ปธ.กทค.การันตีประมูลคลื่นปลอดฮั้วไม่ขวางอัพเกรด2.3GHz-ชง'ไอซีที'คุมดาวเทียม
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ประธาน "กทค." การันตีเอง ประมูลคลื่นใหม่ 4G ปลอด "ฮั้ว" ส่งเสริมการแข่งขันดึงเงินเข้าประเทศทะลุ 4 แสนล้าน ไม่แพ้ 3G ย้ำถ้าพบความผิดปกติสั่งล้มประมูลได้ทันที คาดยักษ์มือถือสู้ยิบตาชิงคลื่น แต่ไม่เลือดสาดเท่า "ทีวีดิจิทัล" เปิดทาง "ทีโอที" อัพเกรดคลื่น 2300 MHz ตามสิทธิ์ ทั้งชงรัฐบาลขีดเส้นให้ชัดบทบาท "กสทช." โยกภารกิจดูแลการใช้ "อินเทอร์เน็ต-ดาวเทียม" ให้ไอซีที
พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทค.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การประมูลคลื่น 1800 MHz และ 900 MHz ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 11 และ 12 พ.ย.นี้ เป็นงานสำคัญของปีนี้ เพื่อจัดสรรทรัพยากรคลื่นความถี่ให้มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อ ความต้องการใช้งาน และจะเป็นการประมูลครั้งสุดท้ายในรอบ 2 ปีนี้สำหรับคลื่นภายใต้ สัมปทาน เพราะครั้งถัดไปต้องรอถึงปี 2561 จะมีคลื่นมาประมูลได้อีก จากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานระหว่าง บมจ.กสท โทรคมนาคม (แคท) กับดีแทคในวันที่ 14 พ.ย. 2561
"จากนี้จะไม่มีคลื่นในสัมปทานหรือ คลื่นอื่นที่จะดึงมาจัดประมูลได้ เพราะ 2600 MHz อยู่ในฝั่งบรอดแคสต์ ไม่เกี่ยวกับ กทค. ส่วน 2300 MHz อยู่กับทีโอที ซึ่ง ทีโอทียื่นขอปรับปรุงซึ่งคงต้องดูรายละเอียด ที่จะเสนอมา เพราะทีโอทีมีสิทธิ์ในคลื่นนี้ หากขอปรับปรุงการใช้คลื่นให้มีประสิทธิภาพขึ้น กทค.ก็ต้องอนุมัติ"
สำหรับกระบวนการจัดประมูลคลื่น 4G ทั้ง 1800 และ 900 MHz ตนยืนยันว่า ได้วางขั้นตอนเพื่อป้องกันการฮั้วประมูลไว้อย่างรอบคอบ และได้แต่งตั้งคณะกรรมการธรรมาภิบาลการประมูลคลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคมย่าน 1800 MHz และ 900 MHz เพื่อให้มีการตรวจสอบการประมูลให้มีความโปร่งใส โดยมีประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นประธาน และพร้อมยกเลิกการประมูลทันทีหากมีพฤติกรรมส่อว่าจะฮั้วประมูล
"การประมูลหนนี้ยากที่จะฮั้ว เพราะคลื่น 2100 MHz ที่แต่ละรายถืออยู่ใช้เต็มกันหมดแล้ว มีเอไอเอสเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะไม่มีคลื่นแล้วจึงต้องทำทุกทางเพื่อประมูลให้ได้ ไม่มีทางฮั้วแบ่งกับรายอื่นแน่และหนนี้เราย้ำชัดว่า ถ้ามีฮั้วก็จะยกเลิกแล้วนับหนึ่งใหม่ ซึ่งจะใช้เวลา ไม่ต่ำกว่า 1 เดือนถึงจะจัดประมูลใหม่ ทำให้คาดว่า การประมูลครั้งนี้จะมีการแข่งขันราคากันแน่นอน แต่คงไม่สูงมากเหมือนการประมูลทีวีดิจิทัล เพราะอุตสาหกรรมนี้ ผู้ประกอบการต่างมีประสบการณ์จึงประเมินสภาพตลาด และแผนการลงทุนไว้ทำให้มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าแต่ละใบอนุญาตจะสู้ราคาถึงระดับไหน และพร้อมจะหยุดประมูลทันทีหากเกินที่คิดว่าคุ้มทุน"
ส่วนการยื้อคืนคลื่นของ บมจ.ทีโอที และแคท เชื่อว่าไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ จะทำให้การประมูลไม่เกิด เพราะมีการหารือนักกฎหมายอย่างรอบคอบแล้วแต่ หากสุดท้ายทั้งคู่ยื่นฟ้องแล้วศาลมีคำสั่งให้ระงับการประมูลก็ต้องปฏิบัติตาม ขณะที่การพิจารณาอัพเกรดคลื่น 2300 MHz ของ "ทีโอที" ที่มีการกล่าวอ้างว่าจะดำเนินการเพื่อไม่ให้มีการฟ้องล้มประมูลนั้นตนยืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
"เราไม่ได้มีแผนสำรองอะไรไว้ ถ้าศาลสั่งให้หยุด ก็ต้องหยุด แต่ประเทศจะเสียประโยชน์"
พ.อ.เศรษฐพงค์กล่าวต่อว่าในการประมูลคลื่น 2100 MHz ที่ผ่านมา เฉพาะในปี 2556 ได้สร้างรายได้ทางตรงเป็นเงินราว 179,359 ล้านบาท และเกิดประโยชน์ทางอื่น ๆ เป็นทวีคูณทางเศรษฐกิจอีกราว 289,409 ล้านบาท หากการประมูล 4G ไม่เกิดขึ้นในปลายปีนี้จะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการประมูล 3G ที่ผ่านมา
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.กล่าวว่า การประมูล 4G ยังเป็นไปตามแผนเดิม แต่การยกเลิกมีโอกาสเกิดขึ้นได้หาก กสทช.พบว่า มีข้อสงสัยว่าอาจมีการฮั้วประมูล ซึ่งหากพบว่าฮั้วจริงจะเอาผิดถึงขั้นถอนใบอนุญาตประกอบการกิจการที่ถืออยู่ในปัจจุบันด้วย เพราะเท่ากับมีพฤติกรรมทุจริตทำให้รัฐเสียหาย ซึ่งถือว่าขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้รับใบอนุญาต
"ไม่ว่าก่อนหรือระหว่างการประมูล หากมีพฤติกรรมหรือข่าวว่าจะมีการสมยอมราคา จะมีการตั้งกรรมการสอบทันที รวมถึงกรณีที่จบประมูลด้วยราคาต่ำกว่ามูลค่าคลื่น ส่วนราคาสิ้นสุดการประมูลในครั้งนี้ มั่นใจว่าจะสูงกว่ามูลค่าคลื่น แต่คงไม่แข่งขันดุเดือดจนต้องเคาะราคาข้ามวัน หากเริ่มประมูล 09.00 น. แล้วเคาะราคาไปเรื่อย ๆ ถึง 18.00 น. ราคาก็จะพุ่งไปถึงราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งโอเปอเรเตอร์ แต่ละรายย่อมต้องกันเงินไว้สำหรับลงทุนโครงข่ายด้วย"
พ.อ.เศรษฐพงค์กล่าวด้วยว่า กสทช. ได้ทำข้อเสนอถึงรัฐบาลเพื่อให้มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ และสถานะที่ชัดเจนของ กสทช. เพื่อแก้ปัญหาการทำงานที่ ทับซ้อนกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) รวมถึงการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ. กสทช.ด้วย เช่น กรณีบริการอินเทอร์เน็ตที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นมากควรจะมีการกำกับดูแลการใช้งานอย่างชัดเจน อาทิ ให้ไอซีทีเป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับคอนเทนต์ การดำเนินการตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วน กสทช. ควรมีหน้าที่เฉพาะการออกไลเซนส์และการกำกับราคารวมถึงคุณภาพบริการ เพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภค
ขณะที่กิจการดาวเทียมก็ให้ไอซีทีเป็นผู้ออกใบอนุญาตและดูแลการใช้วงโคจร ส่วน กสทช. กำหนดเฉพาะคุณภาพบริการ
นอกจากนี้ ในการปรับปรุง พ.ร.บ. กสทช.ได้ขอให้รัฐบาลกำหนดสถานะของ กสทช.ให้ชัดเจนว่าจะให้เป็นองค์กรใน รูปแบบใด เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่าเป็นองค์กรพิเศษที่มีอำนาจมากเกินไป
"ที่ผ่านมา กสทช. ถูกออกแบบให้เป็นองค์กรอิสระ แต่พอปฏิบัติตามแนวทางที่กฎหมายกำหนดกลับถูกครหาว่าปฏิบัติไม่เหมาะสมจึงอยากให้รัฐบาลกำหนดให้ชัดว่าจะเอาอย่างไรแน่ หากต้องการให้กลับไปเป็นหน่วยงานราชการก็พร้อมปฏิบัติตาม เพียงแต่จะเป็นองค์กรกำกับดูแลอุตสาหกรรมที่ต่างกับประเทศอื่นที่ล้วนเป็นองค์กรอิสระเท่านั้น"
เช่นเดียวกับการจัดสรรคลื่นความถี่ หากต้องการให้ กสทช.ดำเนินการอย่างไรก็ขอให้ระบุให้ชัดเจนในกฎหมาย เพราะ ที่ผ่านมาระบุว่าให้จัดสรรด้วยการประมูลตาม หลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ กสทช.กำหนด แต่ หลายฝ่ายมองว่าเป็นปัญหา และที่สำคัญคือ ไม่ควรแบ่งแยกเป็นฝั่งโทรคมนาคมกับ บรอดแคสต์เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันหลอมรวมกันแล้ว ไม่สามารถแบ่งแยกแบบเดิมได้
ขอขอบคุณแหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558 (หน้า 28 , 32)
ปธ.กทค.การันตีประมูลคลื่นปลอดฮั้วไม่ขวางอัพเกรด2.3GHz-ชง'ไอซีที'คุมดาวเทียม
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ประธาน "กทค." การันตีเอง ประมูลคลื่นใหม่ 4G ปลอด "ฮั้ว" ส่งเสริมการแข่งขันดึงเงินเข้าประเทศทะลุ 4 แสนล้าน ไม่แพ้ 3G ย้ำถ้าพบความผิดปกติสั่งล้มประมูลได้ทันที คาดยักษ์มือถือสู้ยิบตาชิงคลื่น แต่ไม่เลือดสาดเท่า "ทีวีดิจิทัล" เปิดทาง "ทีโอที" อัพเกรดคลื่น 2300 MHz ตามสิทธิ์ ทั้งชงรัฐบาลขีดเส้นให้ชัดบทบาท "กสทช." โยกภารกิจดูแลการใช้ "อินเทอร์เน็ต-ดาวเทียม" ให้ไอซีที
พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทค.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การประมูลคลื่น 1800 MHz และ 900 MHz ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 11 และ 12 พ.ย.นี้ เป็นงานสำคัญของปีนี้ เพื่อจัดสรรทรัพยากรคลื่นความถี่ให้มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อ ความต้องการใช้งาน และจะเป็นการประมูลครั้งสุดท้ายในรอบ 2 ปีนี้สำหรับคลื่นภายใต้ สัมปทาน เพราะครั้งถัดไปต้องรอถึงปี 2561 จะมีคลื่นมาประมูลได้อีก จากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานระหว่าง บมจ.กสท โทรคมนาคม (แคท) กับดีแทคในวันที่ 14 พ.ย. 2561
"จากนี้จะไม่มีคลื่นในสัมปทานหรือ คลื่นอื่นที่จะดึงมาจัดประมูลได้ เพราะ 2600 MHz อยู่ในฝั่งบรอดแคสต์ ไม่เกี่ยวกับ กทค. ส่วน 2300 MHz อยู่กับทีโอที ซึ่ง ทีโอทียื่นขอปรับปรุงซึ่งคงต้องดูรายละเอียด ที่จะเสนอมา เพราะทีโอทีมีสิทธิ์ในคลื่นนี้ หากขอปรับปรุงการใช้คลื่นให้มีประสิทธิภาพขึ้น กทค.ก็ต้องอนุมัติ"
สำหรับกระบวนการจัดประมูลคลื่น 4G ทั้ง 1800 และ 900 MHz ตนยืนยันว่า ได้วางขั้นตอนเพื่อป้องกันการฮั้วประมูลไว้อย่างรอบคอบ และได้แต่งตั้งคณะกรรมการธรรมาภิบาลการประมูลคลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคมย่าน 1800 MHz และ 900 MHz เพื่อให้มีการตรวจสอบการประมูลให้มีความโปร่งใส โดยมีประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นประธาน และพร้อมยกเลิกการประมูลทันทีหากมีพฤติกรรมส่อว่าจะฮั้วประมูล
"การประมูลหนนี้ยากที่จะฮั้ว เพราะคลื่น 2100 MHz ที่แต่ละรายถืออยู่ใช้เต็มกันหมดแล้ว มีเอไอเอสเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะไม่มีคลื่นแล้วจึงต้องทำทุกทางเพื่อประมูลให้ได้ ไม่มีทางฮั้วแบ่งกับรายอื่นแน่และหนนี้เราย้ำชัดว่า ถ้ามีฮั้วก็จะยกเลิกแล้วนับหนึ่งใหม่ ซึ่งจะใช้เวลา ไม่ต่ำกว่า 1 เดือนถึงจะจัดประมูลใหม่ ทำให้คาดว่า การประมูลครั้งนี้จะมีการแข่งขันราคากันแน่นอน แต่คงไม่สูงมากเหมือนการประมูลทีวีดิจิทัล เพราะอุตสาหกรรมนี้ ผู้ประกอบการต่างมีประสบการณ์จึงประเมินสภาพตลาด และแผนการลงทุนไว้ทำให้มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าแต่ละใบอนุญาตจะสู้ราคาถึงระดับไหน และพร้อมจะหยุดประมูลทันทีหากเกินที่คิดว่าคุ้มทุน"
ส่วนการยื้อคืนคลื่นของ บมจ.ทีโอที และแคท เชื่อว่าไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ จะทำให้การประมูลไม่เกิด เพราะมีการหารือนักกฎหมายอย่างรอบคอบแล้วแต่ หากสุดท้ายทั้งคู่ยื่นฟ้องแล้วศาลมีคำสั่งให้ระงับการประมูลก็ต้องปฏิบัติตาม ขณะที่การพิจารณาอัพเกรดคลื่น 2300 MHz ของ "ทีโอที" ที่มีการกล่าวอ้างว่าจะดำเนินการเพื่อไม่ให้มีการฟ้องล้มประมูลนั้นตนยืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
"เราไม่ได้มีแผนสำรองอะไรไว้ ถ้าศาลสั่งให้หยุด ก็ต้องหยุด แต่ประเทศจะเสียประโยชน์"
พ.อ.เศรษฐพงค์กล่าวต่อว่าในการประมูลคลื่น 2100 MHz ที่ผ่านมา เฉพาะในปี 2556 ได้สร้างรายได้ทางตรงเป็นเงินราว 179,359 ล้านบาท และเกิดประโยชน์ทางอื่น ๆ เป็นทวีคูณทางเศรษฐกิจอีกราว 289,409 ล้านบาท หากการประมูล 4G ไม่เกิดขึ้นในปลายปีนี้จะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการประมูล 3G ที่ผ่านมา
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.กล่าวว่า การประมูล 4G ยังเป็นไปตามแผนเดิม แต่การยกเลิกมีโอกาสเกิดขึ้นได้หาก กสทช.พบว่า มีข้อสงสัยว่าอาจมีการฮั้วประมูล ซึ่งหากพบว่าฮั้วจริงจะเอาผิดถึงขั้นถอนใบอนุญาตประกอบการกิจการที่ถืออยู่ในปัจจุบันด้วย เพราะเท่ากับมีพฤติกรรมทุจริตทำให้รัฐเสียหาย ซึ่งถือว่าขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้รับใบอนุญาต
"ไม่ว่าก่อนหรือระหว่างการประมูล หากมีพฤติกรรมหรือข่าวว่าจะมีการสมยอมราคา จะมีการตั้งกรรมการสอบทันที รวมถึงกรณีที่จบประมูลด้วยราคาต่ำกว่ามูลค่าคลื่น ส่วนราคาสิ้นสุดการประมูลในครั้งนี้ มั่นใจว่าจะสูงกว่ามูลค่าคลื่น แต่คงไม่แข่งขันดุเดือดจนต้องเคาะราคาข้ามวัน หากเริ่มประมูล 09.00 น. แล้วเคาะราคาไปเรื่อย ๆ ถึง 18.00 น. ราคาก็จะพุ่งไปถึงราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งโอเปอเรเตอร์ แต่ละรายย่อมต้องกันเงินไว้สำหรับลงทุนโครงข่ายด้วย"
พ.อ.เศรษฐพงค์กล่าวด้วยว่า กสทช. ได้ทำข้อเสนอถึงรัฐบาลเพื่อให้มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ และสถานะที่ชัดเจนของ กสทช. เพื่อแก้ปัญหาการทำงานที่ ทับซ้อนกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) รวมถึงการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ. กสทช.ด้วย เช่น กรณีบริการอินเทอร์เน็ตที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นมากควรจะมีการกำกับดูแลการใช้งานอย่างชัดเจน อาทิ ให้ไอซีทีเป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับคอนเทนต์ การดำเนินการตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วน กสทช. ควรมีหน้าที่เฉพาะการออกไลเซนส์และการกำกับราคารวมถึงคุณภาพบริการ เพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภค
ขณะที่กิจการดาวเทียมก็ให้ไอซีทีเป็นผู้ออกใบอนุญาตและดูแลการใช้วงโคจร ส่วน กสทช. กำหนดเฉพาะคุณภาพบริการ
นอกจากนี้ ในการปรับปรุง พ.ร.บ. กสทช.ได้ขอให้รัฐบาลกำหนดสถานะของ กสทช.ให้ชัดเจนว่าจะให้เป็นองค์กรใน รูปแบบใด เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่าเป็นองค์กรพิเศษที่มีอำนาจมากเกินไป
"ที่ผ่านมา กสทช. ถูกออกแบบให้เป็นองค์กรอิสระ แต่พอปฏิบัติตามแนวทางที่กฎหมายกำหนดกลับถูกครหาว่าปฏิบัติไม่เหมาะสมจึงอยากให้รัฐบาลกำหนดให้ชัดว่าจะเอาอย่างไรแน่ หากต้องการให้กลับไปเป็นหน่วยงานราชการก็พร้อมปฏิบัติตาม เพียงแต่จะเป็นองค์กรกำกับดูแลอุตสาหกรรมที่ต่างกับประเทศอื่นที่ล้วนเป็นองค์กรอิสระเท่านั้น"
เช่นเดียวกับการจัดสรรคลื่นความถี่ หากต้องการให้ กสทช.ดำเนินการอย่างไรก็ขอให้ระบุให้ชัดเจนในกฎหมาย เพราะ ที่ผ่านมาระบุว่าให้จัดสรรด้วยการประมูลตาม หลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ กสทช.กำหนด แต่ หลายฝ่ายมองว่าเป็นปัญหา และที่สำคัญคือ ไม่ควรแบ่งแยกเป็นฝั่งโทรคมนาคมกับ บรอดแคสต์เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันหลอมรวมกันแล้ว ไม่สามารถแบ่งแยกแบบเดิมได้
ขอขอบคุณแหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558 (หน้า 28 , 32)