สวัสดีค่ะทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้ของเรา...
เราไม่เคยตั้งกระทู้ ผิดพลาดตรงไหนช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
เราเป็นคนนึง ที่อยากเรียนหมอ อยากเป็นหมอ ที่ไม่ใช่เพราะ ชื่อเสียง เงินทอง การนับหน้าถือตา หรืออื่นๆ
มันไม่ใช่แค่เราเพิ่งอยากเรียน เพิ่งตั้งเป้าหมาย แต่เราอยากเรียน อยากเป็น เราฝัน เราตั้งเป้าหมายมานานแล้วค่ะ
ประมาน 5 ปี ได้แล้วค่ะ ตั้งแต่ ป.4-ป.5 มันเป็นตอนที่เราจำได้ชัดเจนที่สุด ว่า เราอยากเป็นหมอจริงๆนะ
พอโตขึ้นในระดับนึง คือขึ้นมัธยมต้น ตอนแรกเราก็ถามตัวเองนะคะ ว่า เราอยากเรียนหมอจริงๆหรอ อยากเป็นหมอจริงๆหรือเปล่า
หรือมันเป็นแค่ครอบครัวอยากให้เป็น หรือโดนคนเป่าหูมาเยอะ ว่าหมอดีอย่างนั้นดีอย่างนี้
แล้วเราก็ตอบตัวเองได้จริงๆค่ะว่าเรา "อยากเป็นหมอที่ดี" จริงๆนะ
เราได้ไปงาน Open house SMST ที่เพิ่งผ่านมา
เรามีที่ๆอยากเรียนในใจอยู่แล้วค่ะ นั่นก็คือศิริราช และค่ายเส้นทางก็เพิ่งประกาศผลค่ะ ซึ่งเราติดค่ะ ดีใจมากๆ
แต่หลังจากวันที่เรากลับจากงานนั้น คืนนั้นทำให้เราคิดหนักค่ะ กลับมาคิดอีกครั้งว่า ฉันอยากเป็นจริงหรือเปล่า ?
เรามีคุณอาเป็นกุมารแพทย์ค่ะ เรามีเขาเป็นไอดอลมาตลอด ตั้งแต่เด็กๆ เราไปงานเขา วันที่เขาจบแพทย์เฉพาะทาง
เราเห็นชื่อเขาบนบอร์ดโรงพยาบาล ซึ่งมีคนเดียวในแผนกกุมารค่ะ มันโคตรเท่ห์เลยจริงๆค่ะ เราภูมิใจในตัวเขามาก
และเราก็อยากเป็นเหมือนเขาในสักวันค่ะ อยากประสบความสำเร็จเหมือนเขา แต่วันนั้น.. เขาเป็นคนบอกเราว่า
"อย่าเป็นหมอเลย อยากเป็นหมอจริงๆหรอ รู้แล้วหรอว่า ต้องเจอกับอะไรบ้าง" เขาเล่าถึงการเป็น "หมอจริงๆ" ให้เราฟังค่ะ
ซึ่งแน่นอนค่ะ เราตั้งเป้าหมายมานาน เราย่อมรู้ดีว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง เรากลัวโดนฟ้องร้องนะคะ แต่อย่างที่บอกค่ะ
"หมอเคยเป็นคนไข้ แต่คนไข้ไม่เคยเป็นหมอค่ะ" หมอย่อมเข้าใจคนไข้ แต่บางครั้งคนไข้ ไม่เข้าใจหมอค่ะ และเมื่อไหร่ที่เราคิดรำคาญ
หรือด่าคนไข้ไปแล้วนั้น เราจะไม่ได้ทำบุญ แต่กลายเป็นทำบาปค่ะ เช่น มีคนไข้ตีกันหัวแตกมาตอนดึกๆ แล้วเราต้องเย็บแผล
ถ้าเราคิดว่าเราช่วยคนเจ็บ เราก็ได้บุญค่ะ เราก็ได้ช่วยคน อย่างที่อยากช่วย แต่ถ้าเราคิดว่า จะมาตีกันทำไมลำบากเราอีกอย่างนั้นอย่างนี้
มันจะกลายเป็นบาปทันทีค่ะ พร่ามยาว 5555 นั่นแหละค่ะ เรารู้ดีทุกอย่างว่าต้องเจออะไร ต้องลำบากมากแค่ไหน แลกมาด้วยความเสียสละมากมายเท่าไหร่
แต่ถึงวันนั้น คนที่ภูมิใจที่สุด ก็คือตัวเราเองนี่แหละค่ะ
มันทำให้เราคิดหนักค่ะ หนักมาก เพราะ เขาบอกเราว่า พอเขาเป็นหมอแล้ว เขาไม่อยากให้เราเป็นหมอค่ะ
เราก็เลยตั้งคำถามกับเขาและกับตัวเองว่า "แล้วฉันเหมาะกับอะไร ถ้าไม่ใช่หมอ ที่ฉันตั้งเป้ามาตลอด"
คืนนั้นเราร้องไห้ค่ะ นอนร้องไห้ว่าทำไมเขาไม่สนับสนุนเรา แล้วเราจะทำยังไงต่อ เราจะเรียนอะไรที่ไม่ใช่หมอ
ในเมื่อเราตั้งเป้ามาตลอดแล้วค่ะ เราเครียดมาก จนแม่ เข้ามาคุยกับเราค่ะ แม่เป็นคนที่เข้าใจเราที่สุดเสมอ
เราถามตัวเองค่ะ ว่า "จะทำยังไงต่อไปดี" แล้วโพสต์ลงบนเฟซบุ๊ค (ไร้สาระจัง555)
คนที่มาตอบโพสต์เราคือแม่ค่ะ แม่บอกเราว่า
"ในเมื่อเราตั้งใจแล้ว อย่าให้อะไรมาเปลี่ยนความมุ่งมั่น แม้จะมีคนทักท้วงก็ตาม ความตั้งใจต้องไม่เปลี่ยนแปลง อะไรที่ว่ายาก ยิ่งต้องไปให้สุดทาง เมื่อทำถึงที่สุดด้วยตัวเราเองแล้วไปต่อไม่ไหว เมื่อถึงวันนั้นค่อยแก้ไขและเริ่มต้นหาจุดยืนใหม่นะลูก อย่ารีบล้มตั้งแต่เรายังไม่ได้เริ่ม ฝันให้ไกลก็ต้องไปให้ถึงแม้มันจะมีอุปสรรคก็ตาม"
เท่านั้นแหละค่ะ คำตอบของเรามันกลับมาชัดเจนอีกครั้ง และเราคงไม่สั่นคลอนง่ายๆอีกแล้วค่ะ เราโชคดีที่มีแม่ให้กำลังใจ อยู่ข้างๆเรา สนับสนุนเรามาโดยตลอด
ปล่อยให้เราลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง สุดท้ายถ้าเราไปไม่รอด เขาจะคอยโอบอุ้มเราไว้เสมอ..
หลังจากวันนั้นอาเราก็ส่งรายละเอียดคณะอื่นๆมาให้เราดูค่ะ พร้อมบอกกับเราว่า
"ถ้าเราต้องการชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง หรือการนับหน้าถือตา อาชีพที่ดีกว่าหมอ มีอีกเยอะนะ"
แต่ใจเรามันตอบตัวเองไปแล้วค่ะว่า หมอ คือสิ่งที่ฉันอยากจะเป็น แพทยศาสตร์ คือคณะที่เราอยากจะเรียน
ตอนนี้เราอยู่ ม.4 ค่ะ เกรดเฉลี่ยเราไม่ได้ดีเว่อร์ค่ะ แต่ไม่ได้แย่เลย อย่าท้อนะคะสำหรับคนที่ไม่เก่ง
ขยันเท่านั้นที่ครองโลกค่ะ 555
ใครอยากเรียนหมอเหมือนกัน เข้ามคุยกันได้ค่ะ อย่าท้อนะคะ มันต้องมีวันของเราค่ะ ถึงเขาจะไม่อยากให้เราเป็นหมอ
เราไม่โกรธเขาเลยค่ะ เรายิ่งอยากทำให้มันประสบความสำเร็จ อีก 10 ปีข้างหน้า เราจะทำให้ทุกคนในครอบครัวภูมิใจ และไม่ต้องมาหนักใจค่ะ
ว่าเลือกผิด และมันผิดไปตลอดชีวิต เราจะทำให้เขาเห็นว่า "เราเลือกถูกมาตลอดค่ะ" สู้ๆนะเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคน ^_^
ถึงแม้ว่าหมอ.. ไม่อยากให้ฉัน เป็น "หมอ"
เราไม่เคยตั้งกระทู้ ผิดพลาดตรงไหนช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
เราเป็นคนนึง ที่อยากเรียนหมอ อยากเป็นหมอ ที่ไม่ใช่เพราะ ชื่อเสียง เงินทอง การนับหน้าถือตา หรืออื่นๆ
มันไม่ใช่แค่เราเพิ่งอยากเรียน เพิ่งตั้งเป้าหมาย แต่เราอยากเรียน อยากเป็น เราฝัน เราตั้งเป้าหมายมานานแล้วค่ะ
ประมาน 5 ปี ได้แล้วค่ะ ตั้งแต่ ป.4-ป.5 มันเป็นตอนที่เราจำได้ชัดเจนที่สุด ว่า เราอยากเป็นหมอจริงๆนะ
พอโตขึ้นในระดับนึง คือขึ้นมัธยมต้น ตอนแรกเราก็ถามตัวเองนะคะ ว่า เราอยากเรียนหมอจริงๆหรอ อยากเป็นหมอจริงๆหรือเปล่า
หรือมันเป็นแค่ครอบครัวอยากให้เป็น หรือโดนคนเป่าหูมาเยอะ ว่าหมอดีอย่างนั้นดีอย่างนี้
แล้วเราก็ตอบตัวเองได้จริงๆค่ะว่าเรา "อยากเป็นหมอที่ดี" จริงๆนะ
เราได้ไปงาน Open house SMST ที่เพิ่งผ่านมา
เรามีที่ๆอยากเรียนในใจอยู่แล้วค่ะ นั่นก็คือศิริราช และค่ายเส้นทางก็เพิ่งประกาศผลค่ะ ซึ่งเราติดค่ะ ดีใจมากๆ
แต่หลังจากวันที่เรากลับจากงานนั้น คืนนั้นทำให้เราคิดหนักค่ะ กลับมาคิดอีกครั้งว่า ฉันอยากเป็นจริงหรือเปล่า ?
เรามีคุณอาเป็นกุมารแพทย์ค่ะ เรามีเขาเป็นไอดอลมาตลอด ตั้งแต่เด็กๆ เราไปงานเขา วันที่เขาจบแพทย์เฉพาะทาง
เราเห็นชื่อเขาบนบอร์ดโรงพยาบาล ซึ่งมีคนเดียวในแผนกกุมารค่ะ มันโคตรเท่ห์เลยจริงๆค่ะ เราภูมิใจในตัวเขามาก
และเราก็อยากเป็นเหมือนเขาในสักวันค่ะ อยากประสบความสำเร็จเหมือนเขา แต่วันนั้น.. เขาเป็นคนบอกเราว่า
"อย่าเป็นหมอเลย อยากเป็นหมอจริงๆหรอ รู้แล้วหรอว่า ต้องเจอกับอะไรบ้าง" เขาเล่าถึงการเป็น "หมอจริงๆ" ให้เราฟังค่ะ
ซึ่งแน่นอนค่ะ เราตั้งเป้าหมายมานาน เราย่อมรู้ดีว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง เรากลัวโดนฟ้องร้องนะคะ แต่อย่างที่บอกค่ะ
"หมอเคยเป็นคนไข้ แต่คนไข้ไม่เคยเป็นหมอค่ะ" หมอย่อมเข้าใจคนไข้ แต่บางครั้งคนไข้ ไม่เข้าใจหมอค่ะ และเมื่อไหร่ที่เราคิดรำคาญ
หรือด่าคนไข้ไปแล้วนั้น เราจะไม่ได้ทำบุญ แต่กลายเป็นทำบาปค่ะ เช่น มีคนไข้ตีกันหัวแตกมาตอนดึกๆ แล้วเราต้องเย็บแผล
ถ้าเราคิดว่าเราช่วยคนเจ็บ เราก็ได้บุญค่ะ เราก็ได้ช่วยคน อย่างที่อยากช่วย แต่ถ้าเราคิดว่า จะมาตีกันทำไมลำบากเราอีกอย่างนั้นอย่างนี้
มันจะกลายเป็นบาปทันทีค่ะ พร่ามยาว 5555 นั่นแหละค่ะ เรารู้ดีทุกอย่างว่าต้องเจออะไร ต้องลำบากมากแค่ไหน แลกมาด้วยความเสียสละมากมายเท่าไหร่
แต่ถึงวันนั้น คนที่ภูมิใจที่สุด ก็คือตัวเราเองนี่แหละค่ะ
มันทำให้เราคิดหนักค่ะ หนักมาก เพราะ เขาบอกเราว่า พอเขาเป็นหมอแล้ว เขาไม่อยากให้เราเป็นหมอค่ะ
เราก็เลยตั้งคำถามกับเขาและกับตัวเองว่า "แล้วฉันเหมาะกับอะไร ถ้าไม่ใช่หมอ ที่ฉันตั้งเป้ามาตลอด"
คืนนั้นเราร้องไห้ค่ะ นอนร้องไห้ว่าทำไมเขาไม่สนับสนุนเรา แล้วเราจะทำยังไงต่อ เราจะเรียนอะไรที่ไม่ใช่หมอ
ในเมื่อเราตั้งเป้ามาตลอดแล้วค่ะ เราเครียดมาก จนแม่ เข้ามาคุยกับเราค่ะ แม่เป็นคนที่เข้าใจเราที่สุดเสมอ
เราถามตัวเองค่ะ ว่า "จะทำยังไงต่อไปดี" แล้วโพสต์ลงบนเฟซบุ๊ค (ไร้สาระจัง555)
คนที่มาตอบโพสต์เราคือแม่ค่ะ แม่บอกเราว่า
"ในเมื่อเราตั้งใจแล้ว อย่าให้อะไรมาเปลี่ยนความมุ่งมั่น แม้จะมีคนทักท้วงก็ตาม ความตั้งใจต้องไม่เปลี่ยนแปลง อะไรที่ว่ายาก ยิ่งต้องไปให้สุดทาง เมื่อทำถึงที่สุดด้วยตัวเราเองแล้วไปต่อไม่ไหว เมื่อถึงวันนั้นค่อยแก้ไขและเริ่มต้นหาจุดยืนใหม่นะลูก อย่ารีบล้มตั้งแต่เรายังไม่ได้เริ่ม ฝันให้ไกลก็ต้องไปให้ถึงแม้มันจะมีอุปสรรคก็ตาม"
เท่านั้นแหละค่ะ คำตอบของเรามันกลับมาชัดเจนอีกครั้ง และเราคงไม่สั่นคลอนง่ายๆอีกแล้วค่ะ เราโชคดีที่มีแม่ให้กำลังใจ อยู่ข้างๆเรา สนับสนุนเรามาโดยตลอด
ปล่อยให้เราลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง สุดท้ายถ้าเราไปไม่รอด เขาจะคอยโอบอุ้มเราไว้เสมอ..
หลังจากวันนั้นอาเราก็ส่งรายละเอียดคณะอื่นๆมาให้เราดูค่ะ พร้อมบอกกับเราว่า
"ถ้าเราต้องการชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง หรือการนับหน้าถือตา อาชีพที่ดีกว่าหมอ มีอีกเยอะนะ"
แต่ใจเรามันตอบตัวเองไปแล้วค่ะว่า หมอ คือสิ่งที่ฉันอยากจะเป็น แพทยศาสตร์ คือคณะที่เราอยากจะเรียน
ตอนนี้เราอยู่ ม.4 ค่ะ เกรดเฉลี่ยเราไม่ได้ดีเว่อร์ค่ะ แต่ไม่ได้แย่เลย อย่าท้อนะคะสำหรับคนที่ไม่เก่ง
ขยันเท่านั้นที่ครองโลกค่ะ 555
ใครอยากเรียนหมอเหมือนกัน เข้ามคุยกันได้ค่ะ อย่าท้อนะคะ มันต้องมีวันของเราค่ะ ถึงเขาจะไม่อยากให้เราเป็นหมอ
เราไม่โกรธเขาเลยค่ะ เรายิ่งอยากทำให้มันประสบความสำเร็จ อีก 10 ปีข้างหน้า เราจะทำให้ทุกคนในครอบครัวภูมิใจ และไม่ต้องมาหนักใจค่ะ
ว่าเลือกผิด และมันผิดไปตลอดชีวิต เราจะทำให้เขาเห็นว่า "เราเลือกถูกมาตลอดค่ะ" สู้ๆนะเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคน ^_^