[CR] [ --- การเดินทางในวัสสานฤดู เมื่อหัวใจ..เรียกร้องหาสีเขียว --- ]

ธรรมชาติเป็นสิ่งสวยงาม  
หากเราเรียนรู้และเข้าไปสัมผัสกับเขาได้โดยตรง รวมทั้งการเดินทางที่ไร้ข้อจำกัดใดใดนั้น
จะเป็นการเดินทางที่ทำให้เราค้นพบกับความสวยงามของธรรมชาติอย่างแท้จริง
คำถามถามว่า ทำไมหลายคนชอบเดินทางไปท่องเที่ยวภาคเหนือ ในฤดูหนาว?
คำตอบคงหนีไม่พ้นว่า อยากเจอและสัมผัสอากาศหนาวสินะ
แต่เราจะมาแนะนำความงามที่เกิดขึ้นในฤดูฝน เพราะอาจมีหลายคนที่มองข้ามไป....


เราขออนุญาตตั้งกระทู้แรกนี้ แนะนำเพื่อนๆ ที่อาจสนใจสัมผัสความสวยงามของ วัสสานฤดู หรือ ฤดูฝน ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเปิดมุมมองในการท่องเที่ยวนะคะ ผิดถูกประการใดขออภัยด้วยนะคะ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ออกตัวก่อนเลยว่าเมื่อก่อน ซึ่งก็ไม่นานมาก ส่วนตัวเป็นคนเกลียดฤดูฝน ไม่ใช่เพราะอกหักนะคะ แต่ความเปียกปอน เลอะเทอะ ทำให้กลายเป็นลูกหมาตกน้ำเนี้ย มันไม่โอเคเอาซะเลย ฤดูฝน จึงเป็นฤดูกาลที่จำศีลสิคะ เพราะหลังจากหมดเงินใส่บิกินี่โชว์หน้าร้อนไปเยอะ ก็ต้องเก็บเงินเที่ยวหน้าหนาวกันดีกว่า

แต่เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อมีคนชักนำเข้าวงการ เที่ยวหน้าฝน เขาบอกว่าลองดูสิ มันสวยนะ ต้นไม้ใบหญ้านี่สีเขียวสดใสมากนะ ตอนแรกไม่เชื่อนะคะ เพราะคิดว่าคงได้อยู่แต่ที่พักแน่ๆ แต่ก็เอาลองดูก็ได้ เพราะที่พักก็ถูก คนก็น้อย ประกอบกับความเมื่อยล้าอ่อนแรงจากการทำงานหน้าจอสี่เหลี่ยม จึงคิดซะว่าเป็นการตามหาสีเขียวบรรเทาอาการอ่อนล้าทางร่างกายและสายตาละกัน และแล้วการเดินทางตามล่าหาสีเขียวก็เริ่มต้นขึ้น

DAY 1 : ดอนเมือง - เชียงราย - วัดร่องขุ่น - ไร่ชาฉุยฟง - ไร่แสงอรุณ
เช้าวันศุกร์เรานัดพบกันตอน ตี 5.30 มาก่อนเวลา 2 ชั่วโมง เพราะคงทราบกันดีว่าดอนเมืองนั้นขึ้นชื่อเรื่องเข้าแถวยาวววววมากกก และเราก็เริ่มเดินทางในเวลา 7.30 น. แต่โอ้วแม่เจ้า วันนี้น้องนกมาตรงเวลานะคะ ตื่นเต้นมาก 555 ไม่น่าเชื่อ เรามาถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงในเวลา 8.45 น. ซึ่งก็ไม่ทันได้หลับก็ต้องลงละ เราลงมารอกระเป๋ากันอย่างใจจดจ่อว่ามันมาจากดอนเมืองแน่นะ 5555 ลุ้นๆ ซึ่งใครที่เดินทางโดยสายการบินน่าจะผ่านการลุ้นรับกระเป๋ากันเกือบทุกคน สายตาจับจ้องที่สายพาน และคิดในใจว่า หนึ่งคือมันจะมามั้ย และสองคือมันจะไม่พังนะ อะโอเคพอรับกระเป๋า เราก็ไปรับรถเช่าที่เราได้ติดต่อไว้ และก็เริ่มเดินทางกันเลย



เราออกเดินทางไปจุดหมายแรกที่คิดว่า วันศุกร์ควรมา เพราะทัวร์จีนจะน้อยหน่อย 555 ไม่ใช่ค่ะ ล้อเล่น หมายถึง คนน่าจะน้อยหน่อย นั่นคือวัดร่องขุ่น ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาประมาณไม่เกิน 30 นาที และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการมาที่นี่ มากี่ทีก็เปลี่ยนไปทุกที แต่ครั้งนี้เรามากราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเดินทางของเราในทริปนี้ละกัน เราเดินถ่ายภาพสักพัก ก็เริ่มรู้สึกแปลกใจว่าทำไมท้องฟ้าสดใสจัง ท้องฟ้าแบบนี้ไม่ใช่หน้าฝนนะ!! (คิดในใจ อย่าไปทักๆๆๆๆ แต่ไม่ทันละ 555)






สถานที่ต่อไป เราจะไปไร่ชาฉุยฟง ในตำนานกันนะคะ ไร่ชาฉุยฟงจะต้องออกนอกตัวเมืองไปทางอำเภอแม่จัน ซึ่งมีอยู่สองที่นะคะ ที่นึงค่อนข้างดังเขามาถ่ายละครกัน อยู่ด้านบนต้องขึ้นบนดอยไป ส่วนอีกที่อยู่ทางขึ้นดอยแม่สลองค่ะ และเราเลือกที่นี่ค่ะ ไม่ต้องตามรอยดาราอะเนอะ และการเดินทางมาจากวัดร่องขุ่นก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า เพราะการทำถนนที่ไม่สามารถทำเวลาได้ เลยมาแบบเรื่อยๆ นิดนึง นั่นไงๆๆๆ ว่าแล้วว่าอย่าไปทัก เพราะทันทีที่ออกพ้นตัวเมืองเชียงราย ท้องฟ้าสดใสที่เคยเป็น กลับกลายเป็นฟ้าสีเทา หม่นมากค่ะจุดนี้ เพราะพี่ฝนมาแน่แน่ แต่อย่าไปกลัว เพราะทริปนี้เตรียมใจมาเจอพี่เขาเต็มที่ละ พูดยังไม่ทันขาดคำ แหม่ะๆๆ มาจริงๆค่ะฝน มาตรงจุดทางขึ้นดอยแม่สลองพอดีเลยนะเธอ เราขับเข้าไปหาไร่ชาฉุยฟงเรื่อยๆ ยิ่งใกล้ยิ่งแรง ฝนตกแรงขึ้นเรื่อยๆ ในใจคิดว่า มาแรงแบบนี้ แป๊บเดียวแหละ เดี๋ยวก็หยุด จนมาถึงไร่ชาฉุยฟง ไร่กว้างขวางมากค่ะ เนื้อที่ประมาณ 600 ไร่ ฉะนั้นอย่าคิดเดินเข้ามานะคะ




และแล้วฝนที่คิดว่าจะหยุดก็ไม่หยุดค่ะ เหลือบดูเวลา นี่เที่ยงแล้วนะ!! ลืมทานข้าวเช้า แหม่ เพิ่งรู้สึกตัว ดังนั้นจึงเข้าไปในร้านอาหารของไร่ชากัน ซึ่งพอฝนไม่หยุด คนไม่กลับ โต๊ะไม่ว่างสิจ๊ะ กว่าโต๊ะจะว่างก็นะ รอสักพักนึง จึงเดินไปสั่งอาหารก่อนที่เค้าเตอร์ ที่ร้านนี้จะต้องไปสั่งอาหารเองที่เค้าเตอร์นะคะ สั่งเสร็จและจ่ายเงินเรียบร้อย น้ำจะสามารถยกมาเองได้เลยค่ะ แต่อาหารเขาจะมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะขอบอกก่อนว่าอาหารที่นี่จะเน้นผลิตภัณฑ์จากใบชานะคะ และไม่ค่อยมีอาหารหนักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นของทานเล่นมากกว่า หน้าตาก็โอเคอยู่นะคะ แต่... ไม่อิ่ม 5555






นั่งทานรอฝนหยุดตกสักพัก มองไปรอบๆร้าน อ้าว!!!! คนหายไปไหนหมดดดดด อ๋อออ ฝนหยุดแล้วสินะ หลายคนมานานแล้ว ก็คงกลับ แต่บางคนก็ลงไปเดินเล่นถ่ายภาพกันไปศึกษา ไปดูวิธีการเก็บชาของพี่ๆเขากันค่ะ





บ่ายโมงกว่าแล้ว ถึงเวลาไป Slow Life กันแล้วนะคะ นั่นคือไร่แสงอรุณ ถ้าจากไร่ชาฉุยฟง เราเดินทางไปทางเชียงแสน ไร่แสงอรุณจะอยู่ริมโขงก่อนถึงเชียงของนะคะ ซึ่งทางไร่ระบุว่าเราจะต้องไปเช็คอินก่อน 17.00 น. ระหว่างทางมีการปิดถนนสร้างสะพานจึงต้องเลี้ยวเข้าไปทางลัด และทางลัดจะไม่สามารถใช้ Google Map ได้นะคะ ดังนั้นต้องสอบถามเส้นทางก่อนล่วงหน้าค่ะ เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงได้ ขับแบบเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะอยากจะลองใช้ชีวิต Slow Life เหมือนคนอื่นเขาดู 5555 สิ่งที่ต้องเตือนคือ ระวังเลยแค่นั้นค่ะ สังเกตป้ายดีดีนะคะ เรามาถึงไร่แสงอรุณประมาณ บ่ายสามโมงกว่า เราเช็คอิน พร้อมกับมี Welcome Drink ด้วยน้ำกระเจี๊ยบเย็นชื่นใจ




หลังจากนั้นก็คุยกันคิดว่าไม่อยากออกไปไหนเพราะละแวกนั้นหาร้านอาหารยากจัง เราเลยสั่งอาหารเย็นกันที่นี่เลย เขาถามว่าจะลงมาทานที่ห้องอาหาร หรือจะทานห้องพัก แต่ยังไม่ทันตัดสินใจ เขาก็บอกว่าเข้าที่พักก่อนค่อยตัดสินใจก็ได้ เราก็โอเค อธิบายสักนิดว่า ไร่แสงอรุณ จะมีสองฝั่งนะคะ โดยมีถนนเลียบริมโขงคั่นกลาง ฝั่งนึงจะติดโขง คือ มีบ้านพักริมโขงที่หลายคนแย่งกันจองเต็มยาวข้ามปีกันเลย เพราะมีแค่ 3 หลัง และมีส่วนล๊อบบี้ ห้องอาหารสำหรับทานอาหารเช้าค่ะ





เราถ่ายภาพส่วนนี้กันเสร็จ ก็ถามว่า บ้านพักเราอยู่ตรงไหนคะ เมื่อเห็นปลายมือเขา ก็ชักจะถอดใจค่ะ อยู่บนเขาลิบๆ กันเลยเหรอเนี้ย เขาก็ให้พนักงานมายกกระเป๋าให้นะคะ คิดในใจว่ายกคนเดียวไหวได้ไงเนี้ย แต่จากระยะทางนี่ก็เข้าใจนะคะ ว่าทำไมเขาพยายามยกให้ได้รอบเดียว ตอนแรกสงสารเขาจัง เลยยกกระเป๋ากล้องหนัก 7 กิโลเอง แต่เดินมาสักพักเริ่มสงสารตัวเองแล้วค่ะ 5555

เราข้ามถนนมาอีกฝั่งจะเจอสะพานไม้อันแรกค่ะ เขาบอกว่า เดินข้ามถนนผ่านสะพานไม้ไป 400 เมตร ขึ้นเขาด้วยบันไดอีก 165 ขั้น เดินอ้อมเขาอีก 400 เมตร พระเจ้า!!!!!!!! นี่มา Slow Life ?? จริงๆ เดินมานิดเดียวจะเจอบ้านบึงบัว มี 3 หลังค่ะ ถึงเร็วจังแฮะ จนอยากจะตัดสินใจเปลี่ยนนอนที่นี่ชะมัด แต่เราต้องมีความพยายามค่ะ เดินต่อไป เจอสะพานไม้อันที่สอง ก็ยาวๆ ไปค่ะ แต่บรรยากาศมันสุดสุดนะคะ มันเขียวได้ใจมากมาก กับต้นข้าวกว้างไกล เดินไป หยุดไป ถ่ายรูปไป ยังไม่เหนื่อยนะคะตอนนี้ ยังไม่รู้ตัว เราเริ่มรู้ตัวตอนเห็นบันไดแล้วค่ะ บันไดขึ้นเขากว่า 165 ขั้นข้างบนเบื้องหน้า จะมีที่หยุดให้นั่งพักเหนื่อยเป็นจุดๆไป เพราะเดินรวดเดียวคงไม่ไหวค่ะ ตอนนี้อารมณ์ถ่ายรูปหมดละค่ะ เพราะเหนื่อยมากกกก คิดว่าเมื่อไหร่จะถึงเนี้ยยยยย กล้องนี่ไม่อยากหยิบแล้วนะคะจุดนี้









ส่วนบ้านที่เราพักมีสองหลัง หลังนึงชื่อ บ้านเดือนแจ่ม 2 และอีกหลังชื่อบ้าน แสงอรุณ 2 ค่ะ เดินจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายเราก็เจอบ้านที่เราพักกันนะคะ เดือนแจ่ม 2 ถึงซะทีค่ะ ส่วนอีกหลัง แสงอรุณ 2 จะอ้อมไปหลังเขาอีกค่ะ ดังนั้นคำตอบก่อนขึ้นเขาก็ชัดเจนว่า ให้มาส่งอาหารที่บ้านพักแน่นอนค่ะ!! เพราะคงไม่เดินลงไปแล้วค่ะ ส่วนบรรยากาศบ้านก็ธรรมชาตินะคะ ระเบียงกว้างขวางสำหรับชมวิวนั่งชิลล์ ห้องน้ำแบบโอเพ่น อาบน้ำท่ามกลางขุนเขา (ควรอาบก่อนมืดนะคะ เพราะไฟด้านนอกจะสลัวไปหน่อยค่ะ)








และเรื่องราวก็มีอยู่ว่าเราไปสะดุดอยู่แค่ แสงอรุณ 2 คือพี่ตุ๊กค่ะ แกอยู่สองตัวเลยค่ะ ในห้องน้ำกับระเบียง สายตาสะกดจิตมากมาก เรานอนไม่ไหวกันจริงๆ จึงขนข้าวของมานอนหลังเดียว คือเดือนแจ่ม ให้ทันก่อนมึด และยังใกล้กว่าด้วยค่ะ อ้อ!! เตือนว่า สำหรับโทรศัพท์ถ้าเป็น DTAC ปิดเครื่องเลยนะคะ ใช้ไม่ได้ค่ะ 55555 และอาหารเย็นมาเสิร์ฟเป็นปิ่นโตนะคะ แปลกตาดีจริงๆ ที่นี่ แล้วก็เช่นกันพี่ฝนเจ้าเดิมมาเยือนค่ะ ตกกันยาวๆๆ วิวไม่ต้องดู ดาวมองไม่เห็น ทางช้างเผือกไม่ปรากฎ แน่นอน เป็นแบบนี้ก็นอนสิคะ
ชื่อสินค้า:   วัดร่องขุ่น ไร่ชาฉุยฟง ไร่แสงอรุณ ภูชี้ฟ้า ไร่บุญรอด
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่