ขอนำประสบการณ์เลวร้ายมาโพส เพื่อให้เพื่อน ๆ ทุกคนระวังตัวค่ะ เพราะไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแปลก ๆ อยู่หลายส่วนงานด้วยกัน
ขอเริ่มต้นที่
เจ้าหน้าที่ Call Center ของธนาคารเจ้าของบัตร
เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันเปิดบัญชีเรดดี้เครดิต ของธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่ง ใช้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ถึงปัจจุบัน 19 ปีมาแล้ว ไม่เคยเจอเหตุการณ์ไม่สุจริตใด ๆ
จนกระทั่งย้ายถิ่นฐานมาจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ วันที่ 8 สิงหาคม 2558 ที่ผ่าน สามีดิฉันมาขอยืมบัตรเรดดี้เครดิตไปกดเงิน เพราะเงินไม่พอชำระค่าบริการอย่างหนึ่ง
จำได้ว่ามีวงเงินเหลืออีกประมาณหมื่นเศษ ๆ แต่เพื่อความรอบคอบ จึงโทรไปสอบถาม Call Center ประมาณเวลา 14.00 น.
ปรากฏว่า
เงินถูกกดออกไปหมดแล้วค่ะ พอซักว่ากดไปตอนไหน เธอตอบว่าเมื่อวาน (คือ 7 สิงหาคม 2558) ดิฉันจึงบอกสามีไปว่า ไม่ต้องไปกดนะ วงเงินไม่มีเหลือแล้ว แต่จังหวะนั้น บัตรใบนั้นถูกเขาติดมือออกไป
หลังจากคิดทบทวนแล้วว่า สองสามวันมานี้ ดิฉันไม่ได้กดเงินจากบัตรใบนี้แน่นอน จึงโทรไปสอบถาม Call Center อีกครั้ง
ปรากฏว่า ได้ข้อมูลใหม่ คือ กดไปเมื่อกี้ ประมาณ 14.00 น. เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าดิฉันเป็นคนกดไปเอง
ดิฉันแจ้งว่า บัตรอยู่ที่มือในเวลานั้น ไม่ได้กดเงินแน่นอน เธอย้อนถามว่ามา
ถ้าบัตรอยู่กับมือคุณจริง ลองบอกสิคะว่า หน้าบัตรเลขอะไร (สำเนียง น้ำเสียงที่พูด ผิดวิสัย เจ้าหน้าที่เซอร์วิส)
เราเลยอึ้งไป บอกว่าแฟนติดมือออกไป เธอย้อนกลับมาทันทีว่า
“แฟนคุณเป็นคนกดไปแน่นอน คุณฟังนะ เค้ากดไปเมื่อกี้นี้ 14.07 น. ครั้งแรก 30,000 บาท ไม่อนุมัติค่ะ (เพราะวงเงินเหลือแค่หมื่นหน่อย ๆ) กดอีกครั้ง 10,000 บาท อนุมัติ เงินออกจากตู้ค่ะ หลังจากนั้นเค้ากดอีก 20,000 บาท ไม่อนุมัติ หลังจากนั้นกดอีกหลายสิบครั้ง แฟนคุณนั้นแหละเป็นคนกดไปเอง”
(ลักษณะการกด มิจฉาชีพ ชัด ๆ แต่ยังยืนยันว่าเรากดเสียเนี่ย)
ดิฉันจึงตามสามีไปเอาบัตรกลับมา ซึ่งเขาทำงานอยู่ไม่ไกลกันนัก เพื่อบอกหมายเลขบัตรกับเธอ ทางธนาคารแจ้งว่า จะทำเรื่องสืบหาวา เงินจำนวนดังกล่าวถูกกดไปจากตู้เอทีเอ็มไหน ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน ทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ต้องมีหลักฐานจากธนาคาร จึงไปแจ้งความได้
หลังจากสามสี่วันผ่านไป ดิฉันโทรไป call center อีกครั้ง ปรากฏว่ายังไม่ดำเนินการใด ๆ เลย ดิฉันจึงได้ทำหนังสือส่งแฟ๊กไป และอีเมล์ไป
เวลาผ่านไป 10 วัน ดิฉันติดต่อไปอีกครั้ง เจ้าหน้าที่แจ้งว่า เพิ่งจะเอาข้อมูลเข้าระบบ ยังไม่รู้ผลว่าคนร้ายกดเงินจากที่ไหน แนะนำให้ดิฉันนำบัตรตัวจริงไปแจ้งความไว้ก่อน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ดิฉันจึงไปแจ้งความตามคำแนะนำของเธอ คุณตำรวจยศร้อยตำรวจโท
ไม่รับแจ้งความค่ะ เนื่องจากดิฉันไม่มีหลักฐาน ถามกลับมาว่า ถ้าแจ้งความแล้วจะเอาผิดใคร คุณอาจกดเงินไปเองก็ได้
ดิฉันพยายามอธิบายว่า อยากให้คุณตำรวจไปตรวจสอบตู้เอทีเอ็มที่ดิฉันกดเงิน เกรงว่าคนอื่นจะเจออย่างเรา (เพิ่งย้ายมาอยู่จังหวัดนี้ค่ะ ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา กดเงินอยู่ตู้เอทีเอ็มเดียวกัน)
เขาแย้งเลยว่า คุณไม่ไปต้องเป็นห่วงคนอื่นเค้าหรอก ถ้าตู้ถูกแฮ็กจริง ไม่เห็นมีใครมาแจ้งความเลย
ตลอดการสนทนา คุณตำรวจพูดโน้มเอียงไปเชื่อถือทางธนาคารอยู่ตลอดเวลา ประมาณวาดิฉันกดเงินไปเอง แล้วใส่ร้ายธนาคาร คุยกันอยู่สองชั่วโมงได้ คุณตำรวจท่านนั้นจึงยอมลงบันทึกประจำวันให้ แถมย้ำมาอีกว่า
คุณยังไม่ได้แจ้งความเอาผิดใครนะ ผมยังไม่ดำเนินการใด ๆ ทั้งนั้น แค่บันทึกไว้
ดิฉันไม่รู้ทำยังไง ได้แต่รอเอกสารจากธนาคาร จนเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน จึงได้ใบแจ้งหนี้ และเอกสารแจ้งจากธนาคารว่า เงินจำนวนดังกล่าว ถูกกดไปจากตู้เอทีเอ็มใด
ดิฉันอาศัยอยู่จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ แต่เงินถูกกดไปจากตู้เอทีเอ็มธนาคารอีกแห่ง ที่ถนนสีลม กรุงเทพมหานคร
ดิฉันจึงนำเอกสารไปแจ้งความอีกครั้ง พอคุณตำรวจเห็นหน้าเท่านั้น แย้งมาทันทีว่า
“ไหนวันนั้นมา ไม่เอาเรื่องแล้วไง จะมาแจ้งความอีกทำไม”
หลังจากคุยรายละเอียดกันเสร็จเรียบร้อย มีการลงบันทึกประจำวันอีกรอบ และทางร้อยเวรทำหนังสืออีกฉบับหนึ่งขึ้นมา ซึ่งทั้งสองฉบับ ไม่มีสำเนาให้ดิฉันมา เนื่องจากต้องส่งเรื่องไปยังธนาคารเจ้าของตู้เอทีเอ็ม
(ภาพนี้ ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปมาค่ะ)
เจ้าหน้าที่ธนาคารเจ้าของตู้เอทีเอ็ม
เวลาผ่านไปอีกหลายเดือนค่ะ ดิฉันจึงนำเงินทั้งหมดไปชดใช้ให้ธนาคารเจ้าของบัตรก่อน เกรงว่ารอต่อไปดอกเบี้ยหลายตังค์จนจ่ายไม่ไหว
จนกระทั่งเมื่อวาน 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ธนาคารเจ้าของตู้เอทีเอ็มติดต่อกลับมาซักถามรายละเอียด และแจ้งผลสรุปมาในวันนี้ คือ 28 ตุลาคม 2558 ว่า
เหตุการณ์นี้ ผ่านมานานเกินไป ทางธนาคารไม่ได้เก็บภาพกล้องวงจรผิดไว้แล้ว ไม่สามารถเอาผิดใครทั้งนั้น ให้ดิฉันติดต่อไปทางธนาคารเจ้าของบัตร
ดิฉันไม่อยากถูกคำพูดเสียดสีของธนาคารเจ้าของบัตรทำนองว่า เรากดเงินไปแล้วสร้างเรื่องขึ้นมา จึงโทรไปแจ้งผลทางตำรวจ คุณตำรวจบอกได้แต่เพียงว่า
เขาทำตามระเบียบของหน่วยงานตำรวจครับ
สรุปว่า เรื่องนี้ไม่มีคนผิด คนที่ผิดคือ ระเบียบของธนาคาร ระเบียบของสำนักงานตำรวจ ใช่ไหม
(การโพสเช่นนี้ หากระบุว่า ธนาคารอะไร สถานีตำรวจจังหวัดอะไร จะถูกฟ้องร้องหมิ่น เหมือนอย่างนักร้องดัง ที่โพสวิจารณ์บริการของโรงแรมรึเปล่า รู้สึกว่า ชาวบ้านอย่างเราทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้ารับกรรม)
ลืมเล่าเหตุการณ์สำคัญหลังจากนั้นค่ะ
หลังจากวงเงินก้อนนั้นหายไป ดิฉันก็ระวังตัว กดเงินจากตู้เอทีเอ็มในห้างสรรพสินค้าเท่านั้น และใช้สิ่งของบังนิ้วมือตอนกดรหัส เวลาผ่านไปประมาณเกือบหนึ่งเดือนได้ ดิฉันมีเหตุเร่งด่วน จึงใช้บัตรธนาคารกรุงไทยกดเงินสดจากตู้กรุงไทยตรงข้ามเซเว่นบริเวณเดิม เงินสดออกมาได้ปกติ แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้สองวัน ตอนไปกดเงินสดอีกครั้งที่ห้างสรรพสินค้า ตู้เอทีเอ็มแจ้งว่า บัตรของดิฉันถูกระงับ ให้ติดต่อธนาคารกรุงไทย
เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยให้ข้อมูลว่า เนื่องจากตู้ที่ดิฉันกดเมื่อสองวันก่อนติดตั้งสกิมเมอร์ขโมยข้อมูลจากเบัตรเอทีเอ็มไว้ และคนร้ายอาจเอาข้อมูลไปทำบัตรและกดรหัสผิด ตู้เอทีเอ็มจึงยึดบัตรและอายัดบัตรดังกล่าวไว้
คืออยากบอกเพื่อน ๆ ผู้อ่านว่า สิ่งสำคัญในการกดเอทีเอ็ม คือ ต้องบังรหัสไว้ค่ะ ตู้เอทีเอ็มอาจมีกล้องวงจรปิดของคนร้ายติดไว้ ถึงคนร้ายจะก๊อปปี้ข้อมูลไปได้ แต่เมื่อไม่มีรหัสก็ไม่สามารถกดเงินไปได้ เราจึงไม่ต้องเสียเงินไป แค่เหนื่อยไปทำบัตรใหม่
อีกอย่างคือ บัตรเอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพ จะปลอดภัยที่สุด (ไม่ได้โฆษณาให้ธนาคารเค้านะคะ) คือเครื่องเอทีเอ็มกรุงเทพจะอ่านข้อมูลจากชิปเท่านั้น ไม่อ่านจากแถบแม่เหล็กเหมือนอย่างบัตรของธนาคารอื่น คนร้ายจะก๊อปปี้ข้อมูลเราไปไม่ได้ แต่อย่างไร ควรเอาบังรหัสตอนกดเงินไว้อยู่ดี (ไม่รู้ว่าต่อพวกมิฉาชีพจะพัฒนาความสามารถจนก๊อปข้อมูลจากชิบได้ไหม)
ฝากเป็นข้อเตือนใจไว้ค่ะ
หมายเหตุ แก้ไข 1. ภาพถ่ายใบแจ้งความ
2. เพิ่มเติมข้อมูลบัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย
ถูกขโมย “ข้อมูลเรดดี้เครดิต” กดเงินสดไป ไร้ผู้รับผิดชอบ ทั้งธนาคารเจ้าของบัญฃี ธนาคารเจ้าของตู้เอทีเอ็ม และผู้พิทักษ
ขอเริ่มต้นที่ เจ้าหน้าที่ Call Center ของธนาคารเจ้าของบัตร
เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันเปิดบัญชีเรดดี้เครดิต ของธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่ง ใช้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ถึงปัจจุบัน 19 ปีมาแล้ว ไม่เคยเจอเหตุการณ์ไม่สุจริตใด ๆ
จนกระทั่งย้ายถิ่นฐานมาจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ วันที่ 8 สิงหาคม 2558 ที่ผ่าน สามีดิฉันมาขอยืมบัตรเรดดี้เครดิตไปกดเงิน เพราะเงินไม่พอชำระค่าบริการอย่างหนึ่ง
จำได้ว่ามีวงเงินเหลืออีกประมาณหมื่นเศษ ๆ แต่เพื่อความรอบคอบ จึงโทรไปสอบถาม Call Center ประมาณเวลา 14.00 น.
ปรากฏว่า เงินถูกกดออกไปหมดแล้วค่ะ พอซักว่ากดไปตอนไหน เธอตอบว่าเมื่อวาน (คือ 7 สิงหาคม 2558) ดิฉันจึงบอกสามีไปว่า ไม่ต้องไปกดนะ วงเงินไม่มีเหลือแล้ว แต่จังหวะนั้น บัตรใบนั้นถูกเขาติดมือออกไป
หลังจากคิดทบทวนแล้วว่า สองสามวันมานี้ ดิฉันไม่ได้กดเงินจากบัตรใบนี้แน่นอน จึงโทรไปสอบถาม Call Center อีกครั้ง ปรากฏว่า ได้ข้อมูลใหม่ คือ กดไปเมื่อกี้ ประมาณ 14.00 น. เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าดิฉันเป็นคนกดไปเอง
ดิฉันแจ้งว่า บัตรอยู่ที่มือในเวลานั้น ไม่ได้กดเงินแน่นอน เธอย้อนถามว่ามา
ถ้าบัตรอยู่กับมือคุณจริง ลองบอกสิคะว่า หน้าบัตรเลขอะไร (สำเนียง น้ำเสียงที่พูด ผิดวิสัย เจ้าหน้าที่เซอร์วิส)
เราเลยอึ้งไป บอกว่าแฟนติดมือออกไป เธอย้อนกลับมาทันทีว่า
“แฟนคุณเป็นคนกดไปแน่นอน คุณฟังนะ เค้ากดไปเมื่อกี้นี้ 14.07 น. ครั้งแรก 30,000 บาท ไม่อนุมัติค่ะ (เพราะวงเงินเหลือแค่หมื่นหน่อย ๆ) กดอีกครั้ง 10,000 บาท อนุมัติ เงินออกจากตู้ค่ะ หลังจากนั้นเค้ากดอีก 20,000 บาท ไม่อนุมัติ หลังจากนั้นกดอีกหลายสิบครั้ง แฟนคุณนั้นแหละเป็นคนกดไปเอง”
(ลักษณะการกด มิจฉาชีพ ชัด ๆ แต่ยังยืนยันว่าเรากดเสียเนี่ย)
ดิฉันจึงตามสามีไปเอาบัตรกลับมา ซึ่งเขาทำงานอยู่ไม่ไกลกันนัก เพื่อบอกหมายเลขบัตรกับเธอ ทางธนาคารแจ้งว่า จะทำเรื่องสืบหาวา เงินจำนวนดังกล่าวถูกกดไปจากตู้เอทีเอ็มไหน ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน ทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ต้องมีหลักฐานจากธนาคาร จึงไปแจ้งความได้
หลังจากสามสี่วันผ่านไป ดิฉันโทรไป call center อีกครั้ง ปรากฏว่ายังไม่ดำเนินการใด ๆ เลย ดิฉันจึงได้ทำหนังสือส่งแฟ๊กไป และอีเมล์ไป
เวลาผ่านไป 10 วัน ดิฉันติดต่อไปอีกครั้ง เจ้าหน้าที่แจ้งว่า เพิ่งจะเอาข้อมูลเข้าระบบ ยังไม่รู้ผลว่าคนร้ายกดเงินจากที่ไหน แนะนำให้ดิฉันนำบัตรตัวจริงไปแจ้งความไว้ก่อน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ดิฉันจึงไปแจ้งความตามคำแนะนำของเธอ คุณตำรวจยศร้อยตำรวจโท ไม่รับแจ้งความค่ะ เนื่องจากดิฉันไม่มีหลักฐาน ถามกลับมาว่า ถ้าแจ้งความแล้วจะเอาผิดใคร คุณอาจกดเงินไปเองก็ได้
ดิฉันพยายามอธิบายว่า อยากให้คุณตำรวจไปตรวจสอบตู้เอทีเอ็มที่ดิฉันกดเงิน เกรงว่าคนอื่นจะเจออย่างเรา (เพิ่งย้ายมาอยู่จังหวัดนี้ค่ะ ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา กดเงินอยู่ตู้เอทีเอ็มเดียวกัน)
เขาแย้งเลยว่า คุณไม่ไปต้องเป็นห่วงคนอื่นเค้าหรอก ถ้าตู้ถูกแฮ็กจริง ไม่เห็นมีใครมาแจ้งความเลย
ตลอดการสนทนา คุณตำรวจพูดโน้มเอียงไปเชื่อถือทางธนาคารอยู่ตลอดเวลา ประมาณวาดิฉันกดเงินไปเอง แล้วใส่ร้ายธนาคาร คุยกันอยู่สองชั่วโมงได้ คุณตำรวจท่านนั้นจึงยอมลงบันทึกประจำวันให้ แถมย้ำมาอีกว่า คุณยังไม่ได้แจ้งความเอาผิดใครนะ ผมยังไม่ดำเนินการใด ๆ ทั้งนั้น แค่บันทึกไว้
ดิฉันไม่รู้ทำยังไง ได้แต่รอเอกสารจากธนาคาร จนเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน จึงได้ใบแจ้งหนี้ และเอกสารแจ้งจากธนาคารว่า เงินจำนวนดังกล่าว ถูกกดไปจากตู้เอทีเอ็มใด
ดิฉันอาศัยอยู่จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ แต่เงินถูกกดไปจากตู้เอทีเอ็มธนาคารอีกแห่ง ที่ถนนสีลม กรุงเทพมหานคร
ดิฉันจึงนำเอกสารไปแจ้งความอีกครั้ง พอคุณตำรวจเห็นหน้าเท่านั้น แย้งมาทันทีว่า
“ไหนวันนั้นมา ไม่เอาเรื่องแล้วไง จะมาแจ้งความอีกทำไม”
หลังจากคุยรายละเอียดกันเสร็จเรียบร้อย มีการลงบันทึกประจำวันอีกรอบ และทางร้อยเวรทำหนังสืออีกฉบับหนึ่งขึ้นมา ซึ่งทั้งสองฉบับ ไม่มีสำเนาให้ดิฉันมา เนื่องจากต้องส่งเรื่องไปยังธนาคารเจ้าของตู้เอทีเอ็ม
(ภาพนี้ ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปมาค่ะ)
เจ้าหน้าที่ธนาคารเจ้าของตู้เอทีเอ็ม
เวลาผ่านไปอีกหลายเดือนค่ะ ดิฉันจึงนำเงินทั้งหมดไปชดใช้ให้ธนาคารเจ้าของบัตรก่อน เกรงว่ารอต่อไปดอกเบี้ยหลายตังค์จนจ่ายไม่ไหว
จนกระทั่งเมื่อวาน 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ธนาคารเจ้าของตู้เอทีเอ็มติดต่อกลับมาซักถามรายละเอียด และแจ้งผลสรุปมาในวันนี้ คือ 28 ตุลาคม 2558 ว่า เหตุการณ์นี้ ผ่านมานานเกินไป ทางธนาคารไม่ได้เก็บภาพกล้องวงจรผิดไว้แล้ว ไม่สามารถเอาผิดใครทั้งนั้น ให้ดิฉันติดต่อไปทางธนาคารเจ้าของบัตร
ดิฉันไม่อยากถูกคำพูดเสียดสีของธนาคารเจ้าของบัตรทำนองว่า เรากดเงินไปแล้วสร้างเรื่องขึ้นมา จึงโทรไปแจ้งผลทางตำรวจ คุณตำรวจบอกได้แต่เพียงว่า เขาทำตามระเบียบของหน่วยงานตำรวจครับ
สรุปว่า เรื่องนี้ไม่มีคนผิด คนที่ผิดคือ ระเบียบของธนาคาร ระเบียบของสำนักงานตำรวจ ใช่ไหม
(การโพสเช่นนี้ หากระบุว่า ธนาคารอะไร สถานีตำรวจจังหวัดอะไร จะถูกฟ้องร้องหมิ่น เหมือนอย่างนักร้องดัง ที่โพสวิจารณ์บริการของโรงแรมรึเปล่า รู้สึกว่า ชาวบ้านอย่างเราทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้ารับกรรม)
ลืมเล่าเหตุการณ์สำคัญหลังจากนั้นค่ะ
หลังจากวงเงินก้อนนั้นหายไป ดิฉันก็ระวังตัว กดเงินจากตู้เอทีเอ็มในห้างสรรพสินค้าเท่านั้น และใช้สิ่งของบังนิ้วมือตอนกดรหัส เวลาผ่านไปประมาณเกือบหนึ่งเดือนได้ ดิฉันมีเหตุเร่งด่วน จึงใช้บัตรธนาคารกรุงไทยกดเงินสดจากตู้กรุงไทยตรงข้ามเซเว่นบริเวณเดิม เงินสดออกมาได้ปกติ แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้สองวัน ตอนไปกดเงินสดอีกครั้งที่ห้างสรรพสินค้า ตู้เอทีเอ็มแจ้งว่า บัตรของดิฉันถูกระงับ ให้ติดต่อธนาคารกรุงไทย
เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยให้ข้อมูลว่า เนื่องจากตู้ที่ดิฉันกดเมื่อสองวันก่อนติดตั้งสกิมเมอร์ขโมยข้อมูลจากเบัตรเอทีเอ็มไว้ และคนร้ายอาจเอาข้อมูลไปทำบัตรและกดรหัสผิด ตู้เอทีเอ็มจึงยึดบัตรและอายัดบัตรดังกล่าวไว้
คืออยากบอกเพื่อน ๆ ผู้อ่านว่า สิ่งสำคัญในการกดเอทีเอ็ม คือ ต้องบังรหัสไว้ค่ะ ตู้เอทีเอ็มอาจมีกล้องวงจรปิดของคนร้ายติดไว้ ถึงคนร้ายจะก๊อปปี้ข้อมูลไปได้ แต่เมื่อไม่มีรหัสก็ไม่สามารถกดเงินไปได้ เราจึงไม่ต้องเสียเงินไป แค่เหนื่อยไปทำบัตรใหม่
อีกอย่างคือ บัตรเอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพ จะปลอดภัยที่สุด (ไม่ได้โฆษณาให้ธนาคารเค้านะคะ) คือเครื่องเอทีเอ็มกรุงเทพจะอ่านข้อมูลจากชิปเท่านั้น ไม่อ่านจากแถบแม่เหล็กเหมือนอย่างบัตรของธนาคารอื่น คนร้ายจะก๊อปปี้ข้อมูลเราไปไม่ได้ แต่อย่างไร ควรเอาบังรหัสตอนกดเงินไว้อยู่ดี (ไม่รู้ว่าต่อพวกมิฉาชีพจะพัฒนาความสามารถจนก๊อปข้อมูลจากชิบได้ไหม)
ฝากเป็นข้อเตือนใจไว้ค่ะ
หมายเหตุ แก้ไข 1. ภาพถ่ายใบแจ้งความ
2. เพิ่มเติมข้อมูลบัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย