสงค์ บุญยะชัย" แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธว่าองค์กรมืออาชีพ การเปลี่ยน ผู้บริหารไม่มีผลใด ๆ ทั้งมีแผนสืบทอดตำแหน่งสำคัญ ๆ ไว้อยู่แล้ว
"
ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสพูดคุยกับซีอีโอกลุ่มอินทัชหลากหลายแง่มุม ทั้งในบทบาทแม่ทัพธุรกิจ และผู้บริหารผู้มากประสบการณ์ในวงการสื่อสารไทย ดังนี้
พัฒนาการกลุ่มอินทัช
ผมทำงานที่นี่เข้าสู่ปีที่ 24 ตั้งแต่เอไอเอส มีพนักงานไม่ถึง 200 คน มองย้อนกลับไป บริษัทโตก้าวกระโดดหลายครั้ง เช่นใน ช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจเพราะมีเครดิตที่ดีทำให้โครงข่ายขยายตัวได้รวดเร็ว ประกอบกับ คนเริ่มเข้าถึงอุปกรณ์มือถือมากขึ้นจากราคาที่ลดลงมาก ต่างจากตอนเปิดใหม่ ๆ ที่ใช้เวลา 9 ปีกว่าจะได้ 1 ล้านเลขหมาย
ต้องบอกว่ารอดมาได้เพราะนโยบายอนุรักษนิยมมองว่าการเจริญเติบโตใด ๆ ควรเป็นการเจริญเติบโตอย่างมีรากฐาน
การมีผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติ
เทมาเส็กเป็นนักลงทุนระยะยาว จึงไม่มีปัญหากับการลงทุนของบริษัท หากมีการเปลี่ยนแปลง คือ การตัดสินใจในเรื่องสำคัญจะทำเป็นกระบวนการ ไม่เอาความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง มี 3 ขั้นตอน คือ 1.การทำวิจัย เพื่อทราบความเป็นมา สถิติต่าง ๆ ข้อดีข้อเสีย มีข้อเสนอแนะ 2.ใช้ทฤษฎีเข้ามาศึกษาข้อวิจัยที่ได้มา และ 3.การตัดสินใจตั้งอยู่บนเหตุผล แน่นอน อาจเสียเวลาเพิ่มขึ้น แต่จะรอบคอบมากขึ้น
บทบาทของอินทัชต่ออุตสาหกรรม
อินทัชสร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมที่ผ่านมามาก เนื่องจากพฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนไป เกิด 4 อย่างที่ผสมผสานกันได้ ซึ่งเมื่อก่อนไม่มี 1.เทเลคอม หมายถึงขีดความสามารถในการส่งข้อมูล ไปไกล เร็ว และปริมาณมาก 2.คนบริโภคคอนเทนต์มากขึ้น จากสมัยก่อนแค่รับสายโทร. 3.ด้านไอทีและแอปพลิเคชั่น และ 4.สมาร์ทดีไวซ์
ฟิกซ์บรอดแบนด์รองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เอไอเอสมีไวร์เลสแล้ว แต่มนุษย์มีพฤติกรรม 3 อย่าง คือ อยู่กับบ้าน, เดินทาง และทำงาน ทำให้เราตัดสินใจลงทุน เพราะมีความพร้อม จากโครงข่ายไฟเบอร์ที่มี 1.3-1.4 แสนกิโลเมตรทั่วประเทศที่ต่อสายเข้าไปยังผู้ใช้งานได้เลย
สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในยุคต่อไปที่ผมวางไว้ มี 9 อย่าง อยู่ที่เอไอเอส 4 อย่าง คือ 1.บริการ 3G บนคลื่น 2100 MHz 2.บริการ 4G 3.บรอดแบนด์ และ 4.คอนเวอร์เจนซ์
ถัดมาจะอยู่ที่ไทยคม คือ 1.ใบอนุญาตดาวเทียม อีก 1 อยู่ที่ซีเอส ล็อกซอินโฟ คือ คลาวด์คอมพิวติ้ง
อีก 3 อย่างอยู่ที่อินทัช คือ 1.กองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) 2.ทีวีดิจิทัล ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น "Video Content Distribution" และ 4.ดิจิทัลคอนเทนต์ แบ่งเป็นอีคอมเมิร์ซ, อีเพย์เมนต์ และโฮมช็อปปิ้ง
การประมูล 4G
คิดว่าน่าจะดุเดือดกว่าครั้งก่อน เพราะความรู้แพร่เร็ว สมัยก่อนความรู้แพร่ช้า การได้มาของความรู้เร็ว ถือเป็นอาวุธหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำให้รายใหม่มั่นใจ ทั้งความรู้เรื่องตลาด, เทคโนโลยี, บริบทสังคม ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชั่น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ บวกกับความเชื่อมั่นของสังคมจะเห็นว่าบริษัทใหม่ ๆ ในช่วง 10 ปี เกิดขึ้นเกิดจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น เฟซบุ๊ก, อาลีบาบา, อูเบอร์ ซึ่งสมัยก่อนไม่มี พวกนี้เป็นสิ่งที่บริษัทรุ่นใหม่กล้า และพร้อมตัดสินใจ ขณะนี้เห็นแค่แจสโมบายเป็นรายใหม่ รายเดียว แต่การประมูลต้องใช้เงินเยอะ แม้จะมีความคิดที่ดี แต่ต้องแสวงหาแหล่งเงิน
เงินที่ว่าแบ่งเป็น 2 ก้อน 1.ค่าใบอนุญาตหลักหมื่นล้านบาท 2.การสร้างโครงข่าย ซึ่งต้องใช้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ถึงจะมีขนาดโครงข่ายที่เหมาะสม
การประมูลคลื่นเป็นสิ่งที่ดี เพราะ 1.ความถี่เป็นทรัพยากรของชาติที่ถ้าใช้ก็จะเกิดประโยชน์ ความถี่ใช้งานไม่สูญเปล่า เพราะใช้เทคโนโลยีใหม่ได้ 2.เกิดการสร้างงานทั้งในโทรคมนาคม และธุรกิจอื่น ๆ เรื่องภาษี ส่งเสริมการแข่งขันที่ดีขึ้น และ 3.ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะประเทศอื่นก้าวเข้าสู่ 4G แล้ว
การสืบทอดตำแหน่งภายในองค์กร
บริษัทเตรียมพร้อมคัดเลือกผู้ที่จะเป็นตัวแทนไว้แล้ว คิดว่าไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันใด
ยังสนใจธุรกิจทีวีดิจิทัลอยู่ไหม
ยังติดตามอยู่ ปีครึ่งที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนมาก อินเทอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง การโฆษณาเปลี่ยน ปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ชนะประมูลมาติดต่อให้เราซื้อบริษัท แต่เราไม่รีบ มองว่ายังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กว่าจะนิ่งคงอีกสักปีครึ่ง ในอดีตคนดูโทรทัศน์ตามเวลาของโทรทัศน์ แต่ปัจจุบันดูตามสะดวก
สภาพเศรษฐกิจปีนี้และสิ่งที่ต้องทำ
เศรษฐกิจปัจจุบันไม่ดีนัก ส่งออกติดลบ การลงทุนยังน้อย การใช้จ่ายในประเทศยังไม่ค่อยดี รัฐต้องหมุนเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น เพื่อสร้างงานมากขึ้น และทำให้มีการใช้จ่าย ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการ กระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐ
ในส่วนอินทัชหลังผ่านวิกฤต 2540 และปี 2551 เป็นต้นมา เราทำตัวเป็นเครื่องมือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจให้รอดจากวิกฤต ธุรกิจเราเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเอ็นเตอร์เทนเมนต์ และอื่น ๆ จึงยังเติบโต สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือ การเข้าใจความต้องการของลูกค้า ต้องมีความรู้เพิ่ม เพื่อพยากรณ์ลูกค้าให้ได้ว่า เขาต้องการอะไร เพื่อที่จะนำของไปนำเสนอในสิ่งที่คิดว่าจำเป็นได้ บริษัทไม่ชะลอการลงทุน เพราะทุกเรื่องที่ทำเป็นเรื่องอนาคต สิ่งที่จะทำคือสร้างโครงข่ายให้เร็ว มีแอปพลิเคชั่นใหม่ ที่พร้อมให้บริการ เพิ่มการลงทุนในสตาร์ตอัพ สร้างคลาวด์คอมพิวติ้ง และ Video Content Distribution เป็นผู้ที่เข้าใจผู้ชมแล้วไปหาคอนเทนต์มารองรับ
นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล
แยกเป็น 2 ส่วน คือ 1.เศรษฐกิจ คือ การผลิตและการบริโภค สมัยก่อนบรรจบกันที่คนซื้อของกับร้านค้า 2.ดิจิทัล มาเป็นเครื่องมือมากขึ้น เช่น ด้านคอมเมิร์ซ ทั้งอีเพย์เมนต์และโลจิสติกส์ จะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น คือ ดิจิทัลมันนี่ แต่ที่สำคัญคือต้องมี ผู้กำกับคือรัฐบาล มีกฎหมายที่ทันสมัยโดยไม่ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
บิ๊กดาต้าต้องเกิดขึ้นในภาครัฐ การบริหารการตัดสินใจวางแผนระยะสั้นยาวเชื่อว่าจะทำให้กระบวนการผลิตของประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น และไปถึงจุดที่ประเทศไปลงทุนประเทศอื่นได้ ไม่ใช่รอให้แต่ละประเทศมาลงทุนอย่างเดียว
โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นแนวคิดดี แต่มีสิ่งที่รัฐต้องทำเยอะมาก ฉะนั้นกระทรวงไอซีที ต้องวางแผนให้ดี เพื่อประสานกระทรวงอื่น ๆ สิ่งสำคัญ คือ ทำอย่างไร และทำอะไรบ้าง
"
ธุรกิจเราเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเอ็นเตอร์เทนเมนต์ และอื่น ๆ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือ เข้าใจความต้องการลูกค้า เพื่อที่จะนำของไปนำเสนอ"
ขอขอบคุณแหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 (หน้า 32)
สัมภาษณ์พิเศษ: เปิดใจ 'ซีอีโอ' กลุ่มอินทัชองค์กร-เทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่าน
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
นับเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมไทยสำหรับกลุ่ม อินทัช บริษัทแม่ค่ายมือถือ "เอไอเอส" หากนับตั้งแต่ยังเป็น "ชินวัตร" มาถึง "ชินคอร์ป" กระทั่งปัจจุบันแม้เปลี่ยนมือเป็น "เทมาเส็ก"แต่ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในองค์กรเองคงจะชัดเจนจากปีนี้ไป ด้วยสิ้นปีนี้ผู้บริหารระดับสูงยุค ก่อตั้งถึงคิวเกษียณเกือบทั้งหมด หนึ่งในนั้นคือ "สมประสงค์ บุญยะชัย" แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธว่าองค์กรมืออาชีพ การเปลี่ยน ผู้บริหารไม่มีผลใด ๆ ทั้งมีแผนสืบทอดตำแหน่งสำคัญ ๆ ไว้อยู่แล้ว
"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสพูดคุยกับซีอีโอกลุ่มอินทัชหลากหลายแง่มุม ทั้งในบทบาทแม่ทัพธุรกิจ และผู้บริหารผู้มากประสบการณ์ในวงการสื่อสารไทย ดังนี้
พัฒนาการกลุ่มอินทัช
ผมทำงานที่นี่เข้าสู่ปีที่ 24 ตั้งแต่เอไอเอส มีพนักงานไม่ถึง 200 คน มองย้อนกลับไป บริษัทโตก้าวกระโดดหลายครั้ง เช่นใน ช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจเพราะมีเครดิตที่ดีทำให้โครงข่ายขยายตัวได้รวดเร็ว ประกอบกับ คนเริ่มเข้าถึงอุปกรณ์มือถือมากขึ้นจากราคาที่ลดลงมาก ต่างจากตอนเปิดใหม่ ๆ ที่ใช้เวลา 9 ปีกว่าจะได้ 1 ล้านเลขหมาย
ต้องบอกว่ารอดมาได้เพราะนโยบายอนุรักษนิยมมองว่าการเจริญเติบโตใด ๆ ควรเป็นการเจริญเติบโตอย่างมีรากฐาน
การมีผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติ
เทมาเส็กเป็นนักลงทุนระยะยาว จึงไม่มีปัญหากับการลงทุนของบริษัท หากมีการเปลี่ยนแปลง คือ การตัดสินใจในเรื่องสำคัญจะทำเป็นกระบวนการ ไม่เอาความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง มี 3 ขั้นตอน คือ 1.การทำวิจัย เพื่อทราบความเป็นมา สถิติต่าง ๆ ข้อดีข้อเสีย มีข้อเสนอแนะ 2.ใช้ทฤษฎีเข้ามาศึกษาข้อวิจัยที่ได้มา และ 3.การตัดสินใจตั้งอยู่บนเหตุผล แน่นอน อาจเสียเวลาเพิ่มขึ้น แต่จะรอบคอบมากขึ้น
บทบาทของอินทัชต่ออุตสาหกรรม
อินทัชสร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมที่ผ่านมามาก เนื่องจากพฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนไป เกิด 4 อย่างที่ผสมผสานกันได้ ซึ่งเมื่อก่อนไม่มี 1.เทเลคอม หมายถึงขีดความสามารถในการส่งข้อมูล ไปไกล เร็ว และปริมาณมาก 2.คนบริโภคคอนเทนต์มากขึ้น จากสมัยก่อนแค่รับสายโทร. 3.ด้านไอทีและแอปพลิเคชั่น และ 4.สมาร์ทดีไวซ์
ฟิกซ์บรอดแบนด์รองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เอไอเอสมีไวร์เลสแล้ว แต่มนุษย์มีพฤติกรรม 3 อย่าง คือ อยู่กับบ้าน, เดินทาง และทำงาน ทำให้เราตัดสินใจลงทุน เพราะมีความพร้อม จากโครงข่ายไฟเบอร์ที่มี 1.3-1.4 แสนกิโลเมตรทั่วประเทศที่ต่อสายเข้าไปยังผู้ใช้งานได้เลย
สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในยุคต่อไปที่ผมวางไว้ มี 9 อย่าง อยู่ที่เอไอเอส 4 อย่าง คือ 1.บริการ 3G บนคลื่น 2100 MHz 2.บริการ 4G 3.บรอดแบนด์ และ 4.คอนเวอร์เจนซ์
ถัดมาจะอยู่ที่ไทยคม คือ 1.ใบอนุญาตดาวเทียม อีก 1 อยู่ที่ซีเอส ล็อกซอินโฟ คือ คลาวด์คอมพิวติ้ง
อีก 3 อย่างอยู่ที่อินทัช คือ 1.กองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) 2.ทีวีดิจิทัล ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น "Video Content Distribution" และ 4.ดิจิทัลคอนเทนต์ แบ่งเป็นอีคอมเมิร์ซ, อีเพย์เมนต์ และโฮมช็อปปิ้ง
การประมูล 4G
คิดว่าน่าจะดุเดือดกว่าครั้งก่อน เพราะความรู้แพร่เร็ว สมัยก่อนความรู้แพร่ช้า การได้มาของความรู้เร็ว ถือเป็นอาวุธหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำให้รายใหม่มั่นใจ ทั้งความรู้เรื่องตลาด, เทคโนโลยี, บริบทสังคม ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชั่น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ บวกกับความเชื่อมั่นของสังคมจะเห็นว่าบริษัทใหม่ ๆ ในช่วง 10 ปี เกิดขึ้นเกิดจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น เฟซบุ๊ก, อาลีบาบา, อูเบอร์ ซึ่งสมัยก่อนไม่มี พวกนี้เป็นสิ่งที่บริษัทรุ่นใหม่กล้า และพร้อมตัดสินใจ ขณะนี้เห็นแค่แจสโมบายเป็นรายใหม่ รายเดียว แต่การประมูลต้องใช้เงินเยอะ แม้จะมีความคิดที่ดี แต่ต้องแสวงหาแหล่งเงิน
เงินที่ว่าแบ่งเป็น 2 ก้อน 1.ค่าใบอนุญาตหลักหมื่นล้านบาท 2.การสร้างโครงข่าย ซึ่งต้องใช้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ถึงจะมีขนาดโครงข่ายที่เหมาะสม
การประมูลคลื่นเป็นสิ่งที่ดี เพราะ 1.ความถี่เป็นทรัพยากรของชาติที่ถ้าใช้ก็จะเกิดประโยชน์ ความถี่ใช้งานไม่สูญเปล่า เพราะใช้เทคโนโลยีใหม่ได้ 2.เกิดการสร้างงานทั้งในโทรคมนาคม และธุรกิจอื่น ๆ เรื่องภาษี ส่งเสริมการแข่งขันที่ดีขึ้น และ 3.ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะประเทศอื่นก้าวเข้าสู่ 4G แล้ว
การสืบทอดตำแหน่งภายในองค์กร
บริษัทเตรียมพร้อมคัดเลือกผู้ที่จะเป็นตัวแทนไว้แล้ว คิดว่าไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันใด
ยังสนใจธุรกิจทีวีดิจิทัลอยู่ไหม
ยังติดตามอยู่ ปีครึ่งที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนมาก อินเทอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง การโฆษณาเปลี่ยน ปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ชนะประมูลมาติดต่อให้เราซื้อบริษัท แต่เราไม่รีบ มองว่ายังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กว่าจะนิ่งคงอีกสักปีครึ่ง ในอดีตคนดูโทรทัศน์ตามเวลาของโทรทัศน์ แต่ปัจจุบันดูตามสะดวก
สภาพเศรษฐกิจปีนี้และสิ่งที่ต้องทำ
เศรษฐกิจปัจจุบันไม่ดีนัก ส่งออกติดลบ การลงทุนยังน้อย การใช้จ่ายในประเทศยังไม่ค่อยดี รัฐต้องหมุนเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น เพื่อสร้างงานมากขึ้น และทำให้มีการใช้จ่าย ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการ กระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐ
ในส่วนอินทัชหลังผ่านวิกฤต 2540 และปี 2551 เป็นต้นมา เราทำตัวเป็นเครื่องมือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจให้รอดจากวิกฤต ธุรกิจเราเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเอ็นเตอร์เทนเมนต์ และอื่น ๆ จึงยังเติบโต สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือ การเข้าใจความต้องการของลูกค้า ต้องมีความรู้เพิ่ม เพื่อพยากรณ์ลูกค้าให้ได้ว่า เขาต้องการอะไร เพื่อที่จะนำของไปนำเสนอในสิ่งที่คิดว่าจำเป็นได้ บริษัทไม่ชะลอการลงทุน เพราะทุกเรื่องที่ทำเป็นเรื่องอนาคต สิ่งที่จะทำคือสร้างโครงข่ายให้เร็ว มีแอปพลิเคชั่นใหม่ ที่พร้อมให้บริการ เพิ่มการลงทุนในสตาร์ตอัพ สร้างคลาวด์คอมพิวติ้ง และ Video Content Distribution เป็นผู้ที่เข้าใจผู้ชมแล้วไปหาคอนเทนต์มารองรับ
นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล
แยกเป็น 2 ส่วน คือ 1.เศรษฐกิจ คือ การผลิตและการบริโภค สมัยก่อนบรรจบกันที่คนซื้อของกับร้านค้า 2.ดิจิทัล มาเป็นเครื่องมือมากขึ้น เช่น ด้านคอมเมิร์ซ ทั้งอีเพย์เมนต์และโลจิสติกส์ จะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น คือ ดิจิทัลมันนี่ แต่ที่สำคัญคือต้องมี ผู้กำกับคือรัฐบาล มีกฎหมายที่ทันสมัยโดยไม่ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
บิ๊กดาต้าต้องเกิดขึ้นในภาครัฐ การบริหารการตัดสินใจวางแผนระยะสั้นยาวเชื่อว่าจะทำให้กระบวนการผลิตของประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น และไปถึงจุดที่ประเทศไปลงทุนประเทศอื่นได้ ไม่ใช่รอให้แต่ละประเทศมาลงทุนอย่างเดียว
โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นแนวคิดดี แต่มีสิ่งที่รัฐต้องทำเยอะมาก ฉะนั้นกระทรวงไอซีที ต้องวางแผนให้ดี เพื่อประสานกระทรวงอื่น ๆ สิ่งสำคัญ คือ ทำอย่างไร และทำอะไรบ้าง
"ธุรกิจเราเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเอ็นเตอร์เทนเมนต์ และอื่น ๆ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือ เข้าใจความต้องการลูกค้า เพื่อที่จะนำของไปนำเสนอ"
ขอขอบคุณแหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 (หน้า 32)