@ปีนัง มาเลเซีย วันที่ 17-20 ก.ย.58 ไปหาคำตอบ ให้คำถาม ?

การเดินทางสู่ เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย วันที่ 17-20 ก.ย.58

          เหตุการเดินทางครั้งนี้ เกิดขึ้นจาก ความเบื่อหน่าย ชีวิตที่จำเจ ตื่นเช้ามา รีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน บางทีข้าวเช้ายังไม่ทันได้กินเลย ต้องรีบๆๆๆ wไปตอกบัตรเข้างาน พอทำงานเสร็จ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึก พอกลับถึงบ้านเสร็จ ก็ต้องรีบอาบน้ำ นอน พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นไปทำงาน เช้ามา กลับเข้าสู่วงจรเดิม ก็รีบตื่นไปทำงานต่อ ใช้ชีวิตเยี่ยงนี้มานานนับปี จึงทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมต้องใช้ชีวิตแบบนี้ด้วยว่ะ ? ไม่เข้าใจ  " เมื่อไม่เข้าใจ ก็ต้องหาคำตอบ " แล้วทำไมต้องไปหาคำตอบจากการเดินทาง ตอบ : ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ถ้าลองดูแล้วมันใช่ ยังไงมันก็ต้องใช่ !!!
           เราทำงานประจำ ซึ่งจะค่อนข้างหาเวลาวันหยุดหลายวันได้ยากมาก ไม่ได้เดินทางไปไหนเลย นั่งร้องไห้อยู่บ้าน แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรค เราจึงตัดสินใจว่า เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน ! เราจึงหาตั๋วเครื่องบินที่เน้นถูกที่สุด จนกระทั่งเราติดตามไปเจอ ของสายการบิน ไลอ้อนแอร์ไลน์ เปิดโปรโมชั่นบินในประเทศ 345 บาท เราจึงรีบจอง ไปกลับกรุงเทพ – หาดใหญ่ โดยไว ทั้งๆที่ตอนนั้น ไม่มีเงินนะ แต่ความพยามไม่ล้มเลิก หาทางจนได้จองตั๋วมาจนได้ ที่เราเลือกไปหาดใหญ่ เพราะเราอยากไปไหนไกลๆ สักที่หนึ่ง เราเลยเลือกไปหาดใหญ่ แล้วเราก็มาค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวหาดใหญ่ เปิดแผนที่ ดูไป ดูมา จนปักหมุดที่ ปีนังดีกว่า ไหนๆก็ได้เดินทางแล้ว ไปเที่ยวต่างประเทศมันซะเลย ไปไม่ไกลจากหาดใหญ่มาก แล้วสถานที่ท่องเที่ยวอย่างปีนังนะ ฮิปเตอร์มากๆ อ่ะ
   เรารวมรวมข้อมูลต่างๆก็ได้มาตามนี้
1.    ปีนังเป็นเกาะ เกาะหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ฝั่งของเกาะชื่อ บัตเตอร์เวิธ
2.    เงินที่ใช้เป็นเงินของมาเลเซีย เรียกว่า ริงกิต และ 1 ริงกิต เท่ากับ ประมาน 10 บาท (แต่ตอนเราแลกได้ 8.50 บาท)
3.    เป็นเมือง Street Art อยู่ในละแวก ตัวเมืองที่เรียกว่า Geroge town (จอร์จ ทาว)
4.    จากหาดใหญ่มี 2 ด่านที่ข้ามไปมาเลได้ คือ ด่านปานังบาร์เซ และด่านสะเดา
5.    การเดินทางไปปีนัง มีได้ 3 ทาง คือ
     1) นั่งรถไฟจาก กทม หรือหาดใหญ่ ไปลงที่บัตเตอร์เวิธ และนั่งเรือข้ามฝั่งไปปีนัง (นั่งเรือ 15 นาที)
     2) นั่งรถตู้จากหาดใหญ่ ไปปีนัง (ใช้เวลาประมาน 5 ช.ม)
     3)    นั่งเครื่องบินจาก กทม ไปลงที่ปีนัง ได้เลย
6.    เวลาที่มาเลเซีย เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง
7.    อาหารขึ้นชื่อ คือ Lak sa (ลักซา) และ Char Kway Teow (ชาก๋วยเตี๋ยว) และขนมหวาน Candol (ลอดช่อง)
8.    สะพานข้ามเกาะไปปีนัง เป็นสะพานที่ยาวที่สุด เป็นอันดับ 6 ของโลก ความยาว 13.5 ก.ม
9.    รัฐปีนัง เป็นเมืองมรดกโลก
10.    ภาษาที่ใช้ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษามาเล
     เตรียมข้อมูลไว้สัก  10 ข้อ จากนั้นก็เตรียมจองโรงแรมกันเลย เราใช้บริการของเว็บไซต์ www.booking.com  เพราะสะดวก แล้วบางโรงแรมไม่ต้องใช้บัตรเครดิตในการจอง จองไว้แล้วไปจ่ายเงินตอนเข้าพักได้เลย เราไปนอนที่ปีนัง 2 คืน หาดใหญ่ 1 คืน ตอนแรกเราจากที่ Was up youth hotel จองได้เลยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต 2 คืน ประมาน 1800 บาท เป็นห้องสำหรับสองคน ห้องน้ำในตัว รวมทุกอย่าง คือถือว่าโอเครเลย แต่เราเกิดอาการผีเข้า ไปดูรีวิวที่พัก ที่ปีนัง ส่วนมากพักที่ Tune Hotel ทั้งนั้นเลย เลยลองแกล้งๆจองไป พอตอนจองที่โรงแรมนี้ต้องใช้บัตรเครดิตด้วย แต่เราไม่มีบัตรเครดิต เราเลยลองกรอกบัตรเดบิตไป ปรากฎว่า เอ้า !! ได้เฉยเลย ไรว้า แอบงง ยกเลิกไม่ได้ด้วยค่ะ ยกเลิกโดนหักตัง ก็เลย เลยตามเลย พอมาอีกวัน มีเมลส่งมาว่าข้อมูลเครดิตไม่ปรากฎ ให้เราเข้าไปกรอกข้อมูลอีกครั้ง เราก็ลองเข้าไปกรอกแบบข้อมูลเดิมอีกครั้ง ดั้นนนน !!! ได้อีกเช่นเคย 555 ตอนแรกดูราคาก็พอกับที่ Was up แหละ แต่พอมาอ่านดีๆ อ้าว เวรกำ ยังไม่รวม Tax 6% สรุปแล้วจ่ายไปประมาณ 2 พัน แพงกว่าเดิมอีก แต่ก็ยังอุ่นใจ ได้พักที่ ที่คนอื่นๆเขาเคยมาพักกันนะ จากนั้นก็วางแผนว่าจะได้ที่ไหนบ้าง แล้วก็ออกเดินทางกันเลยดีกว่า !!!!!
     วันที่ 17 กย 58 เวลา 03.00 เราออกเดินทางจากพิษณุโลก สู่ กรุงเทพฯ โดยรถยนต์ส่วนตัว ถึง 08.00 น.
เราไปวนหาที่จอดรถร่วมชั่วโมง จนในที่สุด ก็ตัดสินใจไปจอดที่สนามบินดอนเมือง โดยค่าจอดรถ วันละ 250 บาท / วัน จากนั้นเราก็เช็คอิน โหลดเป๋าขึ้นเครื่อง


         ถึงหาดใหญ่เวลา 12.25 น. ออกจากสนามบินเราก็ขึ้นรถตู้หน้าสนามบินไปลงในตัวเมืองหาดใหญ่ เราให้รถตู้ส่งที่ บริษัท K.S.T ซึ่งเราจะซื้อตั๋วขึ้นรถตู้จากหาดใหญ่ ไปปีนัง เราได้รถตู้รอบ 15.30 น. ช่วงเวลาที่เรารอรถตู้ เราก็ได้ไป แลกเงินมาเล เดินไปถนนสายสองเลยนะ ชื่อร้านนำไทย ร้านหาง่ายๆ สังเกตุจะอยู่หลังห้างโอเดียน หน้าร้านมีร้านขายเสื้อผ้าอยู่ ในวันที่เราแลกจะได้ 1 ริงกิต เท่ากับ 8.50 บาท แต่ถ้าคิดง่ายก็แทบเท่ากับ 10 บาทค่ะ จะได้ไม่งง ที่ร้านแลกเงินแนะนำเราดีมากค่ะ ให้มาแบบทุกแบงค์ แล้วก็บอกแต่ละแบงค์เท่าไหร่ แบงค์ไหนควรเก็บ แบงค์ไหนใช้เยอะสุด บอกละเอียดมากค่ะ

        เรานั่งรถตู้จากหาดใหญ่มาถึงปีนังประมาน 5 ชม ค่ะ เรามาถึงประมาน 20.30 เวลามาเลก็ประมาน 21.30 (เร็วกว่าไทย 1 ชม) เช็คอินเสร็จ เราก็เก็บของ แล้วลงมาซื้อของกินข้างล่าง มีเซเว่น สะดวกดีค่ะ สำหรับค่ำนี้ก็จบด้วยข้าวเซเว่น อาหารพื้นเมือง อร่อยอีกแบบค่ะ

        วันที่ 18 กย 58 : เราใช้ชีวิตแบบสบายๆ แพลนของเราวันนี้ เราจะไปปีนังฮิล วัดเค็ก ล็อก ซิ หรือวัดเขาเต่า จากนั้นก็จะได้เดินห้าง Gerney plaza เพื่อรอเวลาจะไปกินข้าวที่ ตลาดโต้รุ่งช่วงตอนเย็นค่ะ
        เราออกจากโรงแรมประมาน แปดโมงเช้า หาข้าวกินก่อนเลย กองทัพต้องเดินด้วยท้องค่ะ เราไปกินข้าวข้างๆโรงแรมทูนโฮลเทล เป็นร้านข้าวพวกข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเป็ด เข้าไปถึงเราสั่ง เป็ด 2 ค่ะ จากนั้นก็มีเจ้าของร้านผู้หญิง พูดไทยได้นะคะ เขาก็ถามเราทานน้ำอะไร เสร็จแล้วข้าวก็มาเสริฟ ซึ่งดูหน้าอาหารเช้ามื้อแรกแบบ น่ากินมากกก เป็นข้าว 1 จาน เป็ด 1 จาน น้ำจิ้ม 1 ถ้วย พอทานคำแรกเข้าไปเท่านั้นแหละ หืมมมม ฟินมาก  อร่อยมาก เป็ดนุ่ม ซอลที่ราดเป็ดก็รสชาติหวานเค็มๆนิดๆ ยิ่งทานกับน้ำจิ้มนะ อร่อยแบบติดใจมาก อาหารมื้อนี้ฟินมาก สนนราคาอยู่ที่ คน 8.60 ริงกิต หรือประมาน 80 บาท

       เราเดินจากหน้าโรงแรมไปขึ้นรถเมย์ที่ตึกคอมต้า ซึ่งตึกตรงนี้จะเป็นเหมือนท่ารถโดยสารค่ะ จะเดินทางไปที่ไหนสามารถมาขึ้นรถที่นี่ได้ เราศึกษาข้อมูลมาอย่างดี ว่าต้องขึ้นรถเมย์สายอะไร แต่พอมาถึง งงสิคับ มันมีทั้งหมด 5 ช่อง จะมีช่องแรก ที่ฝั่งห้างคอมต้า ช่องนี้จะเป็นช่องขึ้นรถเมย์ฟรี ซึ่งคิดว่าจะจะเป็นแบบรอบเมือง จากนั้น ถัดมาจะมี อีก 4 ช่อง มีป้ายบอก Lane 1 2 3 4 ไปไหนบ้าง เราก็ไล่อ่านทุกป้าย สุดท้ายก็ขึ้นผิดอยู่ดี ถามเอาง่ายสุดค่ะ อย่ากลัว แค่บอกว่า  I want go to Penang Hill แค่นั้นแหละ คนที่เราถาม เขาก็จะบอกๆๆๆๆ ยาวเยียด สรุปจับประเด็นตรงที่เขาชี้ช่องไหน แค่นั้นแหละค่ะ 555 คนที่นี่เขาจะเรียกว่า Bukit Bandera ค่ะ เมื่อขึ้นรถไป คนขับก็จะบอกว่า 2.40 ริง  เราก็หยอดเงินลงตู้ ซึ่งเราควรหยอดพอดีนะคะ เพราะไม่มีทอนค่ะ ถ้าไม่มีพอดี ก็หยอดเกินได้เลยค่ะ ใช้เวลาประมาน 45 นาทีค่ะ สุดสายที่ปีนังฮิลเลย ระหว่างทางก็จำทางลงที่จะไปวัดเค็กล๊กซิ ไว้ด้วย พร้อมกับเก็บภาพบรรยากาศระหว่างทาง เมื่อเรามาถึงที่ปีนังฮิลล์ แล้วเราก็เดินเข้าไปซื้อตั๋วที่ช่องจำหน่าย มีเจ้าหน้าที่คอยบอกอยู่ค่ะ ไม่ต้องกลัวงง ราคาตั๋วขึ้นรถราง ไปกลับ คนต่างชาติ จ่าย 30 ริง/คน ประมาน 300 บาท เมื่อซื้อตั๋วแล้วก็ไปรอขึ้นรถรางได้เลย
เราเลือกที่จะนั่งหน้าสุดค่ะ เพราะจะเก็บภาพบรรยากาศตอนขึ้นด้วย พอขึ้นไปแล้ว ได้นั่งหน้าสุดจริงๆค่ะ แต่หลังจากนั่ง ก็มีคนมายืนข้างหน้าแทน หมดกัน !! เราเลยยืนเพื่อให้เก็บภาพได้สวยที่สุด แต่ก็ได้มาแค่นี้แหละค่ะ 5555
ใช้เวลา ขึ้น ประมาน 30 นาทีค่ะ ก็ถึงแล้ว พอลงจากรถรางมา อากาศดีเว่อร์ อากาศเย็นสบาย มองเห็นธรรมชาติ ต่างจากข้างล่างเลยค่ะซึ่งพอมองลงไป จะไม่ค่อยเห็นวิวเท่าไหร่ เพราะวันที่เราไป เป็นช่วงที่มีหมอกลง ท้องฟ้าอึมครึมหน่อยๆ แต่ก็ยังประทับใจอยู่ดีค่ะ ด้านบนเขาปีนังฮิลจะมีจุดชมวิวไว้ถ่ายรูป มีพิพิธภัณฑ์นกฮูก และมัสยิด รวมไปถึง Sri Aruloli Thirumurugan (Penang Hill Hindu Temple) ค่ะ
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.penanghill.gov.my/index.php/en/

เมื่อเราเดินเล่นเก็บภาพความประทับใจเสร็จ เราก็หาข้าวกินกันที่นี่แหละค่ะ (จริงๆ ไปหาข้าวกินตรงทางเดินไปวัดเค็กล๊กซี ดีกว่าค่ะ ร้านอาหารเยอะ และน่าทานสุดๆจะเป็นคล้ายๆตลาดหน่อยๆ มีของกินขายเยอะด้วยค่ะ) แต่เมื่อหิวแล้วก็ต้องทาน เพราะใช้พลังงานเดินไปเยอะ อาหารที่นี่ ราคา ประมาน 4 – 10 ริงค่ะ เราเลือกทานลักซา ซึ่งที่ศึกษาเค้าบอกอร่อยมาก และเป็นอาหารประจำชาติด้วย พอไปซื้อที่ร้าน จะเป็นคุณยายแก่หน่อย เขาพูดภาษามาเลกับเรา แต่เราก็บอก I don’t know ค่ะ พร้อมกับยิ้มสวยๆไปหนึ่งที คุณยายก็ใส่เส้น จากนั้นก็ตักน้ำแกงใส่ ใส่ไปรอบที่ 1 เทออก ใส่รอบที่ 2 เทออก ใส่รอบที่ 3 เทออก  สุดท้ายใส่รอบที่ 4 แล้วเสริฟค่ะ เรางงมาก คือไร มันคือเทคนิคหรืออย่างไร อยากถามมาก แต่คุยกันไม่รู้เรื่องค่ะ 555 ราคา 5 ริงค่ะ
เมื่อทานข้าวเสร็จ ไปต่อสิคะ รอไร เรานั่งรถรางลงเช่นเคยค่ะ แต่ครั้งนี้ได้นั้นกลางๆ ชมบรรยากาศอีกแบบค่ะ เมื่อลงถึงด้านล่างเสร็จ ก็ไปรอขึ้นรถเมย์ที่เดิมค่ะ บอกลง Kek Lok Si ค่าตั๋ว 1.40 ริงค่ะ ออกจากปีนังฮิลล์ ไปไกลค่ะ ประมาน 5 นาทีก็ถึงแล้ว เจ้าถิ่นก็ช่วยกันบอก เค็กล๊กซิๆ เราก็รีบลงกัน จากป้ายรถเมย์เดินลงมาจะเจอตลาดค่ะ ที่บอกว่ามีของกินเยอะมากๆ น่าทานทั้งนั้น ทางเข้าเข้าไปที่วัดค่อนข้างไกลหน่อย แต่ค่อยๆเดินชมตลาดสองข้างทางก็สนุกดีค่ะ มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย พอมาถึงที่วัด ทางเดินขึ้นไปจะมีจะของขายสองข้างทาง เดินขึ้นไปไกลมากกกกก หมูอ้วนอย่างอิชั้น หอบสิค่ะ แต่มีของขายก็ตัดความเหนื่อยออกได้นึงค่ะ เดินไปดูของได้สักพัก ก็จะพบกับศาลากลางน้ำที่มีเต่าเยอะมากกกกกก มีขายอาหารที่จะให้เต่าด้วยค่ะ คนขายบอก 20 บาท พูดไทยได้ค่ะ ใช้เงินไทยก็ได้ค่ะ ลุงแกรับหมดค่ะ จากนั้นเราก็เดินขึ้นไปต่อ ลากสังขารขึ้นไปให้ถึงให้ได้ พอถึงแล้วประทับใจค่ะ สวยมาก อย่างกับอยู่เมืองจีน เป็นที่อยู่บนเขาลูกนึงซึ่งมีความชันพอสมควร พอเห็นศาลาเจ้าแม่กวนอิมอยู่บนท้องฟ้าค่ะ สวยจริง จากนั้นเราก็ไปศักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ จะขึ้นไปอีก ก็ไม่ไหวล่ะค่ะ จิเป็นลม ทางด้านบริเวณนี้สามารถขับรถขึ้นมาได้นะค่ะ แต่เราไม่มีรถอ่ะ เดินลงกลับต่อไป ขาลงรู้สึกเรามากค่ะ ได้ช็อปปิ้งด้วย เบาเหนื่อยหน่อย ของที่นี่ถูกนะคะ เราซื้อกระเป๋าเป้ค่ะ เพราะที่ถือมาสายดันขาด เลยคิดว่าซื้อใหม่เหอะ เทคนิคการซื้อของที่นี่ค่ะ แนะนำว่าให้ถามราคาของที่จะซื้อสักหน่อยคะ จากนั้นก็บอกไม่เอาล่ะค่ะ พอเดินออกมานิดนึง ท่านจะได้ยินเสียงสวรรค์ เดิมราคาแรก 78 ริงค่ะ พอเดินออกมาบอก 55 ริง เอาไหมๆ เราก็หันไปต่ออีกนิด 50 นะ แม่ค้าพูดไทยได้นิดหน่อยค่ะ แม่ค้าบอกไม่ได้ เราก็เลยเดินออกมา พอมาอีกหน่อย ตะโกนมา 50 50 มาๆน้อง เสร็จเรา 555 สรุปได้ราคามาตามที่ปรารถนา ตีเป็นเงินไทยประมาน 400 กว่าบาทค่ะ เรานี่ยิ้มเลย ของที่ระลึกที่นี่ก็ถูกค่ะ พวกแม่เหล็ก พวงกุญแจ สวยๆทั้งนั้นค่ะ ถูกว่าที่เราซื้อแถว จอร์ททาวน์อีกค่ะ แนะนำให้ซื้อที่นี่เลย

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่