สวัสดีครับ...กระทู้นี้ไปชมสถานที่ท่องเที่ยวสุดแปลกตา ในเมืองที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับนักสืบผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นกระทู้สุดท้ายในวันสุดท้ายของการท่องเที่ยว
สถานที่ที่ว่านี้คือ Aareschlucht ที่เมือง Meringen เมืองหน้าด่านหากเดินทางมาจาก Luzern และยังเป็นเมืองชุมทางการท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางลึกเขาไปยังเมือง Innertkirchen Grimsel หรือไปยังเมืองที่ใกล้กว่าเช่น Hasliberg

วันนี้เราออกจากโรงแรมแต่เช้ารอรถไฟเที่ยว 9.36 น. ไปยังจุดหมายปลายทาง เมือง Meiringen เมืองชุมทางขนาดเล็ก ภายในเมืองเงียบสงบ (เหมือนอีกหลายๆ เมืองในแถบนี้) ไม่พลุกพล่าน แต่มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรร ชมน้ำตก ขึ้นภูเขา ท่องทะเลสาบ และอีกหนึ่งสถานที่ที่ซึ่งแม่น้ำ Aare (แม่น้ำสายสำคัญและยาวที่สุดของประเทศนี้) ไหลผ่านซอกเขา เกิดการกัดเซาะหินผาอันแข็งแกร่ง ด้วยพลังอำนาจของกระแสน้ำเชี่ยว สุดท้ายร่องรอยถูกประทับไว้ตามแนวผา

สถานีรถไฟเมือง Meiringen

ใกล้ๆ เมือง มีฐานทัพอากาศอยู่
เรามาถึงเมือง Meiringen เวลา 10.05 น. สังเกตเห็นรถเมล์ทรงโบราณซักหน่อย จอดรอผู้โดยสารอยู่ที่สถานี ป้ายบอกทางชี้ไปแทบจะทิศทางเดียว เราจึงหันหลังให้สถานีรถไฟ แล้วเริ่มเดินตรงออกไปข้างหน้าตามที่ป้ายบอกไว้ ไม่นานนักเราก็เจอสามแยก ด้านหน้าเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ของพลเมืองกิตติมศักดิ์ประจำเมืองนี้ “Sherlock Holmes”

ป้ายบอกทางนอกสถานีรถไฟ

รถเมล์ที่นี่หน้าตาไม่เหมือนใคร

พิพิธภัณฑ์และโบสถ์
จากสามแยกเมื่อเลี้ยวซ้ายจะเจอสี่แยกใหญ่ ที่สี่แยกเลี้ยวขวาอีกที คราวนี้ตรงไปตามถนนเรื่อยๆ อีกซักพักจะเจอสะพานสีแดง สะพานที่มีสีสันและรูปร่างสะดุดตาแน่นอน จากจุดนี้เส้นทางสู่เป้าหมายของเราไปได้สองแบบ เส้นทางหนึ่งข้ามธารน้ำเล็กๆ ผ่านเข้าไปในหมู่บ้านน่ารัก ดูอบอุ่น ก่อนข้ามแม่น้ำ Aare เพื่อเข้าใกล้จุดหมายของเรา อีกเส้นทางหนึ่ง จากสะพานสีแดงให้เลี้ยวขวาเดินไปตามถนน ซึ่งจะไปข้ามแม่น้ำ Aare ก่อน จากนั้นเดินไปตามถนนอีกสักหน่อยจะเจอวงเวียน เลยวงเวียนมาแล้ว เลี้ยวซ้าย (ฝั่งตรงกันข้ามทางขวามือ คือทางไปน้ำตก Reichenbach) เดินตามถนนผ่านทุ่งหญ้าและต้นไม้ใหญ่จนสุดทาง คือที่ตั้งของ Aareschlucht (ชื่อภาษาอังกฤษคือ Aare Gorge) ทั้งสองเส้นทางใช้เวลาประมาณ 30 - 40 นาที

บ้านเรือนเก่าแปรสภาพเป็นร้านอาหารเอเชีย

โรงแรมร้าง

สะพานสีแดง

เส้นทางที่หนึ่ง ข้ามธารน้ำเล็กๆ ก่อนเข้าหมู่บ้าน

รถกระเช้าขึ้น Hasliberg

หมู่บ้านเล็กๆ

เจอรถไฟขบวนสั้น วิ่งระหว่างเมือง

สะพานเล็กๆ ข้ามแม่น้ำ Aare

เส้นทางที่สองออกนอกเมือง

ไปเจอยอด Wellhorn (3,196 m.) และน้ำตก Reichenbach ไกลๆ

ใช้สะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำ Aare
ทั้งสองเส้นทางจุดหมายอยู่ที่เดียวกัน
Aareschlucht แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของกระแสน้ำบวกกับระยะเวลาอันยาวนาน เหมือนบทเพลงรอ ของคุณสวลี ผกาพันธ์ ที่ว่า “น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน” นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างทางเดินและเจาะอุโมงค์ทะลุภูเขา เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมสถานที่แห่งนี้อย่างใกล้ชิด ก่อสร้างมานานกว่า 125 ปี นานยิ่งกว่าการก่อสร้างทางรถไฟขึ้น Jungfraujoch เสียอีก
ค่าเข้าชมเมื่อหักส่วนลดด้วยบัตรแล้ว เหลือ 6 CHF/คน เมื่อเข้าไปด้านในมีป้ายแสดงข้อมูลของ Aareschlucht ให้ข้อมูลว่า ทางเดินภายในยาว 1,400 เมตร แม่น้ำ Aare ที่ไหลผ่านมีส่วนที่กว้างที่สุด 40 เมตร ส่วนแคบที่สุดเพียง 1 เมตร น้ำลึกที่สุด 5 เมตร และมีความเร็วในการไหล(ที่ผิวหน้า) 2 เมตรต่อวินาที

ป้ายบอกข้อมูล

ร้านอาหารและเครื่องดื่มสมัยก่อน
เราเข้าไปในข้างในเวลา 11.00 น. เพียงนาทีแรกที่เข้าไปก็ต้องตะลึงเลยทีเดียว ตลอดระยะทาง 1,400 เมตร เราใช้เวลาสำหรับขาไปประมาณ 1 ชั่วโมง ขณะที่ใช้เวลาสำหรับขากลับประมาณ 30 นาที อากาศด้านในเย็นกว่าด้านนอกอย่างรู้สึกได้
ทางเดินไม้กว้างประมาณ 1.20 เมตรแทรกตัวตามผาหินและอุโมงค์ที่เจาะทะลุเขาไว้มีลำน้ำแคบๆ ที่ไหลเชี่ยวกราก กัดเซาะหินจนแหว่งเว้า แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านยอดไม้ด้านบนและแสงไฟตกแต่งขับให้ลวดลายนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเดินพ้นอุโมงค์หินออกไป แม่น้ำกว้างขึ้น ทั้งสองฝากถูกขนาบด้วยหน้าผาสูงชัน มีน้ำตกลงมาจากด้านบนของผาสมทบกับแม่น้ำ รอยเท้าบนพื้นทรายและต้นไม้สีเขียว

ภาพแรกที่เห็น

บางจุดทางเดินแคบมาก

เจาะทางเดินทะลุหินผา

แสงสะท้อนจากพื้นน้ำ

แสงไฟตกแต่ง

แสงจากธรรมชาติ

“น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน”

น้ำตกสายเล็กๆ

ถ้ำที่ถูกขุดไว้สมัยสงครามโลก

ทางเดินบริเวณที่แม่น้ำกว้างขึ้น

แม่น้ำ หินผาและต้นไม้

ปลายทางมีร้านอาหารอยู่ด้านบน
ที่ปลายทางจะเห็นพื้นที่เปิดโล่ง ถ้าเดินต่อไปไหว อีกไม่ไกลก็จะถึงเมือง Innertkirchen เราพักเหนื่อยและทานอาหารกลางวันประมาณ 30 นาที แล้วจึงเดินกลับออกมา ก่อนที่เราจะพ้นปากทางออก เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวสาวชาวเอเชีย เธอร้องว้าว! ออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นวิวที่เราก็ได้เห็นมาเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน และก็คงด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกันซักเท่าไร
ออกจาก Aareschlucht เราเดินไปยังสถานีรถไฟ ระหว่างทางผ่านพิพิธภัณฑ์ของ Sherlock Holmes อีกครั้ง Sir Arthur Conan Doyle ผู้แต่งเรื่อง Sherlock Holmes เคยเลือกน้ำตก Reichenbach ในเมือง Meiringen นี้ เป็นที่ตายของ Sherlock Holmes มาแล้วในปี ค.ศ. 1893 ในตอนที่ชื่อว่า "The Final Problem" ก่อนที่ยอดนักสืบจะถูกแต่งให้ฟื้นคืนชีพในอีกหลายปีต่อมา เพราะทนต่อเสียงเรียกร้องของแฟนๆ ไม่ไหว Sherlock Holmes จะไม่ตายอีกหลังจากนั้น จนเกษียณตนเองในตอน “His Last Bow” ไปอยู่ในฟาร์มเล็กๆ เลี้ยงผึ้งเป็นงานอดิเรก เรานั้นไม่เหมือนยอดนักสืบที่สามารถฟื้นจากความตายได้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ช่วงเวลานั้นจะมาถึง ถ้ามีโอกาสได้สัมผัสโลกในมุมต่างๆ บ้าง ก็อย่าได้พลาดไปนะครับ

รอบเมือง Meiringen ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกหลายแห่ง รวมทั้งรอบๆ ดินแดน Bernese Oberland นี้ แต่รอบนี้เรามีเวลาเพียงเท่านี้ ผมได้แต่ให้สัญญากับตัวเองว่าหากโอกาสอำนวยจะได้กลับมารับพลังของธรรมชาติในถิ่นนี้อีก...สวัสดีครับ
[CR] Made in Bernese Oberland : Aareschlucht - The promise
สถานที่ที่ว่านี้คือ Aareschlucht ที่เมือง Meringen เมืองหน้าด่านหากเดินทางมาจาก Luzern และยังเป็นเมืองชุมทางการท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางลึกเขาไปยังเมือง Innertkirchen Grimsel หรือไปยังเมืองที่ใกล้กว่าเช่น Hasliberg
วันนี้เราออกจากโรงแรมแต่เช้ารอรถไฟเที่ยว 9.36 น. ไปยังจุดหมายปลายทาง เมือง Meiringen เมืองชุมทางขนาดเล็ก ภายในเมืองเงียบสงบ (เหมือนอีกหลายๆ เมืองในแถบนี้) ไม่พลุกพล่าน แต่มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรร ชมน้ำตก ขึ้นภูเขา ท่องทะเลสาบ และอีกหนึ่งสถานที่ที่ซึ่งแม่น้ำ Aare (แม่น้ำสายสำคัญและยาวที่สุดของประเทศนี้) ไหลผ่านซอกเขา เกิดการกัดเซาะหินผาอันแข็งแกร่ง ด้วยพลังอำนาจของกระแสน้ำเชี่ยว สุดท้ายร่องรอยถูกประทับไว้ตามแนวผา
สถานีรถไฟเมือง Meiringen
ใกล้ๆ เมือง มีฐานทัพอากาศอยู่
เรามาถึงเมือง Meiringen เวลา 10.05 น. สังเกตเห็นรถเมล์ทรงโบราณซักหน่อย จอดรอผู้โดยสารอยู่ที่สถานี ป้ายบอกทางชี้ไปแทบจะทิศทางเดียว เราจึงหันหลังให้สถานีรถไฟ แล้วเริ่มเดินตรงออกไปข้างหน้าตามที่ป้ายบอกไว้ ไม่นานนักเราก็เจอสามแยก ด้านหน้าเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ของพลเมืองกิตติมศักดิ์ประจำเมืองนี้ “Sherlock Holmes”
ป้ายบอกทางนอกสถานีรถไฟ
รถเมล์ที่นี่หน้าตาไม่เหมือนใคร
พิพิธภัณฑ์และโบสถ์
จากสามแยกเมื่อเลี้ยวซ้ายจะเจอสี่แยกใหญ่ ที่สี่แยกเลี้ยวขวาอีกที คราวนี้ตรงไปตามถนนเรื่อยๆ อีกซักพักจะเจอสะพานสีแดง สะพานที่มีสีสันและรูปร่างสะดุดตาแน่นอน จากจุดนี้เส้นทางสู่เป้าหมายของเราไปได้สองแบบ เส้นทางหนึ่งข้ามธารน้ำเล็กๆ ผ่านเข้าไปในหมู่บ้านน่ารัก ดูอบอุ่น ก่อนข้ามแม่น้ำ Aare เพื่อเข้าใกล้จุดหมายของเรา อีกเส้นทางหนึ่ง จากสะพานสีแดงให้เลี้ยวขวาเดินไปตามถนน ซึ่งจะไปข้ามแม่น้ำ Aare ก่อน จากนั้นเดินไปตามถนนอีกสักหน่อยจะเจอวงเวียน เลยวงเวียนมาแล้ว เลี้ยวซ้าย (ฝั่งตรงกันข้ามทางขวามือ คือทางไปน้ำตก Reichenbach) เดินตามถนนผ่านทุ่งหญ้าและต้นไม้ใหญ่จนสุดทาง คือที่ตั้งของ Aareschlucht (ชื่อภาษาอังกฤษคือ Aare Gorge) ทั้งสองเส้นทางใช้เวลาประมาณ 30 - 40 นาที
บ้านเรือนเก่าแปรสภาพเป็นร้านอาหารเอเชีย
โรงแรมร้าง
สะพานสีแดง
เส้นทางที่หนึ่ง ข้ามธารน้ำเล็กๆ ก่อนเข้าหมู่บ้าน
รถกระเช้าขึ้น Hasliberg
หมู่บ้านเล็กๆ
เจอรถไฟขบวนสั้น วิ่งระหว่างเมือง
สะพานเล็กๆ ข้ามแม่น้ำ Aare
เส้นทางที่สองออกนอกเมือง
ไปเจอยอด Wellhorn (3,196 m.) และน้ำตก Reichenbach ไกลๆ
ใช้สะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำ Aare
ทั้งสองเส้นทางจุดหมายอยู่ที่เดียวกัน
Aareschlucht แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของกระแสน้ำบวกกับระยะเวลาอันยาวนาน เหมือนบทเพลงรอ ของคุณสวลี ผกาพันธ์ ที่ว่า “น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน” นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างทางเดินและเจาะอุโมงค์ทะลุภูเขา เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมสถานที่แห่งนี้อย่างใกล้ชิด ก่อสร้างมานานกว่า 125 ปี นานยิ่งกว่าการก่อสร้างทางรถไฟขึ้น Jungfraujoch เสียอีก
ค่าเข้าชมเมื่อหักส่วนลดด้วยบัตรแล้ว เหลือ 6 CHF/คน เมื่อเข้าไปด้านในมีป้ายแสดงข้อมูลของ Aareschlucht ให้ข้อมูลว่า ทางเดินภายในยาว 1,400 เมตร แม่น้ำ Aare ที่ไหลผ่านมีส่วนที่กว้างที่สุด 40 เมตร ส่วนแคบที่สุดเพียง 1 เมตร น้ำลึกที่สุด 5 เมตร และมีความเร็วในการไหล(ที่ผิวหน้า) 2 เมตรต่อวินาที
ป้ายบอกข้อมูล
ร้านอาหารและเครื่องดื่มสมัยก่อน
เราเข้าไปในข้างในเวลา 11.00 น. เพียงนาทีแรกที่เข้าไปก็ต้องตะลึงเลยทีเดียว ตลอดระยะทาง 1,400 เมตร เราใช้เวลาสำหรับขาไปประมาณ 1 ชั่วโมง ขณะที่ใช้เวลาสำหรับขากลับประมาณ 30 นาที อากาศด้านในเย็นกว่าด้านนอกอย่างรู้สึกได้
ทางเดินไม้กว้างประมาณ 1.20 เมตรแทรกตัวตามผาหินและอุโมงค์ที่เจาะทะลุเขาไว้มีลำน้ำแคบๆ ที่ไหลเชี่ยวกราก กัดเซาะหินจนแหว่งเว้า แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านยอดไม้ด้านบนและแสงไฟตกแต่งขับให้ลวดลายนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเดินพ้นอุโมงค์หินออกไป แม่น้ำกว้างขึ้น ทั้งสองฝากถูกขนาบด้วยหน้าผาสูงชัน มีน้ำตกลงมาจากด้านบนของผาสมทบกับแม่น้ำ รอยเท้าบนพื้นทรายและต้นไม้สีเขียว
ภาพแรกที่เห็น
บางจุดทางเดินแคบมาก
เจาะทางเดินทะลุหินผา
แสงสะท้อนจากพื้นน้ำ
แสงไฟตกแต่ง
แสงจากธรรมชาติ
“น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน”
น้ำตกสายเล็กๆ
ถ้ำที่ถูกขุดไว้สมัยสงครามโลก
ทางเดินบริเวณที่แม่น้ำกว้างขึ้น
แม่น้ำ หินผาและต้นไม้
ปลายทางมีร้านอาหารอยู่ด้านบน
ที่ปลายทางจะเห็นพื้นที่เปิดโล่ง ถ้าเดินต่อไปไหว อีกไม่ไกลก็จะถึงเมือง Innertkirchen เราพักเหนื่อยและทานอาหารกลางวันประมาณ 30 นาที แล้วจึงเดินกลับออกมา ก่อนที่เราจะพ้นปากทางออก เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวสาวชาวเอเชีย เธอร้องว้าว! ออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นวิวที่เราก็ได้เห็นมาเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน และก็คงด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกันซักเท่าไร
ออกจาก Aareschlucht เราเดินไปยังสถานีรถไฟ ระหว่างทางผ่านพิพิธภัณฑ์ของ Sherlock Holmes อีกครั้ง Sir Arthur Conan Doyle ผู้แต่งเรื่อง Sherlock Holmes เคยเลือกน้ำตก Reichenbach ในเมือง Meiringen นี้ เป็นที่ตายของ Sherlock Holmes มาแล้วในปี ค.ศ. 1893 ในตอนที่ชื่อว่า "The Final Problem" ก่อนที่ยอดนักสืบจะถูกแต่งให้ฟื้นคืนชีพในอีกหลายปีต่อมา เพราะทนต่อเสียงเรียกร้องของแฟนๆ ไม่ไหว Sherlock Holmes จะไม่ตายอีกหลังจากนั้น จนเกษียณตนเองในตอน “His Last Bow” ไปอยู่ในฟาร์มเล็กๆ เลี้ยงผึ้งเป็นงานอดิเรก เรานั้นไม่เหมือนยอดนักสืบที่สามารถฟื้นจากความตายได้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ช่วงเวลานั้นจะมาถึง ถ้ามีโอกาสได้สัมผัสโลกในมุมต่างๆ บ้าง ก็อย่าได้พลาดไปนะครับ
รอบเมือง Meiringen ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกหลายแห่ง รวมทั้งรอบๆ ดินแดน Bernese Oberland นี้ แต่รอบนี้เรามีเวลาเพียงเท่านี้ ผมได้แต่ให้สัญญากับตัวเองว่าหากโอกาสอำนวยจะได้กลับมารับพลังของธรรมชาติในถิ่นนี้อีก...สวัสดีครับ