รัสเซียกับการต่อสู้กลุ่มก่อการร้าย 'พญาหมีขาว' ยาตราทัพสู่ซีเรีย

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2558 เวลา 1:58 น.

เป็นอีกครั้งที่เดลินิวส์ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ กีริล บัรสกี เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย
ให้โอกาสสัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่รัสเซียร่วมมีบทบาท  
โดยหัวข้อของการสนทนาในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับซีเรีย





จุดมุ่งหมายของรัสเซียสำหรับปฏิบัติการทางทหารในซีเรียคืออะไร  สงครามกลางเมืองในซีเรีย
ล่วงเลยมานานกว่า 4 ปีครึ่งแล้ว เพราะเหตุใดรัฐบาลมอสโกจึงใช้เวลานานมากกว่าจะเข้ามามีบทบาททางทหารอย่างเต็มตัว
  


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัสเซียพยายามอย่างสุดความสามารถในกาให้คู่ขัดแย้งหาทางออกร่วมกันด้วยวิธีการ
เจรจาตามหลักการทูต   ซึ่งการผลักดันของรัฐบาลมอสโกช่วยให้เกิดการเจรจาระดับพหุภาคีอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งมีการลงนามร่วมกันในข้อตกลงสันติภาพที่นครเจนีวา เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2555     อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า
ผู้ที่ร่วมลงนามยังไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวได้อย่างจริงจัง    และนอกเหนือจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในซีเรียแล้ว
การแผ่ขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็วของกลุ่มไอเอส กำลังเป็นปัญหาใหญ่ครั้งใหม่ที่ทุกฝ่ายกำลังเผชิญ    


รัสเซียให้ความสนับสนุนรัฐบาลซีเรียและอิรัก  ตลอดจนอีกหลายประเทศในตะวันออกกลาง ในการสู้รบกับกลุ่มไอเอสมาโดยตลอด โดยการมอบความช่วยเหลือเป็นไปทั้งในด้านอาวุธ การฝึกฝนการสู้รบให้แก่กองกำลังด้านความมั่นคงของประเทศที่ขอความช่วยเหลือ และการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองระหว่างกัน ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่การทูตของรัฐบาลมอสโกเดินหน้าเจรจากับกลุ่มการเมืองทุกฝ่ายในซีเรีย เพื่อหาทางยุติสงครามกลางเมืองโดยสันติวิธี หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องที่ประชาคมโลกอาจหลงลืมไปแล้ว นั่นคือการที่รัสเซียผลักดันให้ซีเรียปลดอาวุธเคมีทั้งหมดภายใต้การดูแลขององค์กรสากลระหว่างประเทศ“


เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า เพราะเหตุใดรัสเซียจึงใช้เวลานานหลายปีกว่าจะเข้ามาเคลื่อนไหวทางทหารในซีเรียอย่างเป็นทางการนั้น คำตอบชัดเจนในตัวของมันเองอยู่แล้ว นั่นคือซีเรียติดต่ออย่างเป็นทางการมายังรัสเซีย เพื่อขอความช่วยเหลือทางทหาร ซึ่งเป็นพื้นฐานทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดเพียงประการเดียวเท่านั้น สำหรับประเทศใดก็ตามที่ต้องการเข้าไปแสดงบทบาททางทหารในประเทศใดประเทศหนึ่ง ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของรัสเซียในซีเรียจึงถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ตรงข้ามกับของอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้รับเชิญจากทั้งรัฐบาลดามัสกัส และการอนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) แต่กลับยังคงเดินหน้าส่งเครื่องบินรบเข้ามาทิ้งระเบิดใส่ดินแดนเอกราชคือซีเรีย จนถึงปัจจุบัน


อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนให้กระบวนการทางการเมืองในซีเรียขับเคลื่อนไปได้ต่อไปจนถึงช่วงเวลาเหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของข้อตกลงสันติภาพเจนีวาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ยึดมั่นมาโดยตลอด และเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนในซีเรียและประชาคมโลกสนับสนุนรัฐบาลดามัสกัสในเรื่องนี้ต่อไป เช่นเดียวกับการให้ความช่วยเหลือกองทัพซีเรียในการสู้รบกับกลุ่มไอเอส การรู้จักประนีประนอมแม้กับฝ่ายตรงข้ามอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสันติภาพในซีเรียได้


แต่ดูเหมือนตะวันตกยังคงยืนกรานคัดค้านต่อสิ่งที่รัสเซียลงมือทำมาทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน โดยมีการใช้วาทกรรมอย่างต่อเนื่อง ว่าเป้าหมายของรัสเซียไม่ใช่การกวาดล้างกลุ่มไอเอส แต่เป็นการกำจัดกองกำลังทั้งหมดที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลอัสซาด ที่รวมถึงกองทัพปลดปล่อยซีเรีย (เอฟเอสเอ) ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏสายกลางที่ตะวันตกสนับสนุน



ศัตรูสำคัญที่สุดของรัสเซียคือกลุ่มไอเอสเท่านั้น พิสูจน์ได้จากเป้าหมายที่เครื่องบินรบของเราโจมตี ทั้งนี้ รัฐบาลมอสโกเปิดกว้างเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทุกฝ่าย และติดต่อกับสหรัฐและยุโรปเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับเอฟเอสเอว่าจะติดต่อขอหารือด้วยได้อย่างไร แต่กลับไม่เคยได้รับการตอบสนอง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข่าวกรองของรัสเซียระบุว่าเอฟเอสเอมีขนาดเล็กลงมากและค่อนข้างสงวนท่าที ทางเราจึงพยายามขอข้อมูลจากกลุ่มประเทศตะวันตกเกี่ยวกับพิกัดของกลุ่มไอเอสและกลุ่มอัล-นุสรา ที่เป็นเครือข่ายในซีเรียของกลุ่มอัล-กออิดะห์ เพื่อป้องกันการเกิดความผิดพลาดและความเข้าใจผิดในเรื่องต่าง ๆ แต่เท่าที่ทราบจนถึงเวลานี้ยังไม่ได้รับคำตอบในประเด็นนี้เช่นกัน รัสเซียจึงอาศัยข้อมูลข่าวกรองของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งจนถึงปัจจุบันสามารถสอดประสานกับปฏิบัติการภาคพื้นดินของกองทัพซีเรียได้เป็นอย่างดี โดยมีกองทัพอิหร่าน และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ให้การสนับสนุนด้วย รัสเซียหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ปฏิบัติการร่วมกันครั้งนี้จะสามารถทำลายความฝันของกลุ่มไอเอสในการแย่งชิงดินแดนของซีเรียไปตั้งรัฐอิสลาม“



นอกเหนือจากความช่วยเหลือทางทหารแล้ว รัสเซียมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่ชาวซีเรียอย่างไรบ้างจนถึงปัจจุบัน


เครื่องบินลำเลียงของกองทัพรัสเซียยังคงขนส่งสิ่งของจำเป็นสำหรับการดำรงชีพไปให้แก่ชาวซีเรียอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ท่าทีของบางประเทศในยุโรปที่ปฏิเสธเปิดน่านฟ้า สร้าง “ความประหลาดใจอย่างยิ่ง” ให้แก่รัฐบาลมอสโก เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม ทั้งที่ในช่วงต้นของสงครามรัฐบาลรัสเซียให้ความช่วยเหลือพลเมืองต่างชาติทุกประเทศที่อาศัยอยู่ในซีเรีย ในการอพยพหนีภัยสงครามออกมา สงครามที่เกิดขึ้นทำให้ทุกฝ่ายตระหนักร่วมกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า ชาวซีเรียเดือดร้อนมากเพียงใด ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลมอสโกไม่อาจนิ่งดูดายกับวิกฤติครั้งนี้ได้


ปฏิบัติการทางทหารในซีเรียถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ ที่กองทัพรัสเซียเคลื่อนไหวทางทหารในต่างประเทศ หลายฝ่ายจึงอดเปรียบเทียบเหตุการณ์ครั้งนี้กับเมื่อครั้งกองทัพสหภาพโซเวียตปฏิบัติการในอัฟกานิสถานในยุคทศวรรษที่ 1980 ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้


ผมอยากฝากไปถึงผู้อ่าน “เดลินิวส์” ทุกท่านว่า ไม่ว่าเราจะเปรียบเทียบความขัดแย้งในยุคสงครามเย็นกับการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียตอย่างไรก็ตาม โปรดพึงระลึกไว้อย่างหนึ่งว่า กองทัพโซเวียตเข้าไปในอัฟกานิสถานเมื่อเดือน ธ.ค. 2522 ตามคำเชิญของรัฐบาลคาบูล หรือราว 1 ปีกว่าหลังการปฏิวัติประชาชนเมื่อเดือน เม.ย. 2521 หลังความเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นสหรัฐเริ่มติดอาวุธให้แก่กองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาล และสถานการณ์บานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมือง


แม้เหตุการณ์ดังกล่าวผ่านพ้นมานานเกือบ 40 ปีแล้ว แต่ยังสามารถสร้างบทเรียนให้แก่ทุกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ว่าการจัดการความขัดแย้งไม่ว่าในสถานการณ์ใดและในประเทศใดก็ตาม ต้องเป็นไปตามกฎหมายสากลที่บัญญัติอยู่ในกฎบัตรสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เท่านั้น ซึ่งระบุชัดเจนเรื่องการเคารพในเอกภาพ บูรณภาพแห่งดินแดน และการให้ความเท่าเทียมระหว่างรัฐ หากทุกฝ่ายมีความเคารพต่อกฎหมายสากลในเรื่องนี้อย่างแท้จริงจะเห็นได้อย่างชัดเจนในปัจจุบันเลยว่า ฝ่ายใด “ผิด” และฝ่ายใด “ถูก” แก่นแท้ของความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นบนโลก ไม่เพียงแต่เฉพาะในตะวันออกกลาง ล้วนเป็นผลจากการขาดความเคารพระหว่างกัน และการปฏิเสธกฎหมายระหว่างประเทศทั้งสิ้น


สื่อตะวันตกหลายแห่งกล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันในซีเรีย คือ “สงครามตัวแทน” ระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย จริงหรือไม่


สถานการณ์นี้ไม่ใช่ “สงคราม” แต่เป็นเรื่องของความร่วมมือระหว่างนานาประเทศที่เข้าไปในซีเรีย เพื่อปฏิบัติการทางทหารกวาดล้างกลุ่มไอเอส ซึ่งปฏิบัติการจะมีประสิทธิภาพยิ่งกว่านี้หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน รัสเซียไม่เคยกังวลกับการที่สหรัฐเดินหน้าเพิ่มความช่วยเหลือด้านอาวุธให้แก่กลุ่มนักรบสายกลางในซีเรีย ตราบใดที่จุดมุ่งหมายของกลุ่มนักรบนั้นคือการต่อสู้กับกลุ่มไอเอสอย่างแท้จริง สิ่งที่รัสเซียกังวลมากกว่าคือการที่อาวุธตกไปอยู่ในมือของ “กลุ่มผู้ไม่หวังดี” ทั้งนี้ น่าเสียดายที่โครงการติดอาวุธให้แก่กลุ่มนักรบสายกลางของสหรัฐ “ไม่ได้ผล” พิสูจน์ได้ว่าในความเป็นจริงรัฐบาลวอชิงตันไม่ควรไว้ใจกลุ่มคนเหล่านี้ได้อย่างเต็มร้อย เพราะตอนนี้อาวุธส่วนใหญ่ที่สหรัฐมอบให้ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มไอเอสและกลุ่มก่อการร้ายอื่นแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัสเซียเรียกร้องให้ประชาคมโลกสนับสนุนกองทัพซีเรีย ซึ่งมีความคุ้นเคยและเข้าใจสถานการณ์นี้ได้มากกว่า


เราสามารถพูดได้หรือไม่ว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นรัสเซียให้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรีย คือความหวั่นเกรงเรื่องที่กลุ่มหัวรุนแรงจากเทือกเขาคอเคซัสอาจขยายอิทธิพลเข้ามาในประเทศ


แน่นอนทุกประเทศล้วนมีความกังวลเรื่องการก่อการร้าย รัสเซียทราบดีว่ากลุ่มไอเอสไม่ได้เกณฑ์สมาชิกจากในตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังมาจากสหรัฐ เอเชียและยุโรป รวมถึงจากรัสเซียเองด้วย แน่นอนเราไม่ประสงค์ให้กลุ่มคนเหล่านี้เดินทางเข้ามาในประเทศเพื่อเผยแพร่ความเชื่อที่เลวร้ายเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ท่าทีของแต่ละประเทศในเรื่องนี้ยังคงไม่มีกรอบอย่างชัดเจนมากนัก จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายควรเพิ่มความร่วมมือกันในเรื่องนี้ โดยต้องหาทางหยุดยั้งให้ถึงต้นตอของปัญหา ในช่วงหนึ่งของสุนทรพจน์บนเวทีการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็นจีเอ) เมื่อปลายเดือน ก.ย. ประธานาธิบดีปูตินกล่าวว่า ความเข้มข้นของภารกิจกวาดล้างกลุ่มไอเอส ควรเป็น “ระดับเดียวกัน” กับภารกิจต่อสู้กับพรรคนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การต่อสู้กับภัยคุกคามจากการก่อการร้ายถือเป็นศึกใหญ่และมีเดิมพันสูงมากสำหรับทุกฝ่าย เนื่องจากเป็นภัยร้ายที่กำลังคุกคามโลกทั้งใบ รัสเซียจึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายละทิ้งความเห็นต่างในเรื่องอื่น แล้วมาช่วยกันในเรื่องนี้ก่อนจะเป็นการดีอย่างยิ่ง.“

http://www.dailynews.co.th/article/356447
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่