ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเอง

ธรรมทั้งหลาย ก็เพื่อละตัวกิเลส

กิเลส (ธรรมที่ล่อหลอกด้วยความสุข ทำให้เร่าร้อน เศร้าหมอง)
กิเลส๑,๕๐๐ นั้น เมื่อย่นลงให้สั้นแล้วก็เหลืออยู่ ๕ เท่านั้น คือ โลภะ  โทสะ  โมหะ มานะ ทิฏฐิ
โลภะนั้น คือ
ความทะเยอทะยานมุ่งหวังอยากได้กิเลสกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
อยากได้วัตถุกาม คือสมบัติข้าวของ ซึ่งมีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้
โทสะนั้นได้แก่
ความเคืองแค้น ประทุษร้ายเบียดเบียน ท่านผู้อื่น
โมหะนั้นคือ
ความหลงมีหลงรัก หลงชัง หลงลาภหลงยศเป็นต้น
มานะนั้นคือ
ความถือตัวถือตน ดูถูกดูหมิ่นท่านผู้อื่น
ทิฏฐินั้นคือ
ความถือมั่นในลัทธิอันผิด เห็นเป็น
อุจเฉททิฏฐิ(ความเห็นว่าขาดสูญ)และ
สัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง)



*กุศล คือ การละ วาง กิเลส เป็นสะพานสำหรับไต่ไปสู่ความสุข ไม่เกิดอีก
*อกุศล คือ ตัวกิเลส เป็นสะพานสำหรับไต่ไปสู่ความสุข มีทุกข์เคียงอยู่ และส่งผลบั่นปลาย


เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า
“ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล,ธรรมเหล่านี้ มีโทษ,ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน,
ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล”
ดังนี้แล้ว ; เมื่อนั้น ท่านถึงละธรรมเหล่านั้นเสีย

เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า
“ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล,ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ,ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ,
ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล,”
ดังนี้แล้ว; เมื่อนั้น ท่าน พึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่