ตามหัวข้อนะคะว่าผู้ปกครองทั้งหลายอยากให้นักเรียน(ลูกๆ)สอบอะไร คิดว่าการสอบไหนสำคัญ เน้นไปที่มัธยมนะคะ
จะเป็นความเห็นของผู้ปกครองเอง หรือเป็นนักเรียนที่ถูกผู้ปกครองแนะนำให้สอบอะไรต่างๆก็ได้ค่ะ
ตัวอย่างการสอบต่างๆ(เผื่อนึกไม่ออก):
O-NET (Ordinary National Educational Test)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้คือ การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน เป็นการทดสอบเพื่อวัดความรู้และความคิดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประเมินตามมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จำนวน 51 มาตรฐานการเรียนรู้ ครอบคลุม 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่
ภาษาไทย
คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ภาษาอังกฤษ
วัตถุประสงค์ O-NET
เพื่อทดสอบความรู้และความคิดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
เพื่อนำผลการทดสอบไปใช้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการจบการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
เพื่อนำผลการทดสอบไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียน
เพื่อนำผลการทดสอบไปใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชาติ
เพื่อนำผลการทดสอบไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น
GAT/PAT
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รายละเอียดเกี่ยว กับ GAT
1. เนื้อหา การสอบ
– การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา (ทาง คณิตศาสตร์) 50%
– การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50%
2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัยและอัตนัย
– คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง
– ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair
– เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
– มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ
3.สอบปีละหลายครั้ง
– คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)
รายละเอียดเกี่ยวกับ PAT
ย่อมาจาก Professional Aptitude Test
เป็นการสอบวัดความถนัดเฉพาะทางวิชาชีพ แบ่งเป็น 6 ชุด ประกอบด้วย
PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์
– เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion, Geometry, Trigonomentry, Calculus ฯลฯ
– ลัษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills
PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์
– เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, Environment, ICT ฯลฯ
– ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability, Science Problem Solving Ability ฯลฯ
PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรมศาสตร์
– เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, Engineering Sciences, Life Sciences, IT ฯลฯ
– ลักษณะข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Preceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability
PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
– เนื้อหา เช่น Architectural Math and Sciences ฯลฯ
– ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability
PAT 5 วัดศักยภาพทางครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
– เนื้อหา เช่น ความรู้ในเนื้อหาภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
– ลักษณะข้อสอบ ครุศาสตร์ (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills), ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนักเรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ
PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์
– เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทางศิลป์ ฯลฯ
– ลักษณะ ข้อสอบ ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ
PAT 7 วัดศักยภาพทางภาษาต่างประเทศที่ 2
– เนื้อหา จะเป็นพื้นฐานการเรียนต่อ เช่น Grammar, Vocabulary Culture, Pronunciation Functions
– ลักษณะข้อสอบ Paraphasing, Summarizing Applying Concepts and Principles, Problem Solving skills, Critical Thinking skills, Questioning skills, Analytical skills
ลักษณะข้อสอบ PAT
– จะเป็นปรนัย และอัตนัย
– เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
– มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ
การจัดสอบ
– เมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง
– คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด
TOEIC
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รายละเอียดการสอบ TOEIC
TOEIC (Test of English for International Communication ) เป็นข้อสอบมาตรฐานระดับสากล ในการวัดทักษะภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ โดยในปี 2008 มีมากกว่า 5 ล้านได้ทดสอบ TOEIC และจากกว่า 30 ปีที่ผ่านมา คะแนนสอบ TOEIC ได้ช่วยเหลือ องค์กร สถาบันการศึกษา และรัฐบาลทั่วโลก กว่าหลายพันแห่ง ในการรับสมัครและโปรโมทผู้สมัครที่มีคุณสมบัติมากที่สุด ซึ่งการสอบ TOEIC จัดทำขึ้นโดยEducational Testing Service (ETS)สำหรับในประเทศไทยนั้น มีหลายหน่วยงานและสถาบันต่างๆมากมายที่ต้องการผล TOEIC เช่น ธุรกิจการบิน การโรงแรม การท่องเที่ยว การขนส่ง สถาบันการเงิน ปิโตรเคมี ยานยนต์ โรงพยาบาล รวมทั้งบริษัทข้ามชาติอื่นๆ โดยนำไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น สำหรับพิจารณาทักษะทางภาษาอังกฤษเพื่อรับสมัครเข้าทำงาน ปรับเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง คัดเลือกเพื่อไปอบรมสัมนาต่างประเทศ ปัจจุบัน TOEIC มีการสอบสองรูปแบบคือ
1. TOEIC Listening and Reading Test (การฟังและการอ่าน) และ
2. TOEIC Speaking and Writing Tests (การพูดและการฟัง) ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่
โดยในประเทศไทย มีการสอบเฉพาะแบบ TOEIC Listening and Reading Test (การฟังและการพูด) ซึ่งเป็นแบบทดสอบซึ่งสามารถวัดทักษะความสามารถในการนำภาษาอังกฤษมาใช้งานได้จริง ทั้งด้านการฟังและการอ่านคะแนนของ TOEIC ไม่มีคะแนนได้ คะแนนตก ซึ่งแต่ละคะแนนจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ภาษาของผู้สอบ โดยคะแนน TOEIC เริ่มจาก 10 คะแนนถึง 990 คะแนน
TU-GET
CU-TEP
CU AAT
ACADEMIC WRITING
SAT (Scholastic Assessment Tests)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้คือ การสอบมาตรฐานของเด็ก high school ในอเมริกา ซึ่งมี high school จำนวนมาก และมีมาตรฐานการเรียนการสอนตลอดจนการวัดผลแตกต่างกัน จึงมีการสอบเพื่อเปรียบเทียบความพร้อมและความสามารถที่แท้จริงของนักศึกษา แต่ละคน โดยไม่ใช้เกรดจากโรงเรียน เทียบได้กับการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศไทย
ผู้ที่จัดสอบ SAT คือ Collegeboard มหาวิทยาลัยจะนำคะแนนสอบ SAT นี้ไปเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษา แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีเกณฑ์การใช้คะแนนนี้ต่างกันไป
คะแนนสอบ SAT ใช้ยื่นสมัครที่คณะไหนได้บ้าง?
1. หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (Inter) จุฬา ธรรมศาสตร์
2. หลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต (Inter) จุฬา ธรรมศาสตร์
3. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (Inter) ธรรมศาสตร์
วิศวกรรมยานยนต์ จุฬา
วิศวกรรมนาโน จุฬา
4. หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (Inter) ธรรมศาสตร์
เทคโนโลยีการจัดการ
เทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม
วิทยาการคอมพิวเตอร์
5. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (Inter) เกษตร
6. หลักสูตรวิทยาศาสตรและการบริหารธุรกิจบัณฑิต (Inter) เกษตร
7. หลักสูตรนานาชาติกว่า 10 สาขาวิชา มหิดล
8. หลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตรและศิลปบัณฑิต (Inter) มจธ.
9. หลักสูตรInterทุกสาขาวิชาABAC
และอื่น ๆ อีกหลายหลักสูตร
แนวข้อสอบ SAT
ชนิดการสอบ SAT แบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ SAT I(Reasoning Test) และ SAT II(Subject Test)
SAT I (Reasoning Test)
ข้อสอบ SAT 1 หรือ SAT เป็นข้อสอบที่ใช้วัดระดับความรู้ ความสามารถของนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อระดับปริญญาตรี โดยจะทดสอบการใช้เหตุผล (Reasoning Test) 2 วิชา คือ ภาษาศาสตร์ (Verbal) และคณิตศาสตร์ (MATH) เวลาที่ใช้ในการสอบประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง โดยจัดแบ่งข้อสอบดังนี้
Verbal : มี 3 ส่วน ซึ่งทดสอบในเรื่องของ Reading , Grammar และ Analytical Reasoning โดยมีรูปแบบของคำถามเป็น Analogies, Sentence Completion และ Critical Reading (ในเรื่องนี้ ควรอ่านหนังสือศัพท์ เช่น Word Smart และฝึกทำ Reading โดยหาตัวอย่างข้อสอบหรือ prep guide เช่น Barron หรือ Princeton Review จะได้รับหนังสือรวมข้อสอบ SAT เล่มฟ้า ๆ ของ CollegeBoard ตอนอยู่ Brewster) จำนวนข้อสอบ 55 ข้อ ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที
Math : มี 3 ส่วน ซึ่งทดสอบในเรื่องของ Algebra, Arithmetic และ Geometry โดยมีรูปแบบของคำถามแบบ Quantitative Comparisons (QCs), Regular Math และ Grid-ins การเตรียมตัวส่วนนี้ ควรฝึกทำโจทย์เลข จากหนังสือสอบ SAT part math หรือ MathII ของ SATII เพื่อดูศัพท์ทางคณิตศาสตร์ทั่วไป จำนวนข้อสอบ 55 ข้อ ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที
Writing :มี 3 ส่วนเช่นกัน คือ essay, grammar (error recognition) และ sentence completion โดยรูปแบบคำถามเป็นแบบปรนัยพร้อมกับการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ ควรอ่าน Grammar ฝึกทำ Error Recognition และฝึกเขียน 5 paragraphs essay
HSK
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ การสอบวัดระดับความรู้ภาษาจีน HSK คือการสอบวัดระดับความรู้ภาษาจีนมาตรฐานสากลสำหรับผู้ที่ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาที่สอง จัดโดยสำนักงานเผยแพร่ภาษาจีนระหว่างประเทศ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง สำนักงานกรุงเทพ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจัดสอบการวัดระดับความรู้ภาษาจีน HSK ในเขตกรุงเทพฯ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 สำนักงานเผยแพร่ภาษาจีนระหว่างประเทศได้เปลี่ยนระบบการสอบวัดระดับความรู้ภาษาจีน HSK เป็นระบบใหม่ โดยแบ่งการสอบออกเป็นสองส่วน คือ สอบข้อเขียน และ การพูด
การสอบข้อเขียน แบ่งออกเป็น 6 ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 สำหรับผู้สอบที่เข้าใจคำศัพท์และประโยคภาษาจีนง่าย ๆ เรียนรู้คำศัพท์มาแล้วอย่างน้อย 150 คำ
ระดับที่ 2 สำหรับผู้สอบที่สามารถใช้ภาษาจีนสื่อสารเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เรียนรู้คำศัพท์มาแล้วอย่างน้อย 300 คำ
ระดับที่ 3 สำหรับผู้สอบที่สามารถใช้ภาษาจีนสื่อสารเรื่องความเป็นอยู่ การศึกษา การทำงาน และท่องเที่ยวในประเทศจีน เป็นต้น เรียนรู้คำศัพท์มาแล้วอย่างน้อย 600 คำ
ระดับที่ 4 สำหรับผู้สอบที่สามารถใช้ภาษาจีนสื่อสารในหัวข้อที่กว้างขวางขึ้นและสามารถสื่อสารกับผู้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาแม่ได้อย่างคล่องแคล่ว เรียนรู้คำศัพท์มาแล้วอย่างน้อย 1,200 คำ
ระดับที่ 5 สำหรับผู้สอบที่สามารถอ่านเข้าใจภาษาจีนจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารจีนฟังเข้าใจรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์จีน และสามารถพูดภาษาจีนในที่สาธารณะได้ เรียนรู้คำศัพท์มาแล้วอย่างน้อย 2,500 คำ
ระดับที่ 6 สำหรับผู้สอบที่สามารถฟังและอ่านข่าวสารภาษาจีนได้อย่างดี สามารถสื่อสารความคิดเห็นของตัวเองด้วยปากเปล่าหรือการเขียนเป็นภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว เรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีน 5,000 คำขึ้นไป
การสอบพูด แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
ระดับต้น
ระดับกลาง
ระดับสูง
ผู้ที่สมัครสอบข้อเขียนระดับ 4 ขึ้นไปสามารถสมัครสอบพูดได้ การสมัครสอบข้อเขียนและสอบพูด จะต้องสมัครสอบแยกกัน
จะตอบนอกเหนือจากที่มีในนี้ก็ได้นะคะ
อยากทราบว่าผู้ปกครองคาดหวังให้นักเรียนสอบอะไรบ้างคะ
จะเป็นความเห็นของผู้ปกครองเอง หรือเป็นนักเรียนที่ถูกผู้ปกครองแนะนำให้สอบอะไรต่างๆก็ได้ค่ะ
ตัวอย่างการสอบต่างๆ(เผื่อนึกไม่ออก):
O-NET (Ordinary National Educational Test)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
GAT/PAT
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
TOEIC
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
TU-GET
CU-TEP
CU AAT
ACADEMIC WRITING
SAT (Scholastic Assessment Tests)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
HSK
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จะตอบนอกเหนือจากที่มีในนี้ก็ได้นะคะ