เหตุเกิดเมื่อกลางปี 2558
กระทู้นี้ ยาวหน่อยนะค่ะ แต่เชื่อว่าเป็นประโยชน์ กับคุณแม่ ที่คิดจะพาลูกไปเรียนฟุตบอลแน่นอนค่ะ
ดิฉันมีลูกชายคนหนึ่ง อายุ 8 ปี ปกติวันหยุดเรียน วันเสาร์ ก็จะพาลูกไปเรียนพิเศษ กวดวิชา เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป ส่วนวันอาทิตย์ ก็จะให้ลูกหยุดพักผ่อนอยู่บ้าน แต่รู้สึกว่าเวลาลูกอยู่บ้าน ลูกก็มักจะเล่นแต่เกมส์ออนไลน์ เล่นตั้งแต่เช้ายันเย็น ข้าวปลาไม่ยอมกินเลยทีเดียว เล่นจนติดงอมแงม เราเองก็ไม่รู้จะทำยังให้ลูกเลิกเล่นเกมส์หรือเล่นให้น้อยลงก็ยังดี จึงได้ปรึกษาเพื่อนๆ ที่มีลูกในวัยเดียวกัน เพื่อนๆ ก็เลยแนะนำว่าให้หากิจกรรมให้ลูกทำ เช่น พาไปเรียนดนตรี หรือ เรียนกีฬาอะไรก็ได้ เราก็เลยมานั่งคิดดูว่าจะพาลูกไปเรียนอะไรดี...........นึกขึ้นได้พอดีว่าลูกชายชอบเล่นเกมส์ FIFA online มาก ซึ่งเป็นเกมส์เกี่ยวกับกีฬาฟุตบอล เราจึงตัดสินใจว่าจะพาลูกไปเรียนกีฬาฟุตบอล เพราะหวังว่าลูกคงจะชอบ อีกอย่างลูกเราก็จะได้ออกกำลังกาย และยังได้พบเจอกับเพื่อนใหม่ๆ อีกด้วย
ในที่สุดดิฉัน ก็หาที่เรียนฟุตบอลให้ลูกได้แล้วค่ะ โดยหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต เป็นโรงเรียนสอนฟุตบอลเด็ก แถวๆ ลาดพร้าว พอไปถึงสนามก็ได้ลงทะเบียนเรียนโดยจ่ายเงินไป 2500 บาท/เดือน เรียนเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 4 – 5 โมงเย็น คิดคร่าวๆ เดือนหนึ่งก็ประมาณ 8 – 9 ครั้ง แต่เราสะดวกพาลูกมาเรียนแค่วันอาทิตย์ ก็ต้องจ่ายเต็มราคา (เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา สุขภาพของลูกสำคัญที่สุดค่ะ)
โรงเรียนสอนฟุตบอลที่นี้ มีเด็กๆ มาเรียนเยอะมากค่ะ มีทั้งหมด 3 สนาม ถ้าดูจากสายตาคร่าวๆ ก็น่าจะมีเด็ก 20 – 25 คนต่อหนึ่งสนาม เด็กๆ ทุกคนเก่งมากเลยค่ะ เล่นฟุตบอลยังกับผู้ใหญ่ เราเองก็แอบยิ้มๆ ว่า คิดไม่ผิดจริงๆ ที่พาลูกมาเรียนฟุตบอลที่นี้ ถ้าลูกเราเก่งแบบเด็กๆ คนอื่นๆ ก็คงจะดีชินะ และถ้าได้เป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย อีกดีกันไปใหญ่......(แอบฝันไปไกล 555+).....แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันไว้เลยค่ะ
เรียนวันแรกก็เกิดเรื่องซะแล้ว !!!!! เมื่อลูกชายเราไม่ยอมลงสนามเรียนเพราะกลัวหรือตื่นสนาม เราเองก็ไม่รู้สาเหตุ.....(ลูกชายไม่เคยเรียนฟุตบอลเลยค่ะ).....ทำยังไงก็ไม่ยอมลงสนามไปเรียนกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ครูผู้สอนก็ไม่ได้มาช่วยพูดหรือเกื้อกล่อมลูกเราเลยค่ะ....(ทำไงดีล่ะ จ่ายเงินไปแล้วด้วย)
สุดท้ายเราก็ต้องใช้อุบายว่า....ถ้าลูกยอมเรียนฟุตบอล แม่จะพาไปเที่ยว พาไปกินขนม พาไปดูหนัง........จนในที่สุดลูกเราก็ยอมลงสนามไปเรียน (รู้สึกโล่งใจ)...........พอส่งลูกลงสามเสร็จ เราก็ไปนั่งพักรอลูกชายที่คลับเฮ้าส์ ของสนามฟุตบอลตากแอร์เย็นๆ อย่างสบายใจ
เวลาผ่านไป 45 นาที ลูกชายเราก็วิ่งเข้ามาหาเราในคลับเฮ้าส์ พร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหล แล้วบอกเราว่า อยากกลับบ้านไม่อยากเรียนแล้ว.........เราเห็นลูกร้องไห้ก็ตกใจ แล้วคุยกับลูกว่า ร้องไห้ทำไมค่ะ ใครทำอะไรให้ ถึงต้องร้องไห้แบบนี้ ไหนเล่าให้แม่ฟังชิค่ะ......ลูกบอกว่าโดนเพื่อนๆ ในสนามฟุตบอลล้อ เวลาทำตามที่ครูสอนไม่ได้ แถมยังโดนครูดุอีกว่าไม่ตั้งใจเรียน....ตอนแรกเราเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะคิดว่าคงเป็นช่วงปรับตัวของลูก ถ้าพาลูกมาเรียนบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะสนิทกับเพื่อนๆ และก็จะทำได้ตามที่ครูสอนต้องการเอง........(คิดบวกเข้าไว้)..........วันนั้นเราจึงตัดสินใจพาลูกกลับบ้านเพราะพูดยังไงลูกก็ไม่ยอมกลับไปเรียนในสนาม ก่อนกลับบ้านเราก็บอกครูสอนว่าลูกไม่ยอมลงสนามเรียน วันนี้ขออนุญาติกลับบ้านก่อนนะค่ะ ครูก็บอกว่าไม่เป็นไร วันอาทิตย์หน้าลองมาเรียนใหม่นะครับ
ครั้งที่ 2 ที่พาลูกมาเรียนฟุตบอล ครั้งนี้ก็เหมือนเดิมค่ะ กว่าจะยอมลงสนามไปเรียนก็ใช้เวลาเกื้อกล่อมกว่า 20 นาที......แต่ครั้งนี้พอเราส่งลูกชายลงสนามเรียน เราก็ได้นั่งรอลุกอยู่ข้างสนามฟุตบอล เพราะคิดว่าถ้าลูกเห็นเรานั่งเป็นกำลังใจให้เค้าอยู่ข้างๆ สนาม เค้าคงจะไม่กลัว และมีกำลังใจตั้งใจเรียน..........แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าลูกชายเราเป็นจุดอ่อนที่สุดในกลุ่มเพื่อนๆ เลยค่ะ ลูกเราวิ่งก็ไม่ทันเพื่อนๆ เวลาครูสอนอะไรไปก็ทำไม่ได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ พอลูกเราทำไม่ได้ ก็ถูกเพื่อนๆ ล้อ แถมยังโดนครูชี้หน้าดุว่าไม่ตั้งใจเรียน.......(ดุไม่เกรงใจเราเลยค่ะ).........และแน่นอนค่ะ ลูกชายเราก็ร้องไห้เหมือนเดิม เพราะลูกเราร้องไห้ เพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็หัเราะชอบใจ ครูสอนก็ไม่ได้มาสนใจลูกเราเลยค่ะ ปล่อยให้ร้องไห้ต่อไป...........ความรู้สึกตอนนั้นสงสารลูกมากค่ะ ที่เราพาลูกมาเรียนฟุตบอล แทนที่ลูกจะได้มีร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพที่ดี แต่เรากลับพาลูกมาเครียดแท้ๆ แทมยังเป็นตัวตลกในสนามให้เพื่อนๆ ล้ออีก........(รู้สึกผิดมากเลยค่ะ)
หลังจากวันนั้นเราก็พาลูกไปเรียนอีก 2 ครั้ง..........ก็เหมือนเดิมค่ะ ถูกเพื่อนๆ ล้อ โดนครูดุ แล้วก็ร้องไห้เหมือนเดิม สุดท้ายเราก็ไม่ได้พาลูกไปเรียนฟุตบอลที่นั้อีกเลยเพราะสงสารลูกมากค่ะ
แต่ส่วนตัวเราแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธกับการที่ลูกชายเรา ถูกเพื่อนๆ ล้อ กับโดนครูชี้หน้าดุ เลยค่ะ คิดแค่ว่ากีฬาฟุตบอลหรือโรงเรียนสอนฟุตบอลแห่งนี้อาจจะไม่เหมาะกับลูกชายเราก็ได้ค่ะ...(คิดบวกอีกแล้วค่ะ)
สุดท้ายอยากจะฝากถึงคุณแม่ทุกคนนะค่ะ ว่าการที่จะพาลูกไปเรียนฟุตบอล นั้นควรเลือกที่เรียนที่เหมาะกับลูกเรา และที่สำคัญไม่ควรบังคับให้ลูกเรียนตามที่ใจเราต้องการ ควรให้เค้าชอบที่จะเรียนเอง เพราะถ้าเค้าชอบเรียน เค้าก็จะมีความสุขเวลาที่เค้าได้มาเรียนฟุตบอล ส่วนตัวดิฉันคิดว่าถ้าเป็นวัยเด็กแบบนี้ ควรให้ลูกได้เล่นกีฬาตามที่ใจเค้าอยากจะเล่น เน้นแบบสนุกสนาน และทำให้เค้าได้มีความสุขในการเล่นกีฬา เพื่อร่างกายที่แข็งแรง ดีกว่าเน้นเรียนเพื่อส่งเข้าแข็งขันเพียงอย่างเดียวนะค่ะ
สำหรับคนเป็นแม่อย่างเรา แค่เราได้เห็นลูกวิ่งเล่นเตะบอลกับเพื่อนๆ ด้วยความสนุกสนาน แค่นั้นเราก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ลูกเรามีร่างกายที่แข็งแรง
ปล. ถ้าใครพอจะรู้จักโรงเรียนสอนฟุตบอล ที่เน้นสร้างความสุข สนุกสนาน ให้กับเด็กๆ ก็รบกวนแนะนำด้วยนะค่ะ เพราะยังอยากให้ลูกได้ออกกำลังกาย ด้วยการเล่นกีฬาฟุตบอล อยู่ค่ะ ขอบคุณค่ะ
รู้สึกผิด.....ที่พาลูกไปเรียนฟุตบอล
กระทู้นี้ ยาวหน่อยนะค่ะ แต่เชื่อว่าเป็นประโยชน์ กับคุณแม่ ที่คิดจะพาลูกไปเรียนฟุตบอลแน่นอนค่ะ
ดิฉันมีลูกชายคนหนึ่ง อายุ 8 ปี ปกติวันหยุดเรียน วันเสาร์ ก็จะพาลูกไปเรียนพิเศษ กวดวิชา เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป ส่วนวันอาทิตย์ ก็จะให้ลูกหยุดพักผ่อนอยู่บ้าน แต่รู้สึกว่าเวลาลูกอยู่บ้าน ลูกก็มักจะเล่นแต่เกมส์ออนไลน์ เล่นตั้งแต่เช้ายันเย็น ข้าวปลาไม่ยอมกินเลยทีเดียว เล่นจนติดงอมแงม เราเองก็ไม่รู้จะทำยังให้ลูกเลิกเล่นเกมส์หรือเล่นให้น้อยลงก็ยังดี จึงได้ปรึกษาเพื่อนๆ ที่มีลูกในวัยเดียวกัน เพื่อนๆ ก็เลยแนะนำว่าให้หากิจกรรมให้ลูกทำ เช่น พาไปเรียนดนตรี หรือ เรียนกีฬาอะไรก็ได้ เราก็เลยมานั่งคิดดูว่าจะพาลูกไปเรียนอะไรดี...........นึกขึ้นได้พอดีว่าลูกชายชอบเล่นเกมส์ FIFA online มาก ซึ่งเป็นเกมส์เกี่ยวกับกีฬาฟุตบอล เราจึงตัดสินใจว่าจะพาลูกไปเรียนกีฬาฟุตบอล เพราะหวังว่าลูกคงจะชอบ อีกอย่างลูกเราก็จะได้ออกกำลังกาย และยังได้พบเจอกับเพื่อนใหม่ๆ อีกด้วย
ในที่สุดดิฉัน ก็หาที่เรียนฟุตบอลให้ลูกได้แล้วค่ะ โดยหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต เป็นโรงเรียนสอนฟุตบอลเด็ก แถวๆ ลาดพร้าว พอไปถึงสนามก็ได้ลงทะเบียนเรียนโดยจ่ายเงินไป 2500 บาท/เดือน เรียนเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 4 – 5 โมงเย็น คิดคร่าวๆ เดือนหนึ่งก็ประมาณ 8 – 9 ครั้ง แต่เราสะดวกพาลูกมาเรียนแค่วันอาทิตย์ ก็ต้องจ่ายเต็มราคา (เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา สุขภาพของลูกสำคัญที่สุดค่ะ)
โรงเรียนสอนฟุตบอลที่นี้ มีเด็กๆ มาเรียนเยอะมากค่ะ มีทั้งหมด 3 สนาม ถ้าดูจากสายตาคร่าวๆ ก็น่าจะมีเด็ก 20 – 25 คนต่อหนึ่งสนาม เด็กๆ ทุกคนเก่งมากเลยค่ะ เล่นฟุตบอลยังกับผู้ใหญ่ เราเองก็แอบยิ้มๆ ว่า คิดไม่ผิดจริงๆ ที่พาลูกมาเรียนฟุตบอลที่นี้ ถ้าลูกเราเก่งแบบเด็กๆ คนอื่นๆ ก็คงจะดีชินะ และถ้าได้เป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย อีกดีกันไปใหญ่......(แอบฝันไปไกล 555+).....แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันไว้เลยค่ะ
เรียนวันแรกก็เกิดเรื่องซะแล้ว !!!!! เมื่อลูกชายเราไม่ยอมลงสนามเรียนเพราะกลัวหรือตื่นสนาม เราเองก็ไม่รู้สาเหตุ.....(ลูกชายไม่เคยเรียนฟุตบอลเลยค่ะ).....ทำยังไงก็ไม่ยอมลงสนามไปเรียนกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ครูผู้สอนก็ไม่ได้มาช่วยพูดหรือเกื้อกล่อมลูกเราเลยค่ะ....(ทำไงดีล่ะ จ่ายเงินไปแล้วด้วย)
สุดท้ายเราก็ต้องใช้อุบายว่า....ถ้าลูกยอมเรียนฟุตบอล แม่จะพาไปเที่ยว พาไปกินขนม พาไปดูหนัง........จนในที่สุดลูกเราก็ยอมลงสนามไปเรียน (รู้สึกโล่งใจ)...........พอส่งลูกลงสามเสร็จ เราก็ไปนั่งพักรอลูกชายที่คลับเฮ้าส์ ของสนามฟุตบอลตากแอร์เย็นๆ อย่างสบายใจ
เวลาผ่านไป 45 นาที ลูกชายเราก็วิ่งเข้ามาหาเราในคลับเฮ้าส์ พร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหล แล้วบอกเราว่า อยากกลับบ้านไม่อยากเรียนแล้ว.........เราเห็นลูกร้องไห้ก็ตกใจ แล้วคุยกับลูกว่า ร้องไห้ทำไมค่ะ ใครทำอะไรให้ ถึงต้องร้องไห้แบบนี้ ไหนเล่าให้แม่ฟังชิค่ะ......ลูกบอกว่าโดนเพื่อนๆ ในสนามฟุตบอลล้อ เวลาทำตามที่ครูสอนไม่ได้ แถมยังโดนครูดุอีกว่าไม่ตั้งใจเรียน....ตอนแรกเราเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะคิดว่าคงเป็นช่วงปรับตัวของลูก ถ้าพาลูกมาเรียนบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะสนิทกับเพื่อนๆ และก็จะทำได้ตามที่ครูสอนต้องการเอง........(คิดบวกเข้าไว้)..........วันนั้นเราจึงตัดสินใจพาลูกกลับบ้านเพราะพูดยังไงลูกก็ไม่ยอมกลับไปเรียนในสนาม ก่อนกลับบ้านเราก็บอกครูสอนว่าลูกไม่ยอมลงสนามเรียน วันนี้ขออนุญาติกลับบ้านก่อนนะค่ะ ครูก็บอกว่าไม่เป็นไร วันอาทิตย์หน้าลองมาเรียนใหม่นะครับ
ครั้งที่ 2 ที่พาลูกมาเรียนฟุตบอล ครั้งนี้ก็เหมือนเดิมค่ะ กว่าจะยอมลงสนามไปเรียนก็ใช้เวลาเกื้อกล่อมกว่า 20 นาที......แต่ครั้งนี้พอเราส่งลูกชายลงสนามเรียน เราก็ได้นั่งรอลุกอยู่ข้างสนามฟุตบอล เพราะคิดว่าถ้าลูกเห็นเรานั่งเป็นกำลังใจให้เค้าอยู่ข้างๆ สนาม เค้าคงจะไม่กลัว และมีกำลังใจตั้งใจเรียน..........แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าลูกชายเราเป็นจุดอ่อนที่สุดในกลุ่มเพื่อนๆ เลยค่ะ ลูกเราวิ่งก็ไม่ทันเพื่อนๆ เวลาครูสอนอะไรไปก็ทำไม่ได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ พอลูกเราทำไม่ได้ ก็ถูกเพื่อนๆ ล้อ แถมยังโดนครูชี้หน้าดุว่าไม่ตั้งใจเรียน.......(ดุไม่เกรงใจเราเลยค่ะ).........และแน่นอนค่ะ ลูกชายเราก็ร้องไห้เหมือนเดิม เพราะลูกเราร้องไห้ เพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็หัเราะชอบใจ ครูสอนก็ไม่ได้มาสนใจลูกเราเลยค่ะ ปล่อยให้ร้องไห้ต่อไป...........ความรู้สึกตอนนั้นสงสารลูกมากค่ะ ที่เราพาลูกมาเรียนฟุตบอล แทนที่ลูกจะได้มีร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพที่ดี แต่เรากลับพาลูกมาเครียดแท้ๆ แทมยังเป็นตัวตลกในสนามให้เพื่อนๆ ล้ออีก........(รู้สึกผิดมากเลยค่ะ)
หลังจากวันนั้นเราก็พาลูกไปเรียนอีก 2 ครั้ง..........ก็เหมือนเดิมค่ะ ถูกเพื่อนๆ ล้อ โดนครูดุ แล้วก็ร้องไห้เหมือนเดิม สุดท้ายเราก็ไม่ได้พาลูกไปเรียนฟุตบอลที่นั้อีกเลยเพราะสงสารลูกมากค่ะ
แต่ส่วนตัวเราแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธกับการที่ลูกชายเรา ถูกเพื่อนๆ ล้อ กับโดนครูชี้หน้าดุ เลยค่ะ คิดแค่ว่ากีฬาฟุตบอลหรือโรงเรียนสอนฟุตบอลแห่งนี้อาจจะไม่เหมาะกับลูกชายเราก็ได้ค่ะ...(คิดบวกอีกแล้วค่ะ)
สุดท้ายอยากจะฝากถึงคุณแม่ทุกคนนะค่ะ ว่าการที่จะพาลูกไปเรียนฟุตบอล นั้นควรเลือกที่เรียนที่เหมาะกับลูกเรา และที่สำคัญไม่ควรบังคับให้ลูกเรียนตามที่ใจเราต้องการ ควรให้เค้าชอบที่จะเรียนเอง เพราะถ้าเค้าชอบเรียน เค้าก็จะมีความสุขเวลาที่เค้าได้มาเรียนฟุตบอล ส่วนตัวดิฉันคิดว่าถ้าเป็นวัยเด็กแบบนี้ ควรให้ลูกได้เล่นกีฬาตามที่ใจเค้าอยากจะเล่น เน้นแบบสนุกสนาน และทำให้เค้าได้มีความสุขในการเล่นกีฬา เพื่อร่างกายที่แข็งแรง ดีกว่าเน้นเรียนเพื่อส่งเข้าแข็งขันเพียงอย่างเดียวนะค่ะ
สำหรับคนเป็นแม่อย่างเรา แค่เราได้เห็นลูกวิ่งเล่นเตะบอลกับเพื่อนๆ ด้วยความสนุกสนาน แค่นั้นเราก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ลูกเรามีร่างกายที่แข็งแรง
ปล. ถ้าใครพอจะรู้จักโรงเรียนสอนฟุตบอล ที่เน้นสร้างความสุข สนุกสนาน ให้กับเด็กๆ ก็รบกวนแนะนำด้วยนะค่ะ เพราะยังอยากให้ลูกได้ออกกำลังกาย ด้วยการเล่นกีฬาฟุตบอล อยู่ค่ะ ขอบคุณค่ะ