(บทความ) กระชากหน้ากากธรรมะของขันทีผู้ชั่วร้าย ทรราชที่ประวัติศาสตร์จีนจารึก

กระทู้คำถาม
คุยกันก่อน
     จากชื่อหัวข้อกะทู้ที่ตั้งไว้ ท่านผู้อ่านอย่าพึ่งเชื่อนะครับ เพราะผมจะเล่าเรื่องราวของบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ชาติจีน แล้วถูกประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า บุคคลเหล่านี้ล้วนเกิดมาเพื่อสร้างความทุกข์เข็ญให้กับเพื่อนร่วมชาติของตนเอง จนบางครั้งนำไปสู่การสิ้นชาติ สิ้นราชวงค์กันเลยทีเดียว

     คนที่เคยอ่านบทความของผมมาก่อนก็น่าจะพอรู้ว่า ผมเขียนสั้นๆไม่เป็น อาจเป็นเพราะผมต้องการให้รายละเอียดเกร็ดประวัติศาสตร์ในแง่ต่างๆไปให้ท่านผู้อ่านและพิจารณาเอาเองว่า เนื้อหาและเรื่องราวที่ผมนำเสนอผ่านบทความนั้นๆ มีเหตุผลและน้ำหนักในข้อสรุปในแต่ล่ะครั้งของการเขียนของผมหรือเปล่า


     หลังราชวงศ์หมิงก่อตั้งมาได้เพียง 2 รัชกาล ก็เกิดสงครามกลางเมืองที่เรียกว่า “การจลาจลจิ้งหนาน” ขึ้น จนกระทั่งเจ้ารัฐเอี้ยน – จูตี้ ยกทัพเข้ายึดปักกิ่งสถาปนาตนขึ้นเป็นฮ่องเต้หมิงเฉิงจู่หรือฮ่องเต้หย่งเล่อ แม้ว่าราชวงศ์หมิงจะมีความเจริญรุ่งเรืองในหลายๆด้าน แต่ทว่าหย่งเล่อเองก็ได้ฝังรากปัญหาอันเป็นต้นเหตุสำคัญแห่งความเสื่อมของราชวงศ์หมิงเอาไว้ด้วยเช่นกัน ปัญหาที่ว่านั้นคือ “ขันที

     เหตุสำคัญอยู่ ในราชวงศ์หมิง ถือว่าเป็นราชวงศ์หนึ่งที่ “ขันที” เข้ามามีบทบาทและอำนาจทางการเมืองอย่างสูง จนการแทรกแซงการปกครองจากเหล่าขันทีทำให้ระบบราชการมีแต่ความฟอนเฟะ โดยเฉพาะเมื่อมีการยกเลิกระบบอัครเสนาบดี ได้ทำให้อำนาจถูกควบรวมศูนย์อยู่ที่ฮ่องเต้ ฉะนั้นเมื่อใดที่ฮ่องเต้ทรงหย่อนยานในราชกิจ ก็มักจะหันมาพึ่งขันทีจนเกิดเป็นความสับสนในระบบ กระทั่งท้ายที่สุดในบางสมัยขันทีถึงกับมีอำนาจเทียบเท่าอัครเสนาบดีทีเดียว

     ในช่วงต้นราชวงศ์หมิง หมิงไท่จู่ หรือจูหยวนจางได้เล็งเห็นถึงอุทาหรณ์จากประวัติศาสตร์ในอดีต โดยเฉพาะช่วงปลายราชวงศ์ถังที่ขันทีเข้ามาข้องแวะกับอำนาจทางการเมือง จนเกิดความวุ่นวายในแผ่นดิน จึงทรงดำเนินการตรากฎหมายมากมายเพื่อควบคุม อาทิห้ามมิให้ขันทีเรียนหนังสือ ห้ามมิให้ไปมาหาสู่กับขุนนางในราชสำนัก ไม่อนุญาตให้ขันทีรับตำแหน่งขุนนางทั้งพลเรือนและทหารเป็นต้น โดยมีพระประสงค์ที่จะควบคุมขันทีให้อยู่ในร่องในรอย ถึงกับทรงตั้งป้ายเหล็กไว้ที่หน้าพระตำหนัก ที่สลักข้อความว่า “ห้ามขันทีข้องแวะกับการปกครอง ผู้ละเมิดมีโทษประหาร

     “แต่ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน” หากคนๆนั้นดีงามทางจิตใจก็ดีไป แต่หากเป็นคนเลวร้ายแล้วมานะบากบั่นจนถึงเป้าหมายซึ่งในที่นี้คือ อำนาจ เหล่าประชาราษฎร ย่อมหนีไม่พ้นได้รับผลแห่งกรรมชั่วกันทั่วหน้า และเจตนารมณ์ของปฐมกษัตรย์ อย่างจูหยวนจาง ที่ไม่ต้องการให้ขันทียุ่งเกี่ยวกับการปกครอง เพราะเล็งเห็นว่า จะเป็นภัยต่อชาติและราชบัลลังก์ ก็กลายเป็นแค่ข้อความของคนตาย ที่ไม่มีใครใส่ใจอีกแล้ว

     เพราะเมื่อมาถึงรัชกาลที่ 3 ของหมิง หมิงเฉิงจู่ (จูตี้) กฎเกณฑ์เรื่องขันทีก็ค่อยๆเปลี่ยนไป อันมีสาเหตุมาจากในช่วงเวลาที่จูตี้กำลังทำสงครามภายใน มีขันทีจำนวนมากที่ไม่พอใจต่อความเข้มงวดของหมิงฮุ่ยตี้ ที่ยังคงเคารพต่อคำสั่งเสียของบรรพชน ที่ให้เข้มงวดระแวดระวังขุนนางใกล้ตัวอย่างขันที มิให้กำเริบเสิบสานในอำนาจ ทำให้เหล่าขันทีหลายคนไม่พอใจอยู่เงียบๆ

     และหลายคนลอบส่งข่าวจากในราชสำนักออกมาให้กับหมิงเฉิงจู่ซึ่งยังดำรงตำแหน่งเจ้ารัฐเอี้ยนในขณะนั้น ยุยงให้หมิงเฉิงจู่ชิงราชบัลลังก์ ขันทีบางคนถึงกับหนีมาร่วมกองทัพ ผนวกกับขันทีข้างกายของจูตี้เองหลายคนก็ได้เข้าร่วมในสงครามและสร้างผลงานการศึกเอาไว้มาก ทำให้หมิงเฉิงจู่มีความไว้วางพระทัยต่อบุคคลเหล่านี้ไม่น้อย และเมื่อตนได้ใช้อำนาจที่เหนือกว่าบีบบังคับให้ตนเองเป็นผู้สืบต่อตำแหน่งฮ่องเต้ จากหมิงฮุ่ยตี้ ได้สำเร็จ ส่งผลให้หมิงฮุ่ยตี้ ครองราชย์เพียงระยะเวลสั้นๆเพียง 4 ปี เท่านั้น

     แต่ด้วยความเขลาเบาปัญญาและมากระแวงของหมิงเฉิงจู่ (จูตี้) โดยเฉพาะหลังจากที่ย้ายราชธานีไปยังปักกิ่ง เนื่องจากหมิงเฉิงจู่เกรงว่าขุนนางเก่าจากรัชกาลก่อนจะไม่สามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้ จึงมีการตั้งหน่วยงาน “ต่งฉั่ง” (东厂- หน่วยงานบูรพา) ขึ้น เพื่อให้ขันทีมีอำนาจในการตรวจสอบทั้งขุนนางและราษฎรว่ามีผู้ใดที่มีข้ออันพึงสงสัยได้ว่าจะเป็นผู้ที่เตรียมก่อการกบฏ และสืบเนื่องจากที่หน่วยงานนี้ควบคุมดูแลโดยเหล่าขันทีที่มีความใกล้ชิดกับฮ่องเต้ ทำให้เมื่อได้รับข่าวสารใดมา ก็สามารถทูลต่อฮ่องเต้ได้โดยตรงทันที

     ต่งฉั่งทำการสำเร็จโทษขุนนางและราษฎร โดยอ้างความชอบธรรมในการปกป้องสถาบัน เป็นจุดเริ่มแห่งชะตากรรมที่เลวร้ายของราษฎรยุคราชวงศ์หมิง  และขันทีคลั่งอำนาจเหล่านั้น ก็สืบทอดอำนาจกันเรื่องมากัดกร่อน จนในที่สุดก็มีผู้นำเป็นของตัวเอง (ผู้สืบทอดอำนาจของขันที ต่อกันมาตลอดยุคสมัย ราชวงศ์หมิง)และรวบอำนาจทุกอย่างไว้ในมือ

     ในรัชกาลฮ่องเต้หมิงอิงจง หัวหน้าขันทีหวังเจิ้น รวบอำนาจได้สำเร็จเป็นคนแรกจนเป็นที่หวาดกลัวของฮ่องเต้ มีอำนาจเหนือกว่าขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักจนบรรดาขุนนางต่างต้องคอยมาประจบสอพลอ จนระบบการปกครองเสื่อมทรามลงทุกที มีการทุจริตกันทั้งฝ่ายนอกฝ่ายในอย่างออกนอกหน้า บรรดาขุนนางที่ต้องการมาขอพบหวังเจิ้น ก็จะต้องจ่ายเงินร้อยตำลึงเป็นของขวัญ ทำให้ภายในช่วงระยะเวลา 7 ปีที่หวังเจิ้นมีอำนาจมีทรัพย์สมบัติเป็นเงินและทองรวมกันถึงกว่า 60 โกดัง

     เมื่อมาถึงรัชกาลของฮ่องเต้หมิงเสี้ยนจง ยิ่งทรงไว้กลัวเกรงเหล่าขันที นอกจากมีตงฉั่งแล้ว ยังได้จัดตั้งหน่วยงาน “ซีฉั่ง” (西厂-หน่วยงานประจิม) ขึ้นมา โดยมีขันทีวังจื๋อ  ผู้สืบอำนาจต่อจากขันทีชั่วรุ่นพี่ขึ้นกุมอำนาจ โดยสามารถออกคำสั่งกับตงฉั่ง และใช้หน่วยงานองครักษ์เสื้อแพรเป็นเสมือนเขี้ยวเล็บในการปฏิบัติการ ทำให้มีอำนาจบาตรใหญ่จนถึงขั้นจับตัวและเข่นฆ่าชาวบ้านหรือขุนนางตามอำเภอใจ จนขุนนางผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตไปนับไม่ถ้วน

     รูปการณ์ดูคล้ายจะดีขึ้นในสมัยฮ่องเต้หมิงเสี้ยวจง ที่ทรงให้ความเอาใจใส่ต่อราชการบ้านเมือง จนการปกครองในยุคนั้นเริ่มที่จะดีขึ้นบ้าง แต่แล้วหลังจากทรงสวรรคต หมิงอู่จง ฮ่องเต้องค์ถัดมาที่ครองราชย์ด้วยวัยเพียง 15 ปี ด้วยเป็นฮ่องเต้ที่นิยมความสำราญ จึงทรงเชื่อฟังเหล่าขันที โดยเฉพาะหลิวจิ่น ขันทีที่มีอำนาจมากที่สุดในขณะนั้น ได้จัดตั้ง “เน่ยฉั่ง” (内厂- หน่วยงานฝ่ายใน) ซึ่งโหดเหี้ยมทารุณและใช้อำนาจบาตรใหญ่ยิ่งกว่า”ตงฉั่ง” กับ “ซีฉั่ง”เสียอีก ในยุคสมัยที่หลิวจิ่นเรืองอำนาจนั้น การทุจริตฉ้อฉลรับสินบนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติอย่างกว้างขวางไปทั่ว

     ซึ่งในภายหลังเมื่ออดีตขุนนางพี่น้องแซ่หยางกับหวังหยางหมิง สามารถทำให้ขันทีผู้หนึ่งเอาใจออกห่าง จนเป็นเหตุให้สามารถล่วงรู้ถึงแผนการชิงราชสมบัติของหลิวจิ่น และสามารถจับกุมตัวพร้อมสมัครพรรคพวกและพี่น้องได้ทั้งหมดเพื่อทำการประหารชีวิต ซึ่งต่อมาหลังจากมีการตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดของหลิวจิ่นแล้วพบว่ามีทองคำมากกว่า 12 ล้านตำลึง มีเงินกว่า250 ตำลึง ซึ่งยังไม่รวมถึงเพชรนิลจินดาและสิ่งมีค่าอื่นๆอีกมากมาย โดยทรัพย์สินของหลิวจิ่นที่ถูกริบนี้ยังมีมูลค่ามากกว่างบประมาณแผ่นดินในสมัยนั้นเสียอีก

     การเข้ามาแทรกแซงอำนาจการปกครองของขันที ได้ก่อให้เกิดความวิบัติในราชวงศ์หมิงหลายครั้ง หลังจากที่ฮ่องเต้หมิงเซวียนจงสวรรคต รัชทายาทจูฉีเจิ้น ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หมิงอิงจง ด้วยวัยเพียง 9 ชันษา ในขณะนั้นหวังเจิ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าขันทีดูแลฝ่ายใน ได้คอยช่วยเหลือหมิงอิงจงในการตรวจฎีกาต่างๆที่ถูกส่งมาจากขุนนาง ส่วนหมิงอิงจงเองก็ใฝ่พระทัยแต่กับการเล่นสนุกเสเพล ไม่สนใจกิจการบ้านเมือง จนกระทั่งหวังเจิ้นค่อยๆฉวยโอกาสในการรวบอำนาจทางการทหารและการปกครองมาไว้ในมือ ขุนนางราชสำนักคนใดกล้าขัดใจ ก็จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง ไม่ก็ถูกส่งไปเป็นทหารในกองทัพ แม้แต้บรรดาขุนนางราชนิกูลเองยังคอยประจบหวังเจิ้นถึงกับเรียกขานเป็นเหมือนบิดาว่า “เวิงฟู่” (翁父) เลยทีเดียว

     ที่น่าสังเกตก็คือ การก่อตั้งองค์กรสารพัดฉั่งขึ้นมา ล้วนแต่อ้างเหตุผลหลักประการเดียวกันคือ ปกป้องสถาบัน ทั้งๆที่จริง หน่วยงานสารพัดฉั่งนั้น คือตัวการของการล่มสลายของราชวงศ์สายเลือดชาวฮั่น ที่ปกครองแผ่นดินจีนมายาวนานกว่า 200 ปี และเกือบตลอดระยะเวลาทั้งหมดนี้ ล้วนมีขันทีชั่วสืบทอดอำอาจกันมาตลอดเวลา ผมลองนับดูเล่นๆ เอาเฉพาะตัวผู้นำก็ได้เกือบๆ 40 รายชื่อ โอ้โห มันเป็นขบวนการชั่วที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ซึ่งหากจะไล่เขียนชื่อใส่ทั้งหมดบทความของผมก็คงจะยาวเกินไปจนไม่มีใครอ่านแน่ๆ (จริงๆอยากเขียนยาวไปจนถึงยุคอู๋ซันกุ้ย ผู้ที่ปิดฉากราชวงศ์ที่ฟอนเฟะเพราะการคอรัปชั่นของขันที)

แต่คำถามคือ ทำไมคนสมัยนั้นถึงได้ยอมกันล่ะ..?

คำตอบก็คือ เพราะเหตุผลในกรก่อตั้งหน่วยงานสารพัดฉั่งของเหล่าขันทีผู้กระหายอำนาจนั้นเป็นที่ยอมรับของสังคมสมัยนั้น คือ การกระทำเพื่อป้องป้องสถาบัน ในราชวงศ์หมิงกับถัง ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวฮั่น(สายเลือดจีนแท้ๆ) แต่กลับเป็นราชวงศ์ที่ต้องประกาศการปกป้องสถาบันกันมาเกือบตลอดยุครัชสมัย และได้ชื่อว่าเป็นยุคที่มีขุนนางชั่วขึ้นชื่อลือนามมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติจีน เมื่อเทียบกับยุคอื่นๆ

คนจีนนี้แปลกเนาะ ยอมให้คนชั่วกระทำได้ตามอำเภอใจ เพียงอ้างเหตุผลข้อเดียว ก็ยอมกันมาเรื่อยเป็นร้อยๆปี


     ไม่จำเป็นต้องเชื่อผมนะครับ ผมอ่านมาแบบไหน ผมก็ถ่ายทอดตามความเข้าใจของผม ท่านลองอ่านและพิจารณากันเอาเอง ว่าบุคคลเหล่านี้ สมควรไหม ที่ผมอยากจะเรียกว่าเหล่า ทรราช

ป.ล.ผมใช้ตัวเลขใหม่ลงบทความนี้ ก็เพราะเหตุผลความปลอดภัยของล็อคอินครับ

ขอบคุณครับ
นายพระรอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ฮ่องเต้สมัยก่อนต้องมีชายา สนม กำนัล มากมาย นอกจากเพื่อให้สมฐานะเจ้าแผ่นดินแล้วยังเพื่อจะได้ไม่หลุมหลงสตรีนางใดนางหนึ่งเท่านั้น ประมาณว่ากลัวหลงสตรีที่มักใหญ่ใฝ่สูงแล้วทำราชวงศ์ล่มสลาย ทีนี้ปัญหาก็ตามมา สนมกำนัลในวังไม่ได้พบผู้คน ก็เกรงว่าผู้ชายที่ทำงานฝ่ายในจะก่อเรื่องไม่ดีงาม ก็เลยแก้ปัญหาโดยต้องมีกฎให้เป็นขันทีซะ จะได้ไม่เกิดกิเลสตัณหาตรงนี้ อีกอย่าง เมื่อเป็นขันทีแล้วก็ไม่มีลูกเมีย ไม่ต้องห่วงว่าจะทำเพื่อลูกเมียคิดตั้งตนเป็นใหญ่ ยังไงก็ต้องอยู่พึ่งพาฮ่องเต้ไปตลอด

แต่ แต่ แต่ เขาคงลืมไปว่ามนุษย์ล้วนมีกิเลสในหลายรูปแบบ เมื่อตัดปัญหาไม่ให้ขันทีไปวุ่นวายกับสนมกำนัลได้ แต่กิเลสด้านอื่นๆ ล่ะ ความกระหายอำนาจวาสนา ความต้องการชดเชยสิ่งที่ได้สูญเสียไป ความอิจฉาริษยา ฯลฯ อีกทั้งในวังขันทีถือเป็นที่ไว้วางพระทัยของฮ่องเต้ ทำให้ได้ใจ ถือว่าเป็นคนใกล้ชิด ขันทีบางคนก็ซื่อสัตย์จงรักภักดี บางคนก็จิตใจวิปริตแปรปรวน คิดดูฮ่องเต้หรือบรรดาทายาทที่ต้องแวดล้อมด้วยคนพวกนี้ย่อมมีโอกาสถูกเป่าหูหรือมีความคิดเอนเอียงได้




ยุคไหนฮ่องเต้ปรีชาเข้มแข็ง ขันทีก็เป็นเพียงคนรับใช้พระองค์ แต่ยุคไหนฮ่องเต้อ่อนแอ ไร้สามารถ บ้านเมืองก็ตกอยู่ในมือบรรดาขันทีทั้งหลาย ก็เป็นเวรกรรมของราษฎร บรรดาเหล่าเสนา แม่ทัพ ที่มีความสามารถ จงรักภักดี รักใคร่ประชาชน ไม่ตายดีซักคนเพราะความอิจฉาของขันทีพวกนี้แหละ โดนใส่ร้ายป้ายสี ข้อหาประจำคือ "เอาใจออกห่างฮ่องเต้ หวังล้มล้างราชบัลลังก์" สุดท้ายราชวงศ์ล้มก็เพราะขันทีเหล่านี้นั่นเอง


.................................

ปล. พี่พระรองเอาตัวเลขตั้ง หนูก็เอาตัวเลขตอบแหละค่ะ เหตุผลเดียวกัน

ความคิดเห็นที่ 8
มักเป็นเช่นนี้เสมอๆ......
ประวัติศาสตร์ของผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท   ขุนนาง  ขันที  และมหาอำมาตย์  เหล่านี้สุดท้ายมักจะแสดงความโลภโมโทสันออกมา  อิงแอบอยู่หลังพระราชบัลลังก์สะสมอำนาจไปพร้อมๆ กัน   เมื่ออำนาจนั้นสุกงอมก็คิดยิ้ม   ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาก็มีให้เห็นดาษดื่น


จำเนียรกาล   เด็กหนุ่มชาวอยุธยาคนหนึ่งถวายตัวเข้าไปเป็นมหาดเล็กในวังไม่นานก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นนายหุ้มแพร  ไต่เต้ากินตำแหน่ง "จมื่น"ด้วยวัยเพียง ๑๘ ปี  ....แล้วเลื่อนไปจนถึงขั้นสูงสุดถึงตำแหน่งเสนาบดีกลาโหมที่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์   มีอำนาจทางทหารและกองกำลังทหารเป็นของตัวเอง   ขุนนางคนอื่นๆ ต่างก็ย่ำเกรง

เขา "ประเมินกำลัง" ของตัวเอง   โดยใช้เชิญขุนนางผู้ใหญ่มางานฌาปนกิจศพมารดาของตัวเองในขณะที่ขุนนางเหล่านั้นต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว   ขุนนางแตกออกเป็นสองฝ่าย   ที่จงรักภักดีก็เข้าเฝ้า  แต่ส่วนใหญ่ก็มาร่วมงานฌาปนกิจของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์......เมื่อรู้แน่ชัดว่ามีอำนาจยิ่งใหญ่พอที่จะโค่นราชบัลลังก์ได้    เข้านำทหารเข้าปล้นพระราชวังแล้วจับพระเจ้าแผ่นดินปลงพระชนม์เสีย

มักจะเป็นเช่นนี้เสมอๆ.......กงล้อแห่งอำนาจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่