เมื่อฉันพร้อมฉันจึงลุกขึ้นใหม่

"ช่วงเวลาที่ผ่านมาของคนๆหนึ่งมีมากน้อยไม่เท่ากัน บางคนต้องเผชิญกับความผิดหวัง ท้อแท้ อ่อนแอ เสียใจ และอีกบางเสี้ยวชีวิตหนึ่งกลับได้รับผลตอบแทนจากช่วงชีวิตที่ผ่านมาคือความสุข ดังนั้นแล้วหากเราจะกล่าวได้ว่าชีวิตของคนเรา ต้องเผชิญกับความทุกข์และความสุข สลับหมุนเวียนกันไปเป็นวัฏจักรของชีวิต ที่มิอาจพิชิตให้สุขหรือทุกข์อยู่กับเราตลอดไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะทำได้และควรจะทำให้ได้คือการยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และพร้อมจะเผชิญหน้ากับมันอย่างห้าวหาญ แล้วลุกขึ้นสู้กับมันด้วยสติและปัญญามากกว่าโทสะที่เกิดจากเปลวไฟที่เร่าร้อนในกายตน" จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้ประสบพบเจอและเผชิญกับสิ่งเหล่านี้มา มันเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผู้เขียนจดจำมาโดยตลอดชีวิต จึงจะขอเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้เป็นวิทยาทานให้กับหลายๆคนที่กำลังรู้สึกว่าฉันไม่พร้อมจะลุกขึ้นใหม่

          ด้วยเพราะความร้อนร้นในหัวใจจากการพลัดพรากจากคนที่รักถึง 6 เดือน บวกกับประหนึ่งว่าตนมีนิสัยเอาแต่ใจและขี้น้อยใจเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอยู่แล้ว ทำให้ไฟที่เร่าร้อนในใจตนจึงเป็นแรงผลักดันให้กล้าทำในสิ่งที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งไม่เคยคิดที่จะทำมาก่อน สิ่งนั้นคือการดั้นด้นเข้าเมืองหลวงที่มากล้นไปด้วยผู้คนและความวุ่นวาย จากเด็กหนุ่มบ้านนอกที่ทำอะไรไม่เข้าท่าสักอย่าง ต้องต่อสู้และหางานทำอย่างยากลำบาก ในช่วงชีวิตของการทำงานที่ผ่านมา ต้องถูกคนเหยียดหยาม ต่อว่า กลั่นแกล้ง อิจฉาริษยา ดูถูกเราต่างๆนานา ว่าทำอะไรไม่เป็น เป็นเด็กไม่เอาไหน ทั้งๆที่คนเหล่านี้ไม่เคยรู้ตัวตนของเรามาก่อนเลยว่าเป็นใคร มาจากไหน ถึงต้องมาอยู่จุดๆนี้ได้ เขามองเราเพียงแค่ภายนอกคือร่างกาย แต่ภายในจิตใจเรานั้นกับถูกมองข้ามอย่างสิ้นเชิง แต่นั้นก็ไม่ใช่อุปสรรคที่จะมาขัดขวางความตั้งใจและความมุ่งมั่นของผมได้ ผมกลับมองจุดที่ทำให้ชีวิตของผมตกต่ำถึงที่สุด ให้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผมพิสูจน์ให้ใครต่อใครเห็นว่า ไอ้เด็กบ้านนอกคนนี้แหละ สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ไม่แพ้ผู้ใหญ่หรือคนเมืองหลวง และต้องทำให้ได้ดีกว่าด้วย จนเวลาได้ผ่านร่วงเลยไป ผมก็สามารถพิชิตใจให้ใครต่อใครยอมรับผมได้และเขาเหล่านั้นก็พากันชื่นชมผมกันต่างๆนานา แต่นั้นก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความสุขที่จอมปลอมสำหรับผม เพราะสิ่งที่ผมทำมันมาทั้งหมดมันเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงใจผมมาโดยตลอด กับชีวิตที่ลำบาก คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ ต้องทนทุกข์อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมในชุมชนสลัม ต้องตื่นแต่เช้าเดินไปทำงานทุกวันในช่วงแรกๆ...พักหลังๆดีหน่อยมีจักรยานที่แม่ส่งเงินมาให้ซื้อพอปั่นไปทำงานได้หายเหนื่อยพอครึ่งหนึ่ง แต่ถึงผมจะเหนื่อยอย่างไรก็ต้องสู้และลุกขึ้นใหม่กับการเผชิญโลกกว้างที่ให้ประสบการณ์ใหม่ๆกับผมทุกๆวัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมีแรงพลักดันอยู่ตลอดเวลาคือกำลังใจจากครอบครัวและคนรักของผม ผมตั้งใจว่าผมจะสะสมเงินเดือนส่วนหนึ่งส่งไปให้ทางบ้านได้ใช้ และทำสิ่งต่างๆที่ผมกับคนรักตั้งใจจะทำด้วยกัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเสมอไป สิ่งหนึ่งที่ผมทำได้คือการได้ตอบแทนพ่อแม่ด้วยการส่งเงินไปให้ท่านใช้ด้วยน้ำพักน้ำแรงที่ผมหามันมาได้อย่างสุจริต และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ต่อคือการสร้างฝันที่เราทั้งสองคนได้วาดไว้ ต้องพังทลายลง ประโยคหนึ่งที่เขาเคยพูดและให้กำลังใจผมมาโดยตลอดคือ "เราจะสร้างบ้านของเราไปพร้อมๆกัน" แต่บ้านหลังนั้นก็ถูกทุบทิ้งอย่างไร้เยื้อใย เพราะมันเป็นแค่ความฝันระหว่างเราทั้งสองคน...ดูทุกสิ่งมันเหมือนยากที่จะทำใจ มันเป็นเครื่องตอกย้ำภายในจิตใจของผมมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้ ผมทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เขากลับมาหาผม ผมกล้าทำในสิ่งที่เลวร้ายในชีวิตผม ผมกล้าทำร้ายตัวเองอย่างน่าสมเพช ผมเลือกที่จะทำทุกอย่างที่ทำได้โดยไม่สนใจว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ผมต้องสูญเสียเพื่อนที่ผมรักเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาโดยตลอด เพราะความรักที่งี่เง่าและเอาแต่ใจของผมมันบังตาให้ผมลืมทุกสิ่งทุกอย่างในตัวผม และคนรอบข้าง ทั้งๆที่ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ถ้าถามว่าผมทุกข์มั้ย? มันเกินกว่าคำว่า"ทุกข์" ก็คือ ความทรมารที่โหดร้ายในชีวิตผม ผมเฝ้าถามว่าฝันร้ายเหล่านี้จะออกจากชีวิตผมไปได้เมื่อไหร่ จนผมพบความจริงที่ถ่องแท้แล้วว่า "กรรมใคร กรรมมัน ทุกข์บ้าง สุขบ้าง จะยึดติดมันทำไม ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ยิ่งผูกมันยิ่งรัด ยิ่งสละมันยิ่งปล่อย" นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมจึงพร้อมที่จะลุกขึ้นใหม่ เพื่อกลับมาเป็นผมคนเดิม(ขอบคุณช่วงชีวิตที่ผ่านมาทำให้ผมรู้จักคำว่า"พอ")
‪#‎คำฅนเขียน‬
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่