เรื่องสั้นแสนสั้น เขม่าปลายปืนใหญ่

กระทู้สนทนา
ในโลกที่เลิกห่ำหั่นกันด้วยความรุนแรงและเปลี่ยนไปใช้วิธีทางเศรษฐกิจ  บทบาททางการทหารของแต่ละประเทศก็เริ่มลดน้อยลง  แต่ถึงกระนั้นแต่ละฝ่ายก็ยังคงกำลังไว้อย่างแน่นหนา โดยอ้างถึงการป้องกันตนเองทั้งสิ้น   ณ  ดินแดนหนึ่งของโลกทางตะวันออก “ยูโทเปีย”  ประเทศที่กำลังพัฒนานี้เองก็ต้องมีกำลังทางทหารไว้เพื่อป้องกันตนเองจากภัยในรอบๆด้าน   ยูโทเปียเป็นประเทศเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ ทิศใต้ติดกับทะเลทำให้สามารถทำการประมงได้

    หลังจากจบสงครามโลกครั้งใหญ่  ฝ่ายที่พ่ายแพ้นอกจากต้องจ่ายค่าประติมากรรมสงครามแล้วก็ยังต้องเร่งฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองไปด้วย  แต่ยูโทเปียที่อยู่ระหว่างสองฝ่ายนั้นไม่ได้มีความเสียหายแต่อย่างใด  ทำให้บรรดาประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายต่างไม่พอใจกับพฤติกรรมนกสองหัวของยูโทเปีย  จึงได้มีเหตุความรุนแรงบ้างในเขตพื้นที่ชายแดนของยูโทเปีย   ถึงแม้จะมีการเจริญความสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศเป็นประจำ  แต่นั่นก็เพียงละครฉากหน้าเท่านั้น  บรรดาขุนนางที่ปกครองแต่ละแคว้นของยูโทเปียบ้างก็มีการใช้ความรุนแรงกับนักโทษที่หลบหนีทางชายแดนอยู่เป็นประจำ  ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดบ่อยครั้ง   ยูโทเปียยังคงปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ และบรรดาเหล่าขุนนางคอยบริหารราชการแผ่นดิน  ในปัจจุบันเป็นรัชสมัยของกษัตริย์จิล และ ราชินีมารีแอน  ทั้งสองพระองค์นั้นมีเพียงพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว   ซึ่งมีฝ่ายที่ไม่พอใจกับการให้พระราชธิดาขึ้นครองราชย์ ก่อเป็นกลุ่มต่อต้านระบอบกษัตริย์และเรียกร้องให้ล้มเลิกการใช้ระบอบนี้  จึงเป็นปัญหากลางเมืองในบางคราว

    เนื่องด้วยปัญหาทางด้านชายแดนที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน ทำให้มีการออกพระราชโองการจัดตั้งหน่วยรบพิเศษขึ้นเพื่อป้องกันภัยจากทางด้านชายแดน   “อาเธอร์”  นายทหารหนุ่มฝีมือดีคนหนึ่งถูกย้ายให้เข้าประจำหน่วยรบพิเศษนี้  ซึ่งจะไม่มีการบรรจุเข้าในสังกัดใดๆทั้งสิ้น ทุกคนในหน่วยจะถูกสลับเปลี่ยนหมุนเวียนประจำในแต่ละสังกัด   งานแรกที่อาเธอร์ได้รับคือเข้าประจำการเป็น รองผู้บังคับการเรือดำน้ำที่พึ่งประจำการไม่นานมานี้  กองเรือดำน้ำมีหน้าที่สอดแนมและรักษาน่านน้ำพิพาทในปัจจุบัน  ประกอบไปด้วยเรือดำน้ำทั้งหมดสามลำ  อาเธอร์บรรจุเป็นรองผู้การเรือลำที่สาม มีหน้าที่สนับสนุนเรือลำที่หนึ่งและสองในการปฏิบัติภารกิจ  แต่เขาเองยังไม่เคยได้เข้าสนามรบจริงแม้แต่ครั้งเดียว  เป็นเพราะโลกนั้นไม่ได้อยู่ในสภาวะสงครามมายาวนานหลายสิบปีแล้ว เขาจึงไม่มีประสบการณ์แต่ด้วยไหวพริบที่เฉียบคมทำให้การฝึกของเขาเป็นไปอย่างราบรื่น

    “โรงอาหารวันนี้มีเมนูพิเศษสำหรับสัญญาบัตรด้วยล่ะ”  มิททิวเพื่อนสนิทของอาเธอร์พูดกับเขาระหว่างเดินไปยังโรงอาหารของค่าย  วันนี้เป็นวันแรกที่หน่วยของเขาเข้ามาประจำการที่ฐานทัพเรือติดชายแดน  อาเธอร์มีนิสัยเงียบครึมไม่ค่อยพูดจา  จึงทำให้มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่สนิทด้วย  มิททิวเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของอาเธอร์  ทั้งคู่จบจากโรงเรียนเตรียมด้วยคะแนนที่สูสีกัน  ทำให้ถูกคัดเลือกเข้ามายังหน่วยพิเศษนี้
“แค่สเต๊กเนื้อชั้นดีที่หากินได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป ไม่เห็นต้องดีใจอะไรขนาดนั้น”  อาเธอร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา  เมนูพิเศษสำหรับเขาคงมีเพียงอาหารสำรับราชาเท่านั้น  ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าโรงอาหาร  ภายในเต็มไปด้วยทหารสัญญาบัตรอาวุโส  นี่คงจะเป็นสถานที่ที่น่าอึดอัดสำหรับพวกทหารหน้าใหม่ เพราะสายตาหลายคู่ที่จับจ้องพวกเขาปานเหมือนกับกวางที่หลงเข้ามาในถิ่นของไฮยีน่า   ทั้งคู่เดินไปสั่งเมนูแล้วถึงเดินออกมาเลือกที่นั่ง  มิททิวหยุดอยู่ที่โต๊ะของกลุ่มทหารสาวและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเหล่าทหารสาวนั้น  
“สวัสดีครับท่านผู้การ  ขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือเปล่าครับ”  มิททิวเอ่ยคำถามพร้อมกับนั่งลงตรงหน้านายทหารสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะ
“ถ้าหากพวกนายขาดความอบอุ่นขนาดนั้นแล้วล่ะก็ เชิญ”  ผู้การสาวตอบตกลงพร้อมทั้งเล่นมุขตลกใส่
เธอคือผู้การเรือดำน้ำลำที่สาม  “ผู้การราเมียส”  เธอเคยประจำอยู่เรือลาดตะเวนในฐานทัพเดียวกันอยู่หลายปี  จนกระทั่งเรือดำน้ำรุ่นใหม่ได้เข้าประจำการเธอเองก็โดนย้ายมาที่กองเรือดำน้ำนี้เช่นกัน  บรรยากาศที่เงียบสะงัดทำให้แม้แต่มิททิวเองก็ไม่กล้าจะเล่นมุขอะไรตอบกลับ  เมื่ออาเธอร์ทานเสร็จแล้วจึงขอตัวและลุกขึ้นนำจานไปเก็บและเดินออกจากโรงอาหารไป

    ในบ่ายวันนั้นมีประชุมแผนการนำกองเรือดำน้ำออกปฏิบัติการในน่านน้ำพิพาท  โดยภารกิจคือเข้าสู่แนวชายแดนและสอดแนมกองทัพฝั่งตรงข้าม  เนื่องจากฝ่ายข่าวกรองได้ข่าวเกี่ยวกับการสนับสนุนกองกำลังฝ่ายต่อต้านที่กำลังรวบรวมประชาชนเพื่อร่วมทำการประท้วงรัฐบาลและราชวงศ์  ทำให้กองเรือต้องเข้าไปสอดแนมและสืบข่าวรวมถึงตัดกำลังศัตรูหากมีการรุกร้ำเข้ามาสู่เขตประเทศยูโทเปีย   ภารกิจจะเริ่มขึ้นในคืนนี้เพราะทางฝ่ายยุทธศาสตร์ต้องการให้กองเรือเคลื่อนเข้าไปในช่วงคืนเดือนมืด ซึ่งคือวันนี้   หลังจากจบการประชุมแผน อาเธอร์เดินไปยังอู่เรือดำน้ำลำที่สามเพื่อตรวจสอบการปล่อยเรือตามกระบวนการ โดยมีผู้การราเมียสตามมาในภายหลัง
“หากมีการเคลื่อนทัพจริง  ทางเราจะต้านไว้ได้สักเท่าไหรกัน” ผู้การราเมียสพูดขึ้นขณะกำลังตรวจสอบระบบของเรือ
“อย่างมากคงไม่เกินหนึ่งชั่วโมงหรอกครับ  หากฝ่ายนั้นมีกำลังที่มากกว่า เรือสามลำทำอะไรไม่ได้มากหรอกครับ”  
จริงอย่างที่อาเธอร์ได้ว่าไว้เรือดำน้ำรุ่นเก่าที่ถูกซื้อมาเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะไม่สามารถจะสู้รบกับกองกำลังขนาดใหญ่ได้อย่างแน่นอน  ถ้าโชคดีกองเรือลาดตะเวนจะมาช่วยพวกเขาได้ทันเวลา แต่หากไม่เป็นอย่างนั้นเรือดำน้ำรุ่นเก่าที่ไม่มีใครชำนาญเลยสักคนทั้งสามลำต้องจมอย่างแน่แท้  กองทัพเรือได้สั่งซื้อเรือดำน้ำรุ่นเก่านี้ต่อจากกองทัพของประเทศที่เคยแพ้สงครามมาก่อน แต่เรือดำน้ำรุ่นนี้มีระบบที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้นมาก  และยังสามารถจมเรือของฝ่ายศัตรูมานับไม่ถ้วน  แม้มันจะประสบความสำเร็จแค่ไหนแต่หลังสงครามจบมันก็ถูกปลดประจำการในทันที  และหลังจากนั้นก็ถูกนำมาขายทอดตลาดในภายหลัง   ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น  อาเธอร์ก็ยังขะมักเขม่นในการตรวจสอบระบบต่างๆ เขาขึ้นไปตรวจสอบที่ดานฟ้าเรือและมองขึ้นไปยังท้องฟ้าและเอ่ยคำพูดขึ้น  “คืนนี้จะเป็นคืนที่มืดมิดหรือคืนที่สว่างไปด้วยเพลิงไฟกันแน่”

    พระจันทร์ในคืนนี้มืดมิดจนมองไม่เห็นแม้แต่หน้าผู้คน  อาเธอร์ยืนอยู่บนสะพานเรือเพื่อคอยสอดส่องบริเวณโดยรอบ  กองเรือดำน้ำออกเดินทางมาได้สักพักแล้ว นี่คงใกล้ถึงจุดปฏิบัติการแล้ว ทั้งหมดเริ่มทยอยลงไปยังห้องบังคับการเพื่อเตรียมตัวสู่การดำลงพื้นน้ำ
“เตรียมการดำระดับเพอริสโคป!!”  ผู้การราเมียสสั่งเรือดำลง  อาเธอร์ไปช่วยบริเวณเจ้าหน้าที่โซนาร์   เครื่องโซนาร์ตรวจจับเสียงได้เป็นจำนวนหนึ่ง  เจ้าหน้าที่เครื่องโซนาร์บอกกับอาเธอร์ว่ายินเสียงกองเรือได้ในระยะไกล  อาเธอร์จึงกลับมายังห้องบังคับการและแจ้งต่อผู้การทันที  ผู้การราเมียสนำกล้องตาเรือขึ้นสู่ผิวน้ำและคอยส่องดูเรือบริเวณรอบๆ  เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ทำให้เธอมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด   เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงเจ้าหน้าที่เครื่องโซนาร์ตะโกนบอกอาเธอร์ว่าตรวจพบเรืออยู่ในระยะใกล้  ผู้การพยายามส่องดูอีกครั้งจึงเห็นกองเรือรุกเข้ามายังน่านน้ำของยูโทเปียแล้ว ผู้การได้นำกล้องตาเรือลงและสั่งให้เรือดำลงฉุกเฉิน  และเดินเครื่องไปยังจุดโจมตี  แต่ยังไม่ทันจะสิ้นคำสั่ง วิทยุของเรือลำที่หนึ่งรายงานเข้ามาว่าถูกโจมตีด้วยทุนระเบิดของฝ่ายศัตรู  และหลังจากนั้นไม่นานสัญญาณของเรือลำที่หนึ่งได้หายไป  “จมไปแล้ว”  นั่นคือความคิดที่อยู่ในหัวของอาเธอร์  เรือลำที่สองวิทยุเข้ามาว่าจะเริ่มทำการโจมตีก่อน

    เวลาผ่านไปหลายเกือบชั่วโมง  เรือลำที่สามของอาเธอร์และผู้การราเมียสมาถึงยังจุดโจมตี  เรือลำที่สองรายงานเข้ามาว่ากองเรือศัตรูมีทั้งหมดแปดลำ  เป็นเรือพิฆาตทั้งหมดสี่ลำและเรือลาดตะเวนสี่ลำ   ทั้งสองคิดจะร่วมกันจมกองเรือนี่ให้ได้เพื่อทดแทนการจมไปของเรือลำแรก  ผู้การราเมียสประกาศสถานการณ์รบระดับหนึ่ง  เสียงออดดังไปทั่วเรือ  อาเธอร์รีบมายังห้องบังคับการเพื่อเตรียมการสั่งการโจมตี ในขณะที่ผู้การสั่งให้เรือลอยลำขึ้นมาระดับส่องกล้องตาเรือ  เมื่อเรือลอยลำมาถึงระดับแล้วผู้การนำกล้องตาเรือขึ้นส่องเหนือผิวน้ำ  อาเธอร์ง่วนอยู่กับการเตรียมบรรจุตอร์ปิโดและระบุตำแหน่งเรือศัตรูเพื่อกำหนดพิกัดให้แก่ตอร์ปิโด  เรือดำน้ำลำนี้เป็นเทคโนโลยีล้าสมัยมากสำหรับปัจจุบัน เพราะไม่มีระบบนำพิกัดให้กับตอร์ปิโด และลูกเรือต้องเป็นผู้ระบุเอง  เรือลำที่สองเริ่มเข้าโจมตีแล้ว ตอร์ปิโดทั้งสองลูกถูกปล่อยออกและพุ่งไปยังเรือลาดตะเวนสองลำที่อยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด   และไม่นานตอร์ปิโดถูกเข้ากระทบกับเรือลาดตะเวนทั้งสองลำ ทำให้เรือสองลำนั้นเริ่มจมลง  เรือค่อยๆเอนลงมาทางซ้ายมือ นี่คือภาพที่ผู้การราเมียสเห็นผ่านกล้องตาเรือที่เธอส่องอยู่
“ท่อที่หนึ่งและสามยิง!!!”  เมื่อกำหนดพิกัดตอร์ปิโดเสร็จเรียบร้อย ผู้การสั่งปล่อยตอร์ปิโดสองลูกไปยังเรือพิฆาตของฝ่ายข้าศึก  แต่เรือลำที่สองวิทยุรายงานมาว่าระบบไฟฟ้าภายในเรือมีปัญหา  ไฟฟ้าสำรองถูกออกแบบให้ใช้งานได้กับวิทยุเท่านั้น มันไม่เพียงพอใช้งานกับโซนาร์ได้  เรือลำที่สองตัดสินใจลอยลำขึ้นเพื่อใช้ปืนใหญ่ที่ติดมากับเรือโจมตีเรือศัตรู  มัททิว เพื่อนของอาเธอร์นั้นเป็นพลวิทยุสื่อสารของเรือลำที่สอง เขาได้แจ้งอาเธอร์ว่าตรวจพบกองเรือเสริมของศัตรูที่ข้างหลังเรา  ทันใดนั้นเรือของมิททิวก็ลอยลำขึ้นแต่ก็ถูกปืนใหญ่ของเรือศัตรูระดมยิง  เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงสำหรับผู้การเรือลำที่สอง  ไม่นานนักเรือลำที่สองก็ถูกปืนใหญ่ยิงจนระเบิดและค่อยๆจมลง  มิททิววิทยุมาหาอาเธอร์และพูดกับอาเธอร์เป็นครั้งสุดท้าย “ฝากที่เหลือด้วยนะ”  นั้นคือคำพูดสุดท้ายของเพื่อนสนิทที่สุดของเขา
“มิททิววว!!!!!”  อาเธอร์ตะโกนออกมา  เขารู้ว่าเขาต้องสูญเสียเพื่อนของตัวเองไป ทำให้เขามีอารมณ์โกรธแค้นศัตรูเป็นอย่างมาก  เขาพยายามเร่งห้องตอร์ปิโดให้รีบทำการบรรจุให้เร็วขึ้นเพื่อการยิงครั้งต่อไป   ผู้การราเมียสสั่งยิงตอร์ปิโดท่อที่สองและสี่ต่อ เมื่อตอร์ปิโดทั้งสองลูกถูกปล่อยออกไป  เรือฝ่ายศัตรูก็ได้ถูกตอร์ปิโดที่ปล่อยไปก่อนหน้านี้จมไปอีกสองลำ  เจ้าหน้าที่เครื่องโซนาร์ตะโกนขึ้น “ตรวจพบเรือศัตรูที่ด้านหลังเรือครับ  ระยะใกล้มากแล้ว!!”  ยังไม่ทันที่ผู้การจะออกคำสั่งเรือก็ถูกเรือของฝ่ายศัตรูที่อยู่ทางด้านหลังพุ่งเข้าชน  เรือของอาเธอร์เสียหายบริเวณดานฟ้าเรือ เป็นรอยถูกขูดเป็นทางยาวและบางส่วนถูกฉีกออก น้ำเริ่มเข้ามายังห้องตอร์ปิโดด้านหลัง   กล้องตาเรือเสียหายทำให้ผู้การราเมียสไม่สามารถส่องดูข้างบนผิวน้ำได้ รวมทั้งความหวาดกลัวได้เริ่มเข้าครอบงำตัวเธอ ทำให้เธอไม่สามารถออกคำสั่งอะไรได้เลย   อาเธอร์เห็นว่าไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้ผู้การเป็นแบบนี้  เขาประกาศควบคุมเรือนี้ด้วยตัวเขาเองและเริ่มออกคำสั่งแก่ลูกเรือแทนผู้การ      ราเมียสที่ยังหวาดกลัวอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง  อาเธอร์สั่งให้เรือลอยลำขึ้นฉุกเฉิน ถึงแม้ว่าการลอยขึ้นกลางดงศัตรูจะไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่น้ำกำลังเข้าท่วมตัวเรือ หากยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรืออาจจะจมได้  เขาสั่งให้เรือเดินหน้าเต็มที่และหันกลับไปยังฐานทัพเพื่อถอนกำลังออกจากพื้นที่การสู้รบ  เมื่อเรือลอยลำขึ้นสูผิวน้ำ ก็ได้แล่นพุ่งตรงเข้าสู่กองเรือเสริมที่เพิ่งจะเข้ามา  เขาสั่งให้บังคับเรือฝ่ากลางกองเรือไปโดยห้ามลดความเร็วลง  พลปืนใหญ่เข้าประจำที่และยิงโต้ตอบ เรือของเขาแล่นเข้าเบียดเรือพิฆาตลำหนึ่งและอาเธอร์สั่งให้ปืนใหญ่ยิงไปที่หอบังคับการเรือ  เสียงระเบิดดังสนั่นหวันไหว  หอบังคับการเรือพิฆาตลำนั้นระเบิด  สภาพข้างในแทบดูไม่ได้ มีแต่รอยเขม่าและรอยไหม้  อาเธอร์เร่งเรือแล่นออกจากเขตต่อสู้ และด้วยโชคช่วยไม่มีเรือฝ่ายศัตรูลำไหนเลยที่ตามพวกเขามา  เมื่อหนีรอดออกมาได้ ได้เกิดเสียงระเบิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง  เรือธงของกองเรือศัตรูถูกตอร์ปิโดอีกสองลูกพุ่งเข้าใส่และระเบิด  ลูกเรือของอาเธอร์พากันโห่ร้องดีใจ  นอกจากจะรอดตายแล้วพวกเขายังสามารถจมเรือธงของข้าศึกได้อีกด้วย


ต่อโพสสองนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่