ในโลกที่เลิกห่ำหั่นกันด้วยความรุนแรงและเปลี่ยนไปใช้วิธีทางเศรษฐกิจ บทบาททางการทหารของแต่ละประเทศก็เริ่มลดน้อยลง แต่ถึงกระนั้นแต่ละฝ่ายก็ยังคงกำลังไว้อย่างแน่นหนา โดยอ้างถึงการป้องกันตนเองทั้งสิ้น ณ ดินแดนหนึ่งของโลกทางตะวันออก “ยูโทเปีย” ประเทศที่กำลังพัฒนานี้เองก็ต้องมีกำลังทางทหารไว้เพื่อป้องกันตนเองจากภัยในรอบๆด้าน ยูโทเปียเป็นประเทศเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ ทิศใต้ติดกับทะเลทำให้สามารถทำการประมงได้
หลังจากจบสงครามโลกครั้งใหญ่ ฝ่ายที่พ่ายแพ้นอกจากต้องจ่ายค่าประติมากรรมสงครามแล้วก็ยังต้องเร่งฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองไปด้วย แต่ยูโทเปียที่อยู่ระหว่างสองฝ่ายนั้นไม่ได้มีความเสียหายแต่อย่างใด ทำให้บรรดาประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายต่างไม่พอใจกับพฤติกรรมนกสองหัวของยูโทเปีย จึงได้มีเหตุความรุนแรงบ้างในเขตพื้นที่ชายแดนของยูโทเปีย ถึงแม้จะมีการเจริญความสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศเป็นประจำ แต่นั่นก็เพียงละครฉากหน้าเท่านั้น บรรดาขุนนางที่ปกครองแต่ละแคว้นของยูโทเปียบ้างก็มีการใช้ความรุนแรงกับนักโทษที่หลบหนีทางชายแดนอยู่เป็นประจำ ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดบ่อยครั้ง ยูโทเปียยังคงปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ และบรรดาเหล่าขุนนางคอยบริหารราชการแผ่นดิน ในปัจจุบันเป็นรัชสมัยของกษัตริย์จิล และ ราชินีมารีแอน ทั้งสองพระองค์นั้นมีเพียงพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว ซึ่งมีฝ่ายที่ไม่พอใจกับการให้พระราชธิดาขึ้นครองราชย์ ก่อเป็นกลุ่มต่อต้านระบอบกษัตริย์และเรียกร้องให้ล้มเลิกการใช้ระบอบนี้ จึงเป็นปัญหากลางเมืองในบางคราว
เนื่องด้วยปัญหาทางด้านชายแดนที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน ทำให้มีการออกพระราชโองการจัดตั้งหน่วยรบพิเศษขึ้นเพื่อป้องกันภัยจากทางด้านชายแดน “อาเธอร์” นายทหารหนุ่มฝีมือดีคนหนึ่งถูกย้ายให้เข้าประจำหน่วยรบพิเศษนี้ ซึ่งจะไม่มีการบรรจุเข้าในสังกัดใดๆทั้งสิ้น ทุกคนในหน่วยจะถูกสลับเปลี่ยนหมุนเวียนประจำในแต่ละสังกัด งานแรกที่อาเธอร์ได้รับคือเข้าประจำการเป็น รองผู้บังคับการเรือดำน้ำที่พึ่งประจำการไม่นานมานี้ กองเรือดำน้ำมีหน้าที่สอดแนมและรักษาน่านน้ำพิพาทในปัจจุบัน ประกอบไปด้วยเรือดำน้ำทั้งหมดสามลำ อาเธอร์บรรจุเป็นรองผู้การเรือลำที่สาม มีหน้าที่สนับสนุนเรือลำที่หนึ่งและสองในการปฏิบัติภารกิจ แต่เขาเองยังไม่เคยได้เข้าสนามรบจริงแม้แต่ครั้งเดียว เป็นเพราะโลกนั้นไม่ได้อยู่ในสภาวะสงครามมายาวนานหลายสิบปีแล้ว เขาจึงไม่มีประสบการณ์แต่ด้วยไหวพริบที่เฉียบคมทำให้การฝึกของเขาเป็นไปอย่างราบรื่น
“โรงอาหารวันนี้มีเมนูพิเศษสำหรับสัญญาบัตรด้วยล่ะ” มิททิวเพื่อนสนิทของอาเธอร์พูดกับเขาระหว่างเดินไปยังโรงอาหารของค่าย วันนี้เป็นวันแรกที่หน่วยของเขาเข้ามาประจำการที่ฐานทัพเรือติดชายแดน อาเธอร์มีนิสัยเงียบครึมไม่ค่อยพูดจา จึงทำให้มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่สนิทด้วย มิททิวเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของอาเธอร์ ทั้งคู่จบจากโรงเรียนเตรียมด้วยคะแนนที่สูสีกัน ทำให้ถูกคัดเลือกเข้ามายังหน่วยพิเศษนี้
“แค่สเต๊กเนื้อชั้นดีที่หากินได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป ไม่เห็นต้องดีใจอะไรขนาดนั้น” อาเธอร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เมนูพิเศษสำหรับเขาคงมีเพียงอาหารสำรับราชาเท่านั้น ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าโรงอาหาร ภายในเต็มไปด้วยทหารสัญญาบัตรอาวุโส นี่คงจะเป็นสถานที่ที่น่าอึดอัดสำหรับพวกทหารหน้าใหม่ เพราะสายตาหลายคู่ที่จับจ้องพวกเขาปานเหมือนกับกวางที่หลงเข้ามาในถิ่นของไฮยีน่า ทั้งคู่เดินไปสั่งเมนูแล้วถึงเดินออกมาเลือกที่นั่ง มิททิวหยุดอยู่ที่โต๊ะของกลุ่มทหารสาวและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเหล่าทหารสาวนั้น
“สวัสดีครับท่านผู้การ ขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือเปล่าครับ” มิททิวเอ่ยคำถามพร้อมกับนั่งลงตรงหน้านายทหารสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะ
“ถ้าหากพวกนายขาดความอบอุ่นขนาดนั้นแล้วล่ะก็ เชิญ” ผู้การสาวตอบตกลงพร้อมทั้งเล่นมุขตลกใส่
เธอคือผู้การเรือดำน้ำลำที่สาม “ผู้การราเมียส” เธอเคยประจำอยู่เรือลาดตะเวนในฐานทัพเดียวกันอยู่หลายปี จนกระทั่งเรือดำน้ำรุ่นใหม่ได้เข้าประจำการเธอเองก็โดนย้ายมาที่กองเรือดำน้ำนี้เช่นกัน บรรยากาศที่เงียบสะงัดทำให้แม้แต่มิททิวเองก็ไม่กล้าจะเล่นมุขอะไรตอบกลับ เมื่ออาเธอร์ทานเสร็จแล้วจึงขอตัวและลุกขึ้นนำจานไปเก็บและเดินออกจากโรงอาหารไป
ในบ่ายวันนั้นมีประชุมแผนการนำกองเรือดำน้ำออกปฏิบัติการในน่านน้ำพิพาท โดยภารกิจคือเข้าสู่แนวชายแดนและสอดแนมกองทัพฝั่งตรงข้าม เนื่องจากฝ่ายข่าวกรองได้ข่าวเกี่ยวกับการสนับสนุนกองกำลังฝ่ายต่อต้านที่กำลังรวบรวมประชาชนเพื่อร่วมทำการประท้วงรัฐบาลและราชวงศ์ ทำให้กองเรือต้องเข้าไปสอดแนมและสืบข่าวรวมถึงตัดกำลังศัตรูหากมีการรุกร้ำเข้ามาสู่เขตประเทศยูโทเปีย ภารกิจจะเริ่มขึ้นในคืนนี้เพราะทางฝ่ายยุทธศาสตร์ต้องการให้กองเรือเคลื่อนเข้าไปในช่วงคืนเดือนมืด ซึ่งคือวันนี้ หลังจากจบการประชุมแผน อาเธอร์เดินไปยังอู่เรือดำน้ำลำที่สามเพื่อตรวจสอบการปล่อยเรือตามกระบวนการ โดยมีผู้การราเมียสตามมาในภายหลัง
“หากมีการเคลื่อนทัพจริง ทางเราจะต้านไว้ได้สักเท่าไหรกัน” ผู้การราเมียสพูดขึ้นขณะกำลังตรวจสอบระบบของเรือ
“อย่างมากคงไม่เกินหนึ่งชั่วโมงหรอกครับ หากฝ่ายนั้นมีกำลังที่มากกว่า เรือสามลำทำอะไรไม่ได้มากหรอกครับ”
จริงอย่างที่อาเธอร์ได้ว่าไว้เรือดำน้ำรุ่นเก่าที่ถูกซื้อมาเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะไม่สามารถจะสู้รบกับกองกำลังขนาดใหญ่ได้อย่างแน่นอน ถ้าโชคดีกองเรือลาดตะเวนจะมาช่วยพวกเขาได้ทันเวลา แต่หากไม่เป็นอย่างนั้นเรือดำน้ำรุ่นเก่าที่ไม่มีใครชำนาญเลยสักคนทั้งสามลำต้องจมอย่างแน่แท้ กองทัพเรือได้สั่งซื้อเรือดำน้ำรุ่นเก่านี้ต่อจากกองทัพของประเทศที่เคยแพ้สงครามมาก่อน แต่เรือดำน้ำรุ่นนี้มีระบบที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้นมาก และยังสามารถจมเรือของฝ่ายศัตรูมานับไม่ถ้วน แม้มันจะประสบความสำเร็จแค่ไหนแต่หลังสงครามจบมันก็ถูกปลดประจำการในทันที และหลังจากนั้นก็ถูกนำมาขายทอดตลาดในภายหลัง ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น อาเธอร์ก็ยังขะมักเขม่นในการตรวจสอบระบบต่างๆ เขาขึ้นไปตรวจสอบที่ดานฟ้าเรือและมองขึ้นไปยังท้องฟ้าและเอ่ยคำพูดขึ้น “คืนนี้จะเป็นคืนที่มืดมิดหรือคืนที่สว่างไปด้วยเพลิงไฟกันแน่”
พระจันทร์ในคืนนี้มืดมิดจนมองไม่เห็นแม้แต่หน้าผู้คน อาเธอร์ยืนอยู่บนสะพานเรือเพื่อคอยสอดส่องบริเวณโดยรอบ กองเรือดำน้ำออกเดินทางมาได้สักพักแล้ว นี่คงใกล้ถึงจุดปฏิบัติการแล้ว ทั้งหมดเริ่มทยอยลงไปยังห้องบังคับการเพื่อเตรียมตัวสู่การดำลงพื้นน้ำ
“เตรียมการดำระดับเพอริสโคป!!” ผู้การราเมียสสั่งเรือดำลง อาเธอร์ไปช่วยบริเวณเจ้าหน้าที่โซนาร์ เครื่องโซนาร์ตรวจจับเสียงได้เป็นจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่เครื่องโซนาร์บอกกับอาเธอร์ว่ายินเสียงกองเรือได้ในระยะไกล อาเธอร์จึงกลับมายังห้องบังคับการและแจ้งต่อผู้การทันที ผู้การราเมียสนำกล้องตาเรือขึ้นสู่ผิวน้ำและคอยส่องดูเรือบริเวณรอบๆ เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ทำให้เธอมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงเจ้าหน้าที่เครื่องโซนาร์ตะโกนบอกอาเธอร์ว่าตรวจพบเรืออยู่ในระยะใกล้ ผู้การพยายามส่องดูอีกครั้งจึงเห็นกองเรือรุกเข้ามายังน่านน้ำของยูโทเปียแล้ว ผู้การได้นำกล้องตาเรือลงและสั่งให้เรือดำลงฉุกเฉิน และเดินเครื่องไปยังจุดโจมตี แต่ยังไม่ทันจะสิ้นคำสั่ง วิทยุของเรือลำที่หนึ่งรายงานเข้ามาว่าถูกโจมตีด้วยทุนระเบิดของฝ่ายศัตรู และหลังจากนั้นไม่นานสัญญาณของเรือลำที่หนึ่งได้หายไป “จมไปแล้ว” นั่นคือความคิดที่อยู่ในหัวของอาเธอร์ เรือลำที่สองวิทยุเข้ามาว่าจะเริ่มทำการโจมตีก่อน
เวลาผ่านไปหลายเกือบชั่วโมง เรือลำที่สามของอาเธอร์และผู้การราเมียสมาถึงยังจุดโจมตี เรือลำที่สองรายงานเข้ามาว่ากองเรือศัตรูมีทั้งหมดแปดลำ เป็นเรือพิฆาตทั้งหมดสี่ลำและเรือลาดตะเวนสี่ลำ ทั้งสองคิดจะร่วมกันจมกองเรือนี่ให้ได้เพื่อทดแทนการจมไปของเรือลำแรก ผู้การราเมียสประกาศสถานการณ์รบระดับหนึ่ง เสียงออดดังไปทั่วเรือ อาเธอร์รีบมายังห้องบังคับการเพื่อเตรียมการสั่งการโจมตี ในขณะที่ผู้การสั่งให้เรือลอยลำขึ้นมาระดับส่องกล้องตาเรือ เมื่อเรือลอยลำมาถึงระดับแล้วผู้การนำกล้องตาเรือขึ้นส่องเหนือผิวน้ำ อาเธอร์ง่วนอยู่กับการเตรียมบรรจุตอร์ปิโดและระบุตำแหน่งเรือศัตรูเพื่อกำหนดพิกัดให้แก่ตอร์ปิโด เรือดำน้ำลำนี้เป็นเทคโนโลยีล้าสมัยมากสำหรับปัจจุบัน เพราะไม่มีระบบนำพิกัดให้กับตอร์ปิโด และลูกเรือต้องเป็นผู้ระบุเอง เรือลำที่สองเริ่มเข้าโจมตีแล้ว ตอร์ปิโดทั้งสองลูกถูกปล่อยออกและพุ่งไปยังเรือลาดตะเวนสองลำที่อยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด และไม่นานตอร์ปิโดถูกเข้ากระทบกับเรือลาดตะเวนทั้งสองลำ ทำให้เรือสองลำนั้นเริ่มจมลง เรือค่อยๆเอนลงมาทางซ้ายมือ นี่คือภาพที่ผู้การราเมียสเห็นผ่านกล้องตาเรือที่เธอส่องอยู่
“ท่อที่หนึ่งและสามยิง!!!” เมื่อกำหนดพิกัดตอร์ปิโดเสร็จเรียบร้อย ผู้การสั่งปล่อยตอร์ปิโดสองลูกไปยังเรือพิฆาตของฝ่ายข้าศึก แต่เรือลำที่สองวิทยุรายงานมาว่าระบบไฟฟ้าภายในเรือมีปัญหา ไฟฟ้าสำรองถูกออกแบบให้ใช้งานได้กับวิทยุเท่านั้น มันไม่เพียงพอใช้งานกับโซนาร์ได้ เรือลำที่สองตัดสินใจลอยลำขึ้นเพื่อใช้ปืนใหญ่ที่ติดมากับเรือโจมตีเรือศัตรู มัททิว เพื่อนของอาเธอร์นั้นเป็นพลวิทยุสื่อสารของเรือลำที่สอง เขาได้แจ้งอาเธอร์ว่าตรวจพบกองเรือเสริมของศัตรูที่ข้างหลังเรา ทันใดนั้นเรือของมิททิวก็ลอยลำขึ้นแต่ก็ถูกปืนใหญ่ของเรือศัตรูระดมยิง เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงสำหรับผู้การเรือลำที่สอง ไม่นานนักเรือลำที่สองก็ถูกปืนใหญ่ยิงจนระเบิดและค่อยๆจมลง มิททิววิทยุมาหาอาเธอร์และพูดกับอาเธอร์เป็นครั้งสุดท้าย “ฝากที่เหลือด้วยนะ” นั้นคือคำพูดสุดท้ายของเพื่อนสนิทที่สุดของเขา
“มิททิววว!!!!!” อาเธอร์ตะโกนออกมา เขารู้ว่าเขาต้องสูญเสียเพื่อนของตัวเองไป ทำให้เขามีอารมณ์โกรธแค้นศัตรูเป็นอย่างมาก เขาพยายามเร่งห้องตอร์ปิโดให้รีบทำการบรรจุให้เร็วขึ้นเพื่อการยิงครั้งต่อไป ผู้การราเมียสสั่งยิงตอร์ปิโดท่อที่สองและสี่ต่อ เมื่อตอร์ปิโดทั้งสองลูกถูกปล่อยออกไป เรือฝ่ายศัตรูก็ได้ถูกตอร์ปิโดที่ปล่อยไปก่อนหน้านี้จมไปอีกสองลำ เจ้าหน้าที่เครื่องโซนาร์ตะโกนขึ้น “ตรวจพบเรือศัตรูที่ด้านหลังเรือครับ ระยะใกล้มากแล้ว!!” ยังไม่ทันที่ผู้การจะออกคำสั่งเรือก็ถูกเรือของฝ่ายศัตรูที่อยู่ทางด้านหลังพุ่งเข้าชน เรือของอาเธอร์เสียหายบริเวณดานฟ้าเรือ เป็นรอยถูกขูดเป็นทางยาวและบางส่วนถูกฉีกออก น้ำเริ่มเข้ามายังห้องตอร์ปิโดด้านหลัง กล้องตาเรือเสียหายทำให้ผู้การราเมียสไม่สามารถส่องดูข้างบนผิวน้ำได้ รวมทั้งความหวาดกลัวได้เริ่มเข้าครอบงำตัวเธอ ทำให้เธอไม่สามารถออกคำสั่งอะไรได้เลย อาเธอร์เห็นว่าไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้ผู้การเป็นแบบนี้ เขาประกาศควบคุมเรือนี้ด้วยตัวเขาเองและเริ่มออกคำสั่งแก่ลูกเรือแทนผู้การ ราเมียสที่ยังหวาดกลัวอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง อาเธอร์สั่งให้เรือลอยลำขึ้นฉุกเฉิน ถึงแม้ว่าการลอยขึ้นกลางดงศัตรูจะไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่น้ำกำลังเข้าท่วมตัวเรือ หากยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรืออาจจะจมได้ เขาสั่งให้เรือเดินหน้าเต็มที่และหันกลับไปยังฐานทัพเพื่อถอนกำลังออกจากพื้นที่การสู้รบ เมื่อเรือลอยลำขึ้นสูผิวน้ำ ก็ได้แล่นพุ่งตรงเข้าสู่กองเรือเสริมที่เพิ่งจะเข้ามา เขาสั่งให้บังคับเรือฝ่ากลางกองเรือไปโดยห้ามลดความเร็วลง พลปืนใหญ่เข้าประจำที่และยิงโต้ตอบ เรือของเขาแล่นเข้าเบียดเรือพิฆาตลำหนึ่งและอาเธอร์สั่งให้ปืนใหญ่ยิงไปที่หอบังคับการเรือ เสียงระเบิดดังสนั่นหวันไหว หอบังคับการเรือพิฆาตลำนั้นระเบิด สภาพข้างในแทบดูไม่ได้ มีแต่รอยเขม่าและรอยไหม้ อาเธอร์เร่งเรือแล่นออกจากเขตต่อสู้ และด้วยโชคช่วยไม่มีเรือฝ่ายศัตรูลำไหนเลยที่ตามพวกเขามา เมื่อหนีรอดออกมาได้ ได้เกิดเสียงระเบิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง เรือธงของกองเรือศัตรูถูกตอร์ปิโดอีกสองลูกพุ่งเข้าใส่และระเบิด ลูกเรือของอาเธอร์พากันโห่ร้องดีใจ นอกจากจะรอดตายแล้วพวกเขายังสามารถจมเรือธงของข้าศึกได้อีกด้วย
ต่อโพสสองนะครับ
เรื่องสั้นแสนสั้น เขม่าปลายปืนใหญ่
หลังจากจบสงครามโลกครั้งใหญ่ ฝ่ายที่พ่ายแพ้นอกจากต้องจ่ายค่าประติมากรรมสงครามแล้วก็ยังต้องเร่งฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองไปด้วย แต่ยูโทเปียที่อยู่ระหว่างสองฝ่ายนั้นไม่ได้มีความเสียหายแต่อย่างใด ทำให้บรรดาประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายต่างไม่พอใจกับพฤติกรรมนกสองหัวของยูโทเปีย จึงได้มีเหตุความรุนแรงบ้างในเขตพื้นที่ชายแดนของยูโทเปีย ถึงแม้จะมีการเจริญความสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศเป็นประจำ แต่นั่นก็เพียงละครฉากหน้าเท่านั้น บรรดาขุนนางที่ปกครองแต่ละแคว้นของยูโทเปียบ้างก็มีการใช้ความรุนแรงกับนักโทษที่หลบหนีทางชายแดนอยู่เป็นประจำ ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดบ่อยครั้ง ยูโทเปียยังคงปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ และบรรดาเหล่าขุนนางคอยบริหารราชการแผ่นดิน ในปัจจุบันเป็นรัชสมัยของกษัตริย์จิล และ ราชินีมารีแอน ทั้งสองพระองค์นั้นมีเพียงพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว ซึ่งมีฝ่ายที่ไม่พอใจกับการให้พระราชธิดาขึ้นครองราชย์ ก่อเป็นกลุ่มต่อต้านระบอบกษัตริย์และเรียกร้องให้ล้มเลิกการใช้ระบอบนี้ จึงเป็นปัญหากลางเมืองในบางคราว
เนื่องด้วยปัญหาทางด้านชายแดนที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน ทำให้มีการออกพระราชโองการจัดตั้งหน่วยรบพิเศษขึ้นเพื่อป้องกันภัยจากทางด้านชายแดน “อาเธอร์” นายทหารหนุ่มฝีมือดีคนหนึ่งถูกย้ายให้เข้าประจำหน่วยรบพิเศษนี้ ซึ่งจะไม่มีการบรรจุเข้าในสังกัดใดๆทั้งสิ้น ทุกคนในหน่วยจะถูกสลับเปลี่ยนหมุนเวียนประจำในแต่ละสังกัด งานแรกที่อาเธอร์ได้รับคือเข้าประจำการเป็น รองผู้บังคับการเรือดำน้ำที่พึ่งประจำการไม่นานมานี้ กองเรือดำน้ำมีหน้าที่สอดแนมและรักษาน่านน้ำพิพาทในปัจจุบัน ประกอบไปด้วยเรือดำน้ำทั้งหมดสามลำ อาเธอร์บรรจุเป็นรองผู้การเรือลำที่สาม มีหน้าที่สนับสนุนเรือลำที่หนึ่งและสองในการปฏิบัติภารกิจ แต่เขาเองยังไม่เคยได้เข้าสนามรบจริงแม้แต่ครั้งเดียว เป็นเพราะโลกนั้นไม่ได้อยู่ในสภาวะสงครามมายาวนานหลายสิบปีแล้ว เขาจึงไม่มีประสบการณ์แต่ด้วยไหวพริบที่เฉียบคมทำให้การฝึกของเขาเป็นไปอย่างราบรื่น
“โรงอาหารวันนี้มีเมนูพิเศษสำหรับสัญญาบัตรด้วยล่ะ” มิททิวเพื่อนสนิทของอาเธอร์พูดกับเขาระหว่างเดินไปยังโรงอาหารของค่าย วันนี้เป็นวันแรกที่หน่วยของเขาเข้ามาประจำการที่ฐานทัพเรือติดชายแดน อาเธอร์มีนิสัยเงียบครึมไม่ค่อยพูดจา จึงทำให้มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่สนิทด้วย มิททิวเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของอาเธอร์ ทั้งคู่จบจากโรงเรียนเตรียมด้วยคะแนนที่สูสีกัน ทำให้ถูกคัดเลือกเข้ามายังหน่วยพิเศษนี้
“แค่สเต๊กเนื้อชั้นดีที่หากินได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป ไม่เห็นต้องดีใจอะไรขนาดนั้น” อาเธอร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เมนูพิเศษสำหรับเขาคงมีเพียงอาหารสำรับราชาเท่านั้น ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าโรงอาหาร ภายในเต็มไปด้วยทหารสัญญาบัตรอาวุโส นี่คงจะเป็นสถานที่ที่น่าอึดอัดสำหรับพวกทหารหน้าใหม่ เพราะสายตาหลายคู่ที่จับจ้องพวกเขาปานเหมือนกับกวางที่หลงเข้ามาในถิ่นของไฮยีน่า ทั้งคู่เดินไปสั่งเมนูแล้วถึงเดินออกมาเลือกที่นั่ง มิททิวหยุดอยู่ที่โต๊ะของกลุ่มทหารสาวและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเหล่าทหารสาวนั้น
“สวัสดีครับท่านผู้การ ขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือเปล่าครับ” มิททิวเอ่ยคำถามพร้อมกับนั่งลงตรงหน้านายทหารสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะ
“ถ้าหากพวกนายขาดความอบอุ่นขนาดนั้นแล้วล่ะก็ เชิญ” ผู้การสาวตอบตกลงพร้อมทั้งเล่นมุขตลกใส่
เธอคือผู้การเรือดำน้ำลำที่สาม “ผู้การราเมียส” เธอเคยประจำอยู่เรือลาดตะเวนในฐานทัพเดียวกันอยู่หลายปี จนกระทั่งเรือดำน้ำรุ่นใหม่ได้เข้าประจำการเธอเองก็โดนย้ายมาที่กองเรือดำน้ำนี้เช่นกัน บรรยากาศที่เงียบสะงัดทำให้แม้แต่มิททิวเองก็ไม่กล้าจะเล่นมุขอะไรตอบกลับ เมื่ออาเธอร์ทานเสร็จแล้วจึงขอตัวและลุกขึ้นนำจานไปเก็บและเดินออกจากโรงอาหารไป
ในบ่ายวันนั้นมีประชุมแผนการนำกองเรือดำน้ำออกปฏิบัติการในน่านน้ำพิพาท โดยภารกิจคือเข้าสู่แนวชายแดนและสอดแนมกองทัพฝั่งตรงข้าม เนื่องจากฝ่ายข่าวกรองได้ข่าวเกี่ยวกับการสนับสนุนกองกำลังฝ่ายต่อต้านที่กำลังรวบรวมประชาชนเพื่อร่วมทำการประท้วงรัฐบาลและราชวงศ์ ทำให้กองเรือต้องเข้าไปสอดแนมและสืบข่าวรวมถึงตัดกำลังศัตรูหากมีการรุกร้ำเข้ามาสู่เขตประเทศยูโทเปีย ภารกิจจะเริ่มขึ้นในคืนนี้เพราะทางฝ่ายยุทธศาสตร์ต้องการให้กองเรือเคลื่อนเข้าไปในช่วงคืนเดือนมืด ซึ่งคือวันนี้ หลังจากจบการประชุมแผน อาเธอร์เดินไปยังอู่เรือดำน้ำลำที่สามเพื่อตรวจสอบการปล่อยเรือตามกระบวนการ โดยมีผู้การราเมียสตามมาในภายหลัง
“หากมีการเคลื่อนทัพจริง ทางเราจะต้านไว้ได้สักเท่าไหรกัน” ผู้การราเมียสพูดขึ้นขณะกำลังตรวจสอบระบบของเรือ
“อย่างมากคงไม่เกินหนึ่งชั่วโมงหรอกครับ หากฝ่ายนั้นมีกำลังที่มากกว่า เรือสามลำทำอะไรไม่ได้มากหรอกครับ”
จริงอย่างที่อาเธอร์ได้ว่าไว้เรือดำน้ำรุ่นเก่าที่ถูกซื้อมาเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะไม่สามารถจะสู้รบกับกองกำลังขนาดใหญ่ได้อย่างแน่นอน ถ้าโชคดีกองเรือลาดตะเวนจะมาช่วยพวกเขาได้ทันเวลา แต่หากไม่เป็นอย่างนั้นเรือดำน้ำรุ่นเก่าที่ไม่มีใครชำนาญเลยสักคนทั้งสามลำต้องจมอย่างแน่แท้ กองทัพเรือได้สั่งซื้อเรือดำน้ำรุ่นเก่านี้ต่อจากกองทัพของประเทศที่เคยแพ้สงครามมาก่อน แต่เรือดำน้ำรุ่นนี้มีระบบที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้นมาก และยังสามารถจมเรือของฝ่ายศัตรูมานับไม่ถ้วน แม้มันจะประสบความสำเร็จแค่ไหนแต่หลังสงครามจบมันก็ถูกปลดประจำการในทันที และหลังจากนั้นก็ถูกนำมาขายทอดตลาดในภายหลัง ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น อาเธอร์ก็ยังขะมักเขม่นในการตรวจสอบระบบต่างๆ เขาขึ้นไปตรวจสอบที่ดานฟ้าเรือและมองขึ้นไปยังท้องฟ้าและเอ่ยคำพูดขึ้น “คืนนี้จะเป็นคืนที่มืดมิดหรือคืนที่สว่างไปด้วยเพลิงไฟกันแน่”
พระจันทร์ในคืนนี้มืดมิดจนมองไม่เห็นแม้แต่หน้าผู้คน อาเธอร์ยืนอยู่บนสะพานเรือเพื่อคอยสอดส่องบริเวณโดยรอบ กองเรือดำน้ำออกเดินทางมาได้สักพักแล้ว นี่คงใกล้ถึงจุดปฏิบัติการแล้ว ทั้งหมดเริ่มทยอยลงไปยังห้องบังคับการเพื่อเตรียมตัวสู่การดำลงพื้นน้ำ
“เตรียมการดำระดับเพอริสโคป!!” ผู้การราเมียสสั่งเรือดำลง อาเธอร์ไปช่วยบริเวณเจ้าหน้าที่โซนาร์ เครื่องโซนาร์ตรวจจับเสียงได้เป็นจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่เครื่องโซนาร์บอกกับอาเธอร์ว่ายินเสียงกองเรือได้ในระยะไกล อาเธอร์จึงกลับมายังห้องบังคับการและแจ้งต่อผู้การทันที ผู้การราเมียสนำกล้องตาเรือขึ้นสู่ผิวน้ำและคอยส่องดูเรือบริเวณรอบๆ เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ทำให้เธอมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงเจ้าหน้าที่เครื่องโซนาร์ตะโกนบอกอาเธอร์ว่าตรวจพบเรืออยู่ในระยะใกล้ ผู้การพยายามส่องดูอีกครั้งจึงเห็นกองเรือรุกเข้ามายังน่านน้ำของยูโทเปียแล้ว ผู้การได้นำกล้องตาเรือลงและสั่งให้เรือดำลงฉุกเฉิน และเดินเครื่องไปยังจุดโจมตี แต่ยังไม่ทันจะสิ้นคำสั่ง วิทยุของเรือลำที่หนึ่งรายงานเข้ามาว่าถูกโจมตีด้วยทุนระเบิดของฝ่ายศัตรู และหลังจากนั้นไม่นานสัญญาณของเรือลำที่หนึ่งได้หายไป “จมไปแล้ว” นั่นคือความคิดที่อยู่ในหัวของอาเธอร์ เรือลำที่สองวิทยุเข้ามาว่าจะเริ่มทำการโจมตีก่อน
เวลาผ่านไปหลายเกือบชั่วโมง เรือลำที่สามของอาเธอร์และผู้การราเมียสมาถึงยังจุดโจมตี เรือลำที่สองรายงานเข้ามาว่ากองเรือศัตรูมีทั้งหมดแปดลำ เป็นเรือพิฆาตทั้งหมดสี่ลำและเรือลาดตะเวนสี่ลำ ทั้งสองคิดจะร่วมกันจมกองเรือนี่ให้ได้เพื่อทดแทนการจมไปของเรือลำแรก ผู้การราเมียสประกาศสถานการณ์รบระดับหนึ่ง เสียงออดดังไปทั่วเรือ อาเธอร์รีบมายังห้องบังคับการเพื่อเตรียมการสั่งการโจมตี ในขณะที่ผู้การสั่งให้เรือลอยลำขึ้นมาระดับส่องกล้องตาเรือ เมื่อเรือลอยลำมาถึงระดับแล้วผู้การนำกล้องตาเรือขึ้นส่องเหนือผิวน้ำ อาเธอร์ง่วนอยู่กับการเตรียมบรรจุตอร์ปิโดและระบุตำแหน่งเรือศัตรูเพื่อกำหนดพิกัดให้แก่ตอร์ปิโด เรือดำน้ำลำนี้เป็นเทคโนโลยีล้าสมัยมากสำหรับปัจจุบัน เพราะไม่มีระบบนำพิกัดให้กับตอร์ปิโด และลูกเรือต้องเป็นผู้ระบุเอง เรือลำที่สองเริ่มเข้าโจมตีแล้ว ตอร์ปิโดทั้งสองลูกถูกปล่อยออกและพุ่งไปยังเรือลาดตะเวนสองลำที่อยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด และไม่นานตอร์ปิโดถูกเข้ากระทบกับเรือลาดตะเวนทั้งสองลำ ทำให้เรือสองลำนั้นเริ่มจมลง เรือค่อยๆเอนลงมาทางซ้ายมือ นี่คือภาพที่ผู้การราเมียสเห็นผ่านกล้องตาเรือที่เธอส่องอยู่
“ท่อที่หนึ่งและสามยิง!!!” เมื่อกำหนดพิกัดตอร์ปิโดเสร็จเรียบร้อย ผู้การสั่งปล่อยตอร์ปิโดสองลูกไปยังเรือพิฆาตของฝ่ายข้าศึก แต่เรือลำที่สองวิทยุรายงานมาว่าระบบไฟฟ้าภายในเรือมีปัญหา ไฟฟ้าสำรองถูกออกแบบให้ใช้งานได้กับวิทยุเท่านั้น มันไม่เพียงพอใช้งานกับโซนาร์ได้ เรือลำที่สองตัดสินใจลอยลำขึ้นเพื่อใช้ปืนใหญ่ที่ติดมากับเรือโจมตีเรือศัตรู มัททิว เพื่อนของอาเธอร์นั้นเป็นพลวิทยุสื่อสารของเรือลำที่สอง เขาได้แจ้งอาเธอร์ว่าตรวจพบกองเรือเสริมของศัตรูที่ข้างหลังเรา ทันใดนั้นเรือของมิททิวก็ลอยลำขึ้นแต่ก็ถูกปืนใหญ่ของเรือศัตรูระดมยิง เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงสำหรับผู้การเรือลำที่สอง ไม่นานนักเรือลำที่สองก็ถูกปืนใหญ่ยิงจนระเบิดและค่อยๆจมลง มิททิววิทยุมาหาอาเธอร์และพูดกับอาเธอร์เป็นครั้งสุดท้าย “ฝากที่เหลือด้วยนะ” นั้นคือคำพูดสุดท้ายของเพื่อนสนิทที่สุดของเขา
“มิททิววว!!!!!” อาเธอร์ตะโกนออกมา เขารู้ว่าเขาต้องสูญเสียเพื่อนของตัวเองไป ทำให้เขามีอารมณ์โกรธแค้นศัตรูเป็นอย่างมาก เขาพยายามเร่งห้องตอร์ปิโดให้รีบทำการบรรจุให้เร็วขึ้นเพื่อการยิงครั้งต่อไป ผู้การราเมียสสั่งยิงตอร์ปิโดท่อที่สองและสี่ต่อ เมื่อตอร์ปิโดทั้งสองลูกถูกปล่อยออกไป เรือฝ่ายศัตรูก็ได้ถูกตอร์ปิโดที่ปล่อยไปก่อนหน้านี้จมไปอีกสองลำ เจ้าหน้าที่เครื่องโซนาร์ตะโกนขึ้น “ตรวจพบเรือศัตรูที่ด้านหลังเรือครับ ระยะใกล้มากแล้ว!!” ยังไม่ทันที่ผู้การจะออกคำสั่งเรือก็ถูกเรือของฝ่ายศัตรูที่อยู่ทางด้านหลังพุ่งเข้าชน เรือของอาเธอร์เสียหายบริเวณดานฟ้าเรือ เป็นรอยถูกขูดเป็นทางยาวและบางส่วนถูกฉีกออก น้ำเริ่มเข้ามายังห้องตอร์ปิโดด้านหลัง กล้องตาเรือเสียหายทำให้ผู้การราเมียสไม่สามารถส่องดูข้างบนผิวน้ำได้ รวมทั้งความหวาดกลัวได้เริ่มเข้าครอบงำตัวเธอ ทำให้เธอไม่สามารถออกคำสั่งอะไรได้เลย อาเธอร์เห็นว่าไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้ผู้การเป็นแบบนี้ เขาประกาศควบคุมเรือนี้ด้วยตัวเขาเองและเริ่มออกคำสั่งแก่ลูกเรือแทนผู้การ ราเมียสที่ยังหวาดกลัวอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง อาเธอร์สั่งให้เรือลอยลำขึ้นฉุกเฉิน ถึงแม้ว่าการลอยขึ้นกลางดงศัตรูจะไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่น้ำกำลังเข้าท่วมตัวเรือ หากยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรืออาจจะจมได้ เขาสั่งให้เรือเดินหน้าเต็มที่และหันกลับไปยังฐานทัพเพื่อถอนกำลังออกจากพื้นที่การสู้รบ เมื่อเรือลอยลำขึ้นสูผิวน้ำ ก็ได้แล่นพุ่งตรงเข้าสู่กองเรือเสริมที่เพิ่งจะเข้ามา เขาสั่งให้บังคับเรือฝ่ากลางกองเรือไปโดยห้ามลดความเร็วลง พลปืนใหญ่เข้าประจำที่และยิงโต้ตอบ เรือของเขาแล่นเข้าเบียดเรือพิฆาตลำหนึ่งและอาเธอร์สั่งให้ปืนใหญ่ยิงไปที่หอบังคับการเรือ เสียงระเบิดดังสนั่นหวันไหว หอบังคับการเรือพิฆาตลำนั้นระเบิด สภาพข้างในแทบดูไม่ได้ มีแต่รอยเขม่าและรอยไหม้ อาเธอร์เร่งเรือแล่นออกจากเขตต่อสู้ และด้วยโชคช่วยไม่มีเรือฝ่ายศัตรูลำไหนเลยที่ตามพวกเขามา เมื่อหนีรอดออกมาได้ ได้เกิดเสียงระเบิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง เรือธงของกองเรือศัตรูถูกตอร์ปิโดอีกสองลูกพุ่งเข้าใส่และระเบิด ลูกเรือของอาเธอร์พากันโห่ร้องดีใจ นอกจากจะรอดตายแล้วพวกเขายังสามารถจมเรือธงของข้าศึกได้อีกด้วย
ต่อโพสสองนะครับ