-----เ รื่ อ ง จ ริ ง-----"ค่ า ย อ า ส า กั บ สั ม ผั ส ส ย อ ง ปี ที่ ๒"

ความเดิมปีที่๑ http://pantip.com/topic/34320219

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์สยอง ในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่จังหวัดพิจิตรต่อจากกระทู้ที่แล้ว
ซึ่งต้องบอกก่อนว่า เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้นั้น เป็นเรื่องจริง ที่ผมและเพื่อนๆ น้องๆ ได้สัมผัสกันระหว่างออกค่ายอาสา
โดยที่เหตุการณ์ในปีที่ 2 นี้นั้น มีเหตุบางอย่างที่ทำให้ตัวผมไม่สามารถไปค่ายครั้งนี้ได้
เรื่องราวที่จะเล่าต่อจากนี้ จึงมาจากคำบอกเล่าของเพื่อนๆ และ น้องๆ ที่ได้เดินทางไปจัดกิจกรรม
ไปจัดค่าย ตามคำสัญญาที่พวกเรามีไว้ให้กับครู และ นักเรียนที่โรงเรียนแห่งนั้น
ว่าสักวัน “เราจะกลับมาพบกันใหม่”


ปีที่ 2 ตอนที่ 1
“คิดถึงค่าย”


หลังจากเหตุการณ์การออกค่ายที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จากเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นกับพวกเราผ่านไป
พวกเราก็ใช้ชีวิตกันปกติ ตามประสาเด็กมหาลัยทั่วไป และก็ยังคงจัดกิจกรรมค่ายอาสาอยู่เรื่อยๆ
ซึ่งตอนนี้ พวกเราจัดกิจกรรมค่ายอาสาในนามชมรม ที่พวกเราได้จัดตั้งขึ้นมาเองแล้ว
ทุกครั้งที่มีเวลา หรือแม้กระทั้งช่วงปิดเทอม พวกเราก็จะหาสถานที่ในการจัดกิจกรรม ไกลบ้าง ใกล้บ้าง ตามแต่ที่พวกเราสะดวก
ปีการศึกษาเก่าผ่านไป ปีการศึกษาใหม่ผ่านเข้ามา กิจกรรมรับน้องได้เริ่มขึ้น และจบลงไปด้วยดี
ตอนนี้พวกเรามีรุ่นน้องที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มีความชอบที่เหมือนกัน และ ใช้ชีวิตในลักษณะที่ใกล้เคียงกันเข้ามา
พวกเราพารุ่นน้องออกค่ายอาสา เพื่อฝึกทักษะต่างๆ เรียนรู้ระบบค่าย และ พัฒนาความสามารถของแต่ละคน
กิจกรรมหลายกิจกรรมผ่านพ้นไป ค่ายอาสาหลากหลายค่ายได้จบลง
ค่ายทุกค่าย กิจกรรมทุกกิจกรรม ผ่านไปด้วยดี พร้อมกับคำชื่นชมตามหลังมาเสมอ

จนเมื่อวันเวลาหมุนเวียนวนมาเกือบครบหนึ่งปี ของการไปออกค่ายอาสาที่โรงเรียน ในจังหวัดพิจิตร แห่งนั้น
ผมในตอนนั้น อยู่ในฐานะผู้นำค่ายคนหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นรองประธานชมรม
ผมยังคงนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นที่นั้น และในวันสอบวันสุดท้ายของเทอม ขณะที่เพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนกำลังนั่งเล่นกัน หลังจากการสอบ
ผมเดินไปยังที่นั่งประจำของพวกเรา และพูดลอยๆว่า “เห้ย กูว่ากูจะไปจัดค่ายที่พิจิตรว่ะ”
เพื่อนๆที่ได้ยินทุกคน พากันหัวเราะ และมีเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยว่า “ตามสบายเลยเพื่อน กูไม่ไปหรอก”
“เออ กูไม่ได้มาชวนใคร แค่อยากมาบอก เผื่อใครจะมีของ หรือ ฝากของไปให้ครู และน้องๆที่นั้น” ผมเอ่ยตามที่ตั้งใจ
ทุกคนที่หัวเราะอยู่เริ่มเงียบ และพากันหันมามองหน้าผมด้วยสายตาที่เหมือนจะถามว่า “แน่ใจหรอ?”
“ไปวันไหน คิดไว้ยัง”เพื่อนคนที่เป็นประธานชมรมเอ่ยถามเรียบๆ
“น่าจะช่วงเดียวกับปีที่แล้ว ก็ว่าจะติดต่อไปทางโรงเรียน ถ้าเขาไม่ติดขัดอะไร กูก็ไปเลย”ผมตอบขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้
“งั้นติดต่อเลย ได้เรื่องยังไงบอก เดี๋ยวกูไปด้วย”เขาเอ่ยกลับ
“นี่เอากันจริงใช่ไหม”เพื่อนคนหนึ่งที่ไปมาเมื่อปีที่แล้วถามขึ้นขณะที่มองมาที่ผม
ผมได้แต่พยักหน้า โดยไม่ได้ตอบอะไร

พวกเราเตรียมการต่างๆ เพื่อเตรียมออกค่าย โดยครั้งนี้ มีสมาชิกที่ไปเมื่อปีที่แล้วเพียง 5 คน
ส่วนที่เหลือก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เมื่อปีที่แล้วไม่ว่าง และรุ่นน้องที่ออกค่ายอาสามากับพวกเรา รวมแล้ว 23 คน
การเตรียมการทั้งหมดผ่านไปด้วยดี คุณครูและน้องๆนักเรียนที่นั้น เมื่อทราบข่าวก็พากันดีใจ และเฝ้ารอวันเวลาที่เราจะได้พบกัน

2 วันก่อนถึงวันเดินทาง พวกเราหลายคนกำลังนั่งเล่นกันที่หอพัก อยู่ๆผมก็มีอาการไข้ขึ้น ลักษณะเหมือนคนมีไข้ทั่วไป
จึงขอตัวนอน โดยที่เพื่อนๆ และน้องๆ ก็ยังคงในเล่นกันในห้อง
ผมรู้ตัวว่าหนาวมาก จึงนำมามาห่มจนเหงื่อออกเต็มตัว และเผลอหลับไป
“พี่แบงค์!!!” เสียงรุ่นน้องผู้หญิงผมคนหนึ่งตะโกนขึ้น
ผมลืมตาตื่นขึ้น ภาพที่เห็นคือน้องผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ข้างๆ ขณะที่กุมมือผมข้างหนึ่งไว้แน่น
เหงื่อผมไหลเต็มตัว ผ้าปูที่นอนเปียกแฉะ และเห็นเพื่อนและน้องคนอื่นนั่งมองผมอยู่ห่างๆ เกือบจะติดประตูห้อง
เพื่อนคนที่เป็นประธานชมรมเล่าให้ฟังหลังจากผมตื่นได้สักพักว่า
พวกเขาก็นั่งคุย นั่งเล่นกันตามปกติ แต่อยู่ๆผมก็ละเมอนอนกางแขนทั้งสองข้างออก
และพูดลอยๆออกมาว่า “ไม่ให้ไป” เมื่อเอียงตัวไปด้านซ้าย และพูด “กูจะไป” เมื่อเอียงตัวไปทางขวา
เขาบรรยายต่อว่า อาการเหมือนมีคนดึงแขนผมทั้งสองข้าง เหมือนเล่นชักกะเย่อ ซึ่งเสียงผมที่เอ่ยออกมาก็ไม่เหมือนเสียงผมเลย
จนน้องผู้หญิงลุกมาจับมือและเรียกชื่อผมถึง 3 ครั้ง ผมจึงตื่น ซึ่งตัวผมเองได้ยินเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

คืนนั้นมีหลายคนนอนค้างที่หอผม เพราะเป็นห่วงอาการผมกันมาก
และแล้วอาการที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิด ก็เกิดขึ้นกลางดึกของคืนนั้น เมื่อผมไอออกมาเป็นเลือด แต่ไม่มาก
ซึ่งเพื่อนๆก็พยายามให้ไปหาหมอ แต่ผมปฏิเสธ เพราะเป็นคนกลัวหมออยู่แล้วเป็นทุนเดิม จึงฝืนนอนหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมยังคงมีไข้  ไอออกมาเป็นเลือดมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ จนเลือดเต็มห้องน้ำ
เพื่อนๆ น้องๆที่เห็นสภาพผม ต่างร้องไห้กันทุกคน เพียงแต่ไม่ให้ผมเห็นว่าพวกเขาร้องไห้
ร่างกายผมเริ่มหมดแรง ผมรู้ตัวว่าสติผมเริ่มจางหาย จึงพยายามพูดกับเพื่อนที่เป็นประธานชมรมว่า “ไปโรงพยาบาล”
ผมไปถึงมือหมอด้วยอาการอ่อนเพลีย หมอตรวจอาการอย่างละเอียด และบอกว่าผมเป็นโรค ปอดติดเชื้อ
ผมขอหมอไปรักษาตัวเองที่บ้าน โดยก่อนหน้าจะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน เพื่อนที่เป็นประธานชมรมได้พูดกับผมว่า
“ค่ายนี้มีงเป็นคนเริ่ม แต่กูจะเป็นคนทำให้มันเสร็จเอง ไม่ต้องห่วงน่ะ รักษาตัวเองให้หายดีก่อนพวกกูจะกลับมา”

และนั้นเป็นคำพูด และ เหตุการณ์สุดท้ายของเรื่องเล่าเรื่องนี้ ที่ตัวผมมีส่วนได้สัมผัสโดยตรง
ส่วนเหตุการณ์ต่อจากนี้ จะเป็นเหตุการณ์ที่เพื่อนๆ และ น้องๆผมทั้ง 22 คน ได้ไปสัมผัสกันมา
โดยที่ผมขอทำหน้าที่เรียบเรียงเรื่องราว จากข้อมูลที่ได้รับฟังมานับครั้งไม่ถ้วนนี้  
ส่งต่อผ่านการบอกเล่าเป็นข้อความ ให้ทุกคนได้อ่านไปพร้อมๆกัน...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่