ในกรณีนี้สิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงนั้นหมายถึงการจ่ายเงินในการซื้อความสุข ไม่ใช่การจ่ายเงินเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเช่นตู้เย็นหรือเครื่องซักผ้า โดยวิธีหลักๆที่เราจะพูดถึงสองวิธีคือการจ่ายเงินไปเที่ยวกับการจ่ายเงินชอปปิ้ง โดยผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก (San Francisco State University) สรุปอย่างชัดเจนว่า “ผู้คนที่จ่ายเงินเพื่อซื้อประสบการณ์ชีวิตนั้นมีความสุขและคุ้มค่ามากกว่าผู้คนที่จ่ายเงินเพื่อซื้อสิ่งของ” หากแต่ผู้คนทั่วไปมักชื่นชอบการจ่ายเงินเพื่อซื้อสิ่งของมากกว่าเนื่องจากว่ามันชัดเจนจับต้องได้ ทำให้รู้สึกเหมือนจ่ายเงินแล้วได้อะไรมา แต่การจ่ายเงินเพื่อซื้อประสบการณ์ชีวิตเช่นการจ่ายเงินเพื่อไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆนั้นอาจทำให้มีความสุขเหมือนกันก็จริง แต่ผู้คนมักรู้สึกว่าไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา จ่ายแล้วก็จบไป ไม่มีอะไรกลับมาบ้าน อย่างมากก็แค่จำเรื่องที่ไปเที่ยวมาไว้คุยกับคนอื่นได้ก็เท่านั้นเอง

แต่ผลการวิจัยได้บ่งชี้ว่าในระยะยาวนั้น ประสบการณ์และความทรงจำนั้นมีค่ากับมนุษย์มากกว่าการได้ครอบครองสิ่งของต่างๆมากมายนัก ลองคิดดูว่าถ้าวันนี้คุณไปพิชิตดอยอินทนนท์มา อีกสิบปีถัดจากนี้คุณก็ยังจำวีรกรรมนี้ได้อยู่ แต่ถ้าวันนี้คุณไปซื้อไอโฟนหกมา อีกสิบข้างหน้าคุณอาจจะลืมไปแล้วว่าคุณเคยมีไอโฟนหก เพราะป่านนั้นคุณอาจกำลังสนใจอยู่กับไอโฟนสิบหกแทน ฮ่าๆ
ทีนี้เรามาลองแยกย่อยดูทีละข้อว่าทำไมการจ่ายเงินเพื่อซื้อประสบการณ์ชีวิต ถึงคุ้มค่ามากกว่าการจ่ายเงินซื้อของ!
1.เพราะความทรงจำนั้นมีจะค่ากับเราเสมอ
ถ้าจ่ายเงินซื้อไอโฟนมา คนส่วนใหญ่จะเห่อมันแค่ช่วงแรกๆเท่านั้น หลังจากคุณเริ่มชินกับมันคุณก็จะเลิกเห่อ แล้วมันก็จะกลายเป็นการจ่ายเงินเพื่ออัพเกรดฟังก์ชันที่ไม่ได้จำเป็นในการใช้ชีวิตเท่าไรนัก เช่นเครื่องเร็วขึ้นนิดๆ กล้องชัดขึ้นหน่อยๆ หน้าตาสวยกว่ากันบ้าง สรุปคือคุณจะมีความสุขแค่ช่วงแรกๆที่ได้มันมาก็แค่นั้น แต่ถ้าคุณจ่ายเงินเพื่อเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่ไปพิชิตดอยอินทนนท์มาแล้วคุณปลาบปลื้มกับการเดินทางนั้นสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นบ้านที่อร่อย ทิวทัศน์ที่สวยงาม หรือเป็นความรู้สึกภูมิใจที่ครั้งหนึ่งคุณได้เคยไปพิชิตยอดดอยนั้น สิ่งเหล่านี้จะคงอยู่ในความทรงจำของคุณเสมอ และคุณค่าของมันก็ไม่ได้ลดลงไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป คุณไม่ได้รักสถานที่นั้นๆน้อยลง หรือคุณไม่ได้มีความภูมิใจที่เคยไปเยือนสถานที่นั้นลดลง นี่แหละคือความแตกต่างประการแรกระหว่างการจ่ายเงินซื้อประสบการณ์กับการจ่ายเงินชอปปิ้ง
2.โอกาสในการท่องเที่ยวนั้นไม่ได้มีเสมอ แต่โอกาสในการชอปปิ้งนั้นมักมีเสมอ
คนเราเมื่อแก่ตัวลงย่อมออกเดินทางได้ลำบากมากขึ้น การที่คุณไม่ไปเที่ยวในขณะที่คุณยังไปไหวนั้นคุณอาจเสียโอกาสนั้นไปเลยก็เป็นได้ และมันก็เป็นไปได้ว่าในอนาคตคุณอาจมีภาระมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องครอบครัวและนั่นจะทำให้คุณจัดเวลาไปเดินทางได้ยากเข้าไปอีก แต่ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม ห้างสรรพสินค้าหรูๆนั้นจะยังคงอยู่และรอให้คุณเข้าไปจ่ายเงินซื้อของเสมอ
3.ประสบการณ์ต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่คุณจะเก็บไว้พูดถึงได้ตลอดชีวิต
มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม ดังนั้นการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆต่อกันนั้นแทบจะเป็นกิจวัตรหลักที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการสังคมกับเพื่อนฝูงหรือคนรอบข้าง ถ้าคุณซื้อไอโฟนหกมาคุณคงโม้อย่างภูมิใจได้อยู่แค่พักเดียวก่อนที่มันจะตกรุ่นไป ดีไม่ดีการซื้อของแพงๆมาแล้วโม้นี่จะทำให้คนรอบข้างมองคุณแปลกๆอีกต่างหากและอาจไม่อยากฟังคุณพูดนัก แต่การที่คุณเล่าถึงประสบการณ์ที่คุณได้ไปท่องเที่ยวยังที่ต่างๆมานั้นอีกสิบปีก็ยังคงเป็นเรื่องเล่าที่น่าฟังอยู่และผู้คนก็มักจะชอบฟังและยังอาจได้ประโยชน์จากการแชร์ประสบการณ์ของคุณอีกด้วย เพราะมันอาจเป็นที่ๆเขายังไม่เคยไปมา

แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้สรุปว่าการจ่ายเงินซื้อของชอปปิ้งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีและไม่ควรทำ เพราะของบางอย่างที่คุณยอมจ่ายในราคาสูงเพื่อได้มันมาอาจเป็นของที่คุณอยากได้จริงๆและก็อาจทำให้คุณภูมิใจไปตลอดชีวิตก็เป็นได้ เราเพียงพยายามชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการจ่ายเงินซื้อของและการจ่ายเงินเพื่อซื้อประสบการณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรเพื่อที่คุณจะได้ไปพิจารณาว่าเงินที่คุณอุตส่าห์พยายามหามาอย่างยากลำบากนั้น ควรใช้จ่ายแบบใดเพื่อที่จะคุ้มค่าและเหมาะสมกับตัวคุณที่สุด
เครดิต : lifehack.org
ติดตามเพจการท่องเที่ยวของผม
https://www.facebook.com/wanderaroundthailand
จ่ายเงินเพื่อไปเที่ยวกับจ่ายเงินเพื่อชอปปิ้ง อย่างไหนคุ้มค่ากว่ากัน ?
แต่ผลการวิจัยได้บ่งชี้ว่าในระยะยาวนั้น ประสบการณ์และความทรงจำนั้นมีค่ากับมนุษย์มากกว่าการได้ครอบครองสิ่งของต่างๆมากมายนัก ลองคิดดูว่าถ้าวันนี้คุณไปพิชิตดอยอินทนนท์มา อีกสิบปีถัดจากนี้คุณก็ยังจำวีรกรรมนี้ได้อยู่ แต่ถ้าวันนี้คุณไปซื้อไอโฟนหกมา อีกสิบข้างหน้าคุณอาจจะลืมไปแล้วว่าคุณเคยมีไอโฟนหก เพราะป่านนั้นคุณอาจกำลังสนใจอยู่กับไอโฟนสิบหกแทน ฮ่าๆ
ทีนี้เรามาลองแยกย่อยดูทีละข้อว่าทำไมการจ่ายเงินเพื่อซื้อประสบการณ์ชีวิต ถึงคุ้มค่ามากกว่าการจ่ายเงินซื้อของ!
1.เพราะความทรงจำนั้นมีจะค่ากับเราเสมอ
ถ้าจ่ายเงินซื้อไอโฟนมา คนส่วนใหญ่จะเห่อมันแค่ช่วงแรกๆเท่านั้น หลังจากคุณเริ่มชินกับมันคุณก็จะเลิกเห่อ แล้วมันก็จะกลายเป็นการจ่ายเงินเพื่ออัพเกรดฟังก์ชันที่ไม่ได้จำเป็นในการใช้ชีวิตเท่าไรนัก เช่นเครื่องเร็วขึ้นนิดๆ กล้องชัดขึ้นหน่อยๆ หน้าตาสวยกว่ากันบ้าง สรุปคือคุณจะมีความสุขแค่ช่วงแรกๆที่ได้มันมาก็แค่นั้น แต่ถ้าคุณจ่ายเงินเพื่อเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่ไปพิชิตดอยอินทนนท์มาแล้วคุณปลาบปลื้มกับการเดินทางนั้นสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นบ้านที่อร่อย ทิวทัศน์ที่สวยงาม หรือเป็นความรู้สึกภูมิใจที่ครั้งหนึ่งคุณได้เคยไปพิชิตยอดดอยนั้น สิ่งเหล่านี้จะคงอยู่ในความทรงจำของคุณเสมอ และคุณค่าของมันก็ไม่ได้ลดลงไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป คุณไม่ได้รักสถานที่นั้นๆน้อยลง หรือคุณไม่ได้มีความภูมิใจที่เคยไปเยือนสถานที่นั้นลดลง นี่แหละคือความแตกต่างประการแรกระหว่างการจ่ายเงินซื้อประสบการณ์กับการจ่ายเงินชอปปิ้ง
2.โอกาสในการท่องเที่ยวนั้นไม่ได้มีเสมอ แต่โอกาสในการชอปปิ้งนั้นมักมีเสมอ
คนเราเมื่อแก่ตัวลงย่อมออกเดินทางได้ลำบากมากขึ้น การที่คุณไม่ไปเที่ยวในขณะที่คุณยังไปไหวนั้นคุณอาจเสียโอกาสนั้นไปเลยก็เป็นได้ และมันก็เป็นไปได้ว่าในอนาคตคุณอาจมีภาระมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องครอบครัวและนั่นจะทำให้คุณจัดเวลาไปเดินทางได้ยากเข้าไปอีก แต่ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม ห้างสรรพสินค้าหรูๆนั้นจะยังคงอยู่และรอให้คุณเข้าไปจ่ายเงินซื้อของเสมอ
3.ประสบการณ์ต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่คุณจะเก็บไว้พูดถึงได้ตลอดชีวิต
มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม ดังนั้นการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆต่อกันนั้นแทบจะเป็นกิจวัตรหลักที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการสังคมกับเพื่อนฝูงหรือคนรอบข้าง ถ้าคุณซื้อไอโฟนหกมาคุณคงโม้อย่างภูมิใจได้อยู่แค่พักเดียวก่อนที่มันจะตกรุ่นไป ดีไม่ดีการซื้อของแพงๆมาแล้วโม้นี่จะทำให้คนรอบข้างมองคุณแปลกๆอีกต่างหากและอาจไม่อยากฟังคุณพูดนัก แต่การที่คุณเล่าถึงประสบการณ์ที่คุณได้ไปท่องเที่ยวยังที่ต่างๆมานั้นอีกสิบปีก็ยังคงเป็นเรื่องเล่าที่น่าฟังอยู่และผู้คนก็มักจะชอบฟังและยังอาจได้ประโยชน์จากการแชร์ประสบการณ์ของคุณอีกด้วย เพราะมันอาจเป็นที่ๆเขายังไม่เคยไปมา
แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้สรุปว่าการจ่ายเงินซื้อของชอปปิ้งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีและไม่ควรทำ เพราะของบางอย่างที่คุณยอมจ่ายในราคาสูงเพื่อได้มันมาอาจเป็นของที่คุณอยากได้จริงๆและก็อาจทำให้คุณภูมิใจไปตลอดชีวิตก็เป็นได้ เราเพียงพยายามชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการจ่ายเงินซื้อของและการจ่ายเงินเพื่อซื้อประสบการณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรเพื่อที่คุณจะได้ไปพิจารณาว่าเงินที่คุณอุตส่าห์พยายามหามาอย่างยากลำบากนั้น ควรใช้จ่ายแบบใดเพื่อที่จะคุ้มค่าและเหมาะสมกับตัวคุณที่สุด
เครดิต : lifehack.org
ติดตามเพจการท่องเที่ยวของผม https://www.facebook.com/wanderaroundthailand