ก่อนอื่นผมขอสวัสดีผู้อาวุโสและสมาชิกทุก ๆ ท่าน กระทู้นี้เป็นแรกที่ผมตั้งขึ้นมาโดยคิดว่าอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับบุคลที่กำลังจะบวชในอนาคตหรือใครก็ตามที่คิดว่ามันมีประโยชน์ เมื่อ 7 ปีก่อนผมบวชเพราะทดแทนบุญคุณพ่อแม่ตามประเพณีของคนไทย อีกส่วนหนึ่งคือแม่ของผมท่านป่วยหนักเพราะโรคกรดไหลย้อน ตอนนั้นผมฟังชื่อโรคแล้วดูเหมือนไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ภายในเวลา 3 เดือนแม่ของผมอาการทรุดลงอย่างไม่น่าเชื่อ ผมจึงตัดสินใจบวชให้แม่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ดีกว่าที่บวชหน้าไฟตอนที่ท่านตายแล้ว และอีกอย่างหนึ่งผมสงสัยว่าการบวชพระมันดียังไง ทำไมคนในครอบครัวถึงได้รบเร้าให้บวชตั้งแต่อายุครบ 20 ซึ่งผมก็ปฏิเสธมาโดยตลอดเวลา 5 ปี เมื่อตกลงว่าจะบวชแม่กับป้าก็พาผมไปสมัครบวชหน้าพระหมู่ที่วัดอัมพวัน แต่ก็ต้องกินแห้วเพราะโครงการได้จำนวนครบแล้ว ผมเลยได้อุปสมบทที่วัดแห่งหนึ่งในเขตปริมณฑล ก็ขอเข้าเรื่องตรงนี้เลยนะครับ
วันแรกของการบวช ความสงบของความเป็นพระเริ่มขึ้นเมื่อแม่และบรรดาญาติกราบลาพากันกลับบ้าน ถึงจะเป็นครั้งที่สามของวันที่มีคนมากราบแต่มันก็ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ดี ความฟุ้งซ่านมาทันทีเมื่ออยู่คนเดียว เมื่อคิดว่าคนนั้นก็บอกว่าพระวิ่งไม่ได้นะเดินต้องสำรวม คนนี้ก็ว่าพระยืนฉี่ไม่ได้นะต้องนั่งก่อน พระต้องอย่างนั้น พระต้องอย่างนี้ โชคยังดีที่ความฟุ้งซ่านหมดไปเพราะมีพระพรรษาเดียวกันเข้ามาทักและบอกให้เตรียมตัวลงไปเรียนหนังสือตอนบ่าย วิชาเรียนแรกของความเป็นพระคือหลักสูตรนักธรรมตรี วิชา นัยบัญยัติ ช่างน่ายินดีเหลือเกินเพราะวันนี้เป็นการสอบวัดความรู้ความเข้าใจเนื่องจากเขาเรียนจบเนื้อหาตั้งแต่เมื่อวาน พระอาจารย์ท่านเลยให้ผมอ่านหนังสือเองตลอด 2 ชั่วโมง หลังจากอ่านหนังสือคร่าว ๆ ผมสรุปด้วยความมั่นใจว่า ศีล 227 ข้อ ๆ ที่เกี่ยวกับพระภิกษุณีผมรักษาได้ครบแน่นอนครับ!!
หลังจากทำวัตรเย็น หลวงน้าที่สอนขานนาคก็นิมนต์ให้ผมไปหาที่กุฏิ พอถึงกุฏิท่านก็สอนว่าที่วัดนี้ต้องสวดบทไหนบ้าง ก่อนจำวัด(นอน)ต้องสวดบทไหนบ้าง แล้วเคยปฏิบัติธรรม(นั่งสมาธิหรือเดินจงกรม)มาก่อนไหม ผมก็ได้ตอบท่านไปถามตรงว่าก่อนมาบวชน้องชายได้สอนวิธีนั่งสมาธิกับเดินจงกรมตามแบบวัดอัมพวันมาแล้วครับ ท่านก็บอกว่าดีแล้วให้ปฏิบัติตามนั้นเพราะที่วัดนี้ก็ปฏิบัติแบบนั้นเหมือนกัน สุดท้ายก่อนกลับท่านก็บอกว่า “ให้ตั้งใจให้มาก สิ่งที่อยากรู้ จะได้เห็นเพราะปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่าสนใจว่าพระรูปอื่นจะทำยังไง สนแค่ตัวเราก็พอว่าปฏิบัติดีแล้วหรือยัง” ณ จุด ๆ นี้ ยอมรับเลยว่าหลวงน้าท่านรู้ได้ยังไงว่าผมคิดอะไรในใจ
คืนแรกหลังจากสวดมนต์ก่อนนอนของผมผ่านมาโดยไม่ต้องพึ่งมาม่าไม่ใช่เพราะโชคช่วย ก่อนบวช 10 วัน ผมเตรียมตัวงดอาหารเย็นมาแล้ว ที่ต้องทำแบบนี้เพราะว่าก่อนบวชผมหนักถึง 115 กิโลกรัม ถ้าไม่ตัวเตรียมมาก่อนคืนแรกผมคงจัดมาม่าไปแล้ว สรุปคืนนั้นและคืนต่อ ๆ ไป ผมจัดนมถั่วเหลือง 1 กล่องก็อิ่มสบายท้องแล้วจำวัด(นอน)ด้วยความคิดในแง่ดีกว่าจะออกพรรษาคงลดได้หลายกิโล หลังจากนาฬิกาปลุกตอนตี 3 (ฟิตมาก บวชใหม่ไฟยังแรง) ผมเก็บที่หลับที่นอนเพราะน้องบอกว่า “พระเมื่อตื่นแล้วจะต้องเก็บที่นอนให้เรียบร้อยทันที” ตรงนี้ขัดใจมากแต่ก็ยอมทำ เพราะผมถือคติตามคำสอนของยายที่อุตส่าห์พูดกรอกหูบ่อย ๆ “ทำดี ทำชั่ว ถึงใครไม่เห็น ตัวเราก็เห็น โกหกใครโกหกได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้” ตรงนี้ต้องขอขอบคุณ คุณยายที่พร่ำสอนหลานคนนี้จนหลอนติดหู
เช้าแรกของการปฏิบัติธรรมเริ่มขึ้นหลังจากสรงน้ำ(อาบน้ำ)เสร็จเรียบร้อยและก็เป็นเช่นนี้ตลอดการบวช ความจริงไม่ใช่ว่าผมไฟแรงอะไรหรอกนะ แต่มันมีความสงสัยมากมายเกิดขึ้นในใจ ซึ่งเคยถามน้องไปแล้วแต่เจ้าตัวแสบก็ดันบอกว่า “ผู้ปฏิบัติย่อมได้เห็นธรรมตามสมควรต่อการปฏิบัติ” ผับผ่าสิมันช่างยุ่งยากอะไรขนาดนี้ แต่ผมบวชมาแล้วถ้าไม่ปฏิบัติธรรมแล้วนั่งหายใจทิ้งไปวัน ๆ มันคงไม่ใช่ตัวผมเท่าไหร่ (กระซิบตรงนี้เลยนะครับ ความจริงลูกพี่ลูกน้องสอนผมมาก่อนบวชว่าพระต้องตื่นเช้าเพียรปฏิบัติธรรม) ผมเริ่มสวดบททำวัตรเช้าเสร็จแล้ว ก็ตั้งนาฬิกาเดินถอยหลังไว้ 30 นาที นั่งได้แค่ 2 นาที ยุงกัด! คิดในใจ “เจ็บหนอ คันหนอ” ยุงมันคงคิดเรามาบริจาคเลือด ตัวที่หนึ่งก็แล้ว ตัวที่สองก็แล้ว พอเจอรุมกัด 5 จุดพร้อมกันสติแตกเลย ง้างมือจะตบก็นึกได้ว่า ‘ห้ามฆ่าสัตว์’ ในใจก็คิดว่าที่ได้ยินมาเขาว่า ‘ถ้ายุงกัดก็ต้องตบ’ แต่เสียใจด้วย ผมไม่ตบครับเพราะว่ากลัวละเมิดศีล ย้ำนะครับว่ากลัวละเมิดศีล
ที่วัดแห่งนี้พระนวกะ(พระบวชใหม่)ต้องขึ้นปฏิบัติธรรมวันพระ วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันพิเศษต่าง ๆ เช่น วันวิสาขบูชา วันแม่ วันพ่อ ฯ พร้อมกับผู้ถือศีลปฏิบัติธรรม ส่วนวันธรรมดาตอนช่วงบ่ายต้องเรียนนักธรรมตรี ช่วงหกโมงเย็นต้องไปซ้อมมนต์พิธีที่กุฏิหลวงพ่อเจ้าอาวาส หลังจากนั้นถ้าพระใหม่รูปใดประพฤติตัวไม่เรียบร้อย ท่านก็จะอบรมและลงโทษเสียวันนั้น มีประโยคหนึ่งที่ผมชอบมาก “ความเป็นพระไม่ใช่ว่าโกนหัวห่มผ้าเหลืองแล้วเป็นพระ แต่พระคือบุคคลที่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม เพียรปฏิบัติตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุคคลที่สมควรแล้วต่อการเคารพกราบไหว้ ถ้าพวกเธอไม่อยู่ในศีลในธรรม ไม่เพียรปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อญาติโยม พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย กราบไหว้ท่าน ท่านไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ ไม่รู้สึกเปลืองข้าวเปลืองน้ำที่เขาใส่บาตรเลี้ยงดูท่านบ้างหรือ แต่ว่าถ้าพวกเธอประพฤติปฏิบัติดีแล้ว เธอจะเป็นผู้ไม่เก้อเขิน ไม่ต้องละอายเมื่อเขากราบไหว้” คำพูดของหลวงพ่อเจ้าอาวาสประโยคนี้ ทำให้ผมและพระใหม่อีกหลาย ๆ รูปพยายามประพฤติปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้น
ผ่านไป 20 วัน ผมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จากที่เห็นท้องพอง – ท้องยุบ บ้าง ไม่เห็นบ้าง ช่วงนี้ผมเริ่มเห็นชัดเจนตลอด 1 ชั่วโมงที่นั่ง แต่ความเบื่อที่ต้องคอยกำหนดจับความปวด เสียง กลิ่น ยังมีอยู่ สาเหตุที่เห็นชัดคือผมเริ่มวางความคิดฟุ้งซ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ลงได้ เพราะผมสัญญากับตัวเองว่า ‘จะเลิกคิดถึงผลที่จะได้รับในการปฏิบัติ ความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยจะอยู่แต่กับปัจจุบันเท่านั้นจนกว่าจะออกพรรษา’
เวลาหนึ่งเดือนกว่าของการบวชเรียน ผมเรียนจบวิชาธรรมวิภาค และเย็นวันนั้นหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้แจกหนังสือนวโกวาทให้พระใหม่ เพื่อนำไปท่องจำแล้วกลับมาท่องส่งปากเปล่ากับท่านทุกวัน ผมเปิดหนังสือดูมีประมาณหนึ่งร้อยกว่าหน้า เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งขอสารภาพตรงนี้เลยว่า ผมเป็นคนขยันม๊าก! กว่าจะจบมาได้ก็เพราะอาจารย์ท่านเบื่อขี้หน้า เพราะฉะนั้นเรื่องเรียนเปรียบเหมือนกับยาขม แต่โบราณท่านว่าเกลียดอย่างใดได้อย่างนั้น ผมดันมาบวชวัดที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมแต่พวงดีกรีเป็นสำนักเรียนพระปริยัติธรรมด้วย! เอาล่ะสิทีนี้ทำยังไงดี คิดไปคิดมาก็นึกขึ้นได้ อุตส่าห์เรียนจบธรรมวิภาคมาทั้งที ขอทดลองหลักธรรมบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าหน่อยเถอะว่าได้ผลจริงหรือเปล่า ธรรมบทนั้นก็คือ อิทธิบาท ๔ (คุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ ๔ อย่าง) ฉันทะ(พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น) วิริยะ(เพียรประกอบสิ่งนั้น) จิตตะ(เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ) วิมังสา(หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น) คุณ ๔ อย่างนี้ มีบริบูรณ์แล้ว อาจชักนำบุคคลให้ถึงสิ่งที่ต้องประสงค์ซึ่งไม่เหลือวิสัย ผมอ่านสรรพคุณจบบอกกับตัวเองว่า “ขอลองหน่อยเถอะ”
ในวันรุ่งขึ้นและวันถัดไปหลังจากทำวัตรเช้าและปฏิบัติธรรม(ลดเวลาจาก2ชั่วโมงเป็น1ชั่วโมง) ผมก็จะท่องหนังสือจนกว่าจะไปบิณฑบาต หลังฉันเช้าเสร็จก็ท่องหนังสือจนกว่าจะลงทำวัตรเช้าที่อุโบสถ หลังทำวัตรเช้าที่อุโบสถก็ท่องหนังสือจนกว่าถึงเวลาเรียนตอนบ่าย บ่ายสามเรียนเสร็จก็ท่องหนังสือจนกว่าจะลงทำวัตรเย็นที่อุโบสถ หลังจากกวาดลานวิหารลานวัดก็ท่องหนังสือจนกว่าจะไปสวดมนต์ที่กุฏิหลวงพ่อเจ้าอาวาส ในวันแรกผมทำขนาดนี้ยังจำได้แค่ 3 หน้า บอกได้เลยครับว่าท้อใจ ตั้งแต่เกิดมาผมตั้งใจท่องหนังสือครั้งนี้มากกว่าก่อนสอบเสียอีก ทำขนาดนี้มันยังไม่เห็นได้เรื่องอะไรเลย แต่ผมก็ยังทำมันต่อไป เดชะบุญ ต้องขอบคุณความบ้าบิ่นหลังจากวันแรกผ่านไป วันที่ 2 ผมจำได้ 5 หน้า และเพิ่มเป็น 7 หน้า 10 หน้า 13 หน้า 17 หน้า ได้ตามลำดับ ผมจึงส่งนวโกวาททั้งเล่มภายใน 10 วัน พร้อมกับพระพรรษาเดียวกันที่เป็นทนาย มาถึงขั้นนี้ผมรู้สึกอัศจรรย์มาก แต่เดี๋ยวก่อนไม่ใช่ว่าอัศจรรย์ในความสำเร็จของอานิสงส์อิทธิบาท ๔ นะ แต่อัศจรรย์การพัฒนาความจำของสมองมนุษย์ มันเหมือนกับว่ายิ่งฝึกให้สมองจำมากขึ้นเท่าไหร่ สมองมันยิ่งพัฒนาขีดกำจัดความจำมากยิ่งขึ้น สรุป อิทธิบาท ๔ ผมคิดว่าธรรมบทนี้ใช้ได้จริงครับ
เวลาตี 3 ของเดือนที่ 2 หลังจากสวดมนต์เสร็จ ผมดีใจมากถึงมากที่สุด เพราะวันนี้ไม่มีเสียงจิ๊งหรีด กบ เขียด นก ตัวอะไรก็ตามที่มันส่งเสียงร้องแล้วต้องให้ผมคอยกำหนดว่า ‘เสียงหนอ ได้ยินหนอ เบื่อหนอ รำคาญหนอ’ ผมจึงหลับตากำหนดพองยุบอย่างมีความสุข หลับตาได้ไม่ถึง 2 นาที ผมก็ได้ยินเสียง ติ๊ก! ติ๊ก! ติ๊ก! พิจารณาดูแล้วมันต้องเป็นเสียงนาฬิกาแน่ ๆ จึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเอาถ่านนาฬิกาออก สนองคุณความดีที่สัตว์เหล่านั้นอุตส่าห์เงียบเสียงให้เรากำหนดบริกรรมอย่างสงบ ผมกลับมานั่งต่อมุ่งหมายว่า ’คราวนี้แหละจะได้นั่งแบบสงบเสียที’ ผมนั่งได้ประมาณ 2 นาทีเหมือนเดิมอีกแล้ว เสียงดังมาอีกแล้ว ตึกตึ๊ก! ตึกตึ๊ก! ตึกตึ๊ก! ‘เสียงหัวใจเรานี้เอง’ เอาละซิทีนี้เป็นเสียงหัวใจเต้น จะบังคับให้มันหยุดเต้นก็ไม่ได้ ผมหยุดบริกรรม ‘เสียงหนอ เสียงหนอ’ แล้วคิดเรื่องความสงบอยู่นานพอสมควร สุดท้ายผมก็นึกขำในใจให้กับความโง่เขลาของตัวเอง เพราะความสงบที่แท้จริงมันไม่ใช่เสียงรอบตัวที่เงียบหรือการอยู่ห่างจากความวุ่นวาย แต่มันสงบที่ใจ
5 วัน ก่อนออกพรรษา หลังจากจากกวาดลานวิหารเสร็จ ผมนั่งพักรับลมที่ศาลาริมน้ำ ความสุขถูกทำลายด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่แขนเพราะยุงกัด ขณะกำลังจะปัดไล่ก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ‘ค่อย ๆ ปัดนะระวังมันตาย’ มันเป็นความคิดที่ไม่ใช่กลัวว่ายุงตายแล้วเป็นอาบัติ แต่มันเป็นความรู้สึกเคารพต่อหนึ่งชีวิตที่มีค่าเหมือนกับเรา ผมค่อนข้างตกใจปนประหลาดใจกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ผมมองดูรอยจารึกแดง ๆ ที่ยุงฝากเอาไว้แล้วคิดต่อ ‘ถ้าเราตบมัน ๆ ก็ตาย แต่มันตายไปแล้วก็ไม่หายเจ็บไม่หายคันอยู่ดี ถึงเราไม่ตบอีกไม่นานมันก็ตายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ เราไม่ตบมันอีกไม่นานก็หายเจ็บก็หายคันไม่ใช่เหรอ’ สิ้นความคิดนั้นผมระลึกถึงความรู้สึกที่ไม่ตบยุงวันแรกที่บวชเพราะกลัวอาบัติได้โดยอัตโนมัติ ขอใช้คำว่าอัตโนมัติเพราะความคิดว่ามันแวบมันผุดขึ้นเอง
1 วันก่อนรับกฐิน ผมค่อนข้างจะอยู่อย่างเป็นสุขในชีวิตของความเป็นพระ เพราะยังมีปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ใจผมขุ่นมัวนั้นก็คือ พระรูปหนึ่งพรรษาเดียวกัน พระรูปนี้อายุ 20 ปี ความจริงเขาเป็นคนดีอยู่เหมือนกัน ทั้งความจริงใจ ความมีน้ำใจ แต่ข้อเสียของเขาคือ พูดจาหยาบคาย ไม่ค่อยสำรวมเท่าไหร่สำหรับความเป็นพระ และที่สำคัญดันมาชอบตบศีรษะพระพรรษาเดียวกันเล่น ผมเป็นคน ๆ หนึ่งที่ไม่ชอบใครให้เล่นหัวสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะเคยบอกกล่าวแล้วแต่ก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ค่ำวันนั้นผมก็โดนตบหัวไปครั้งหนึ่งระหว่างเดินกลับจากสรงน้ำ เมื่อกลับถึงกุฏิผมก็สวดบททำวัตรเย็น ระหว่างสวดผมวอกแวกถามตัวเองตลอดว่าเพราะอะไรถึงเป็นอย่างนี้ ทั้งทีเราก็ให้เกียรติเขาตลอดถึงแม้ว่าจะอายุน้อยกว่าก็ตาม หรือเพราะว่าเขาอายุยังน้อยนิสัยจึงยังไม่เป็นผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ หรือเป็นเพราะเราทำเวรกรรมอะไรเอาไว้
แชร์ประสบการณ์บวช ๕ พรรษา (อดีตมนุษย์ที่นับถือศาสนาพุทธเพราะติดตัวมาตั้งแต่เกิด)
วันแรกของการบวช ความสงบของความเป็นพระเริ่มขึ้นเมื่อแม่และบรรดาญาติกราบลาพากันกลับบ้าน ถึงจะเป็นครั้งที่สามของวันที่มีคนมากราบแต่มันก็ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ดี ความฟุ้งซ่านมาทันทีเมื่ออยู่คนเดียว เมื่อคิดว่าคนนั้นก็บอกว่าพระวิ่งไม่ได้นะเดินต้องสำรวม คนนี้ก็ว่าพระยืนฉี่ไม่ได้นะต้องนั่งก่อน พระต้องอย่างนั้น พระต้องอย่างนี้ โชคยังดีที่ความฟุ้งซ่านหมดไปเพราะมีพระพรรษาเดียวกันเข้ามาทักและบอกให้เตรียมตัวลงไปเรียนหนังสือตอนบ่าย วิชาเรียนแรกของความเป็นพระคือหลักสูตรนักธรรมตรี วิชา นัยบัญยัติ ช่างน่ายินดีเหลือเกินเพราะวันนี้เป็นการสอบวัดความรู้ความเข้าใจเนื่องจากเขาเรียนจบเนื้อหาตั้งแต่เมื่อวาน พระอาจารย์ท่านเลยให้ผมอ่านหนังสือเองตลอด 2 ชั่วโมง หลังจากอ่านหนังสือคร่าว ๆ ผมสรุปด้วยความมั่นใจว่า ศีล 227 ข้อ ๆ ที่เกี่ยวกับพระภิกษุณีผมรักษาได้ครบแน่นอนครับ!!
หลังจากทำวัตรเย็น หลวงน้าที่สอนขานนาคก็นิมนต์ให้ผมไปหาที่กุฏิ พอถึงกุฏิท่านก็สอนว่าที่วัดนี้ต้องสวดบทไหนบ้าง ก่อนจำวัด(นอน)ต้องสวดบทไหนบ้าง แล้วเคยปฏิบัติธรรม(นั่งสมาธิหรือเดินจงกรม)มาก่อนไหม ผมก็ได้ตอบท่านไปถามตรงว่าก่อนมาบวชน้องชายได้สอนวิธีนั่งสมาธิกับเดินจงกรมตามแบบวัดอัมพวันมาแล้วครับ ท่านก็บอกว่าดีแล้วให้ปฏิบัติตามนั้นเพราะที่วัดนี้ก็ปฏิบัติแบบนั้นเหมือนกัน สุดท้ายก่อนกลับท่านก็บอกว่า “ให้ตั้งใจให้มาก สิ่งที่อยากรู้ จะได้เห็นเพราะปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่าสนใจว่าพระรูปอื่นจะทำยังไง สนแค่ตัวเราก็พอว่าปฏิบัติดีแล้วหรือยัง” ณ จุด ๆ นี้ ยอมรับเลยว่าหลวงน้าท่านรู้ได้ยังไงว่าผมคิดอะไรในใจ
คืนแรกหลังจากสวดมนต์ก่อนนอนของผมผ่านมาโดยไม่ต้องพึ่งมาม่าไม่ใช่เพราะโชคช่วย ก่อนบวช 10 วัน ผมเตรียมตัวงดอาหารเย็นมาแล้ว ที่ต้องทำแบบนี้เพราะว่าก่อนบวชผมหนักถึง 115 กิโลกรัม ถ้าไม่ตัวเตรียมมาก่อนคืนแรกผมคงจัดมาม่าไปแล้ว สรุปคืนนั้นและคืนต่อ ๆ ไป ผมจัดนมถั่วเหลือง 1 กล่องก็อิ่มสบายท้องแล้วจำวัด(นอน)ด้วยความคิดในแง่ดีกว่าจะออกพรรษาคงลดได้หลายกิโล หลังจากนาฬิกาปลุกตอนตี 3 (ฟิตมาก บวชใหม่ไฟยังแรง) ผมเก็บที่หลับที่นอนเพราะน้องบอกว่า “พระเมื่อตื่นแล้วจะต้องเก็บที่นอนให้เรียบร้อยทันที” ตรงนี้ขัดใจมากแต่ก็ยอมทำ เพราะผมถือคติตามคำสอนของยายที่อุตส่าห์พูดกรอกหูบ่อย ๆ “ทำดี ทำชั่ว ถึงใครไม่เห็น ตัวเราก็เห็น โกหกใครโกหกได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้” ตรงนี้ต้องขอขอบคุณ คุณยายที่พร่ำสอนหลานคนนี้จนหลอนติดหู
เช้าแรกของการปฏิบัติธรรมเริ่มขึ้นหลังจากสรงน้ำ(อาบน้ำ)เสร็จเรียบร้อยและก็เป็นเช่นนี้ตลอดการบวช ความจริงไม่ใช่ว่าผมไฟแรงอะไรหรอกนะ แต่มันมีความสงสัยมากมายเกิดขึ้นในใจ ซึ่งเคยถามน้องไปแล้วแต่เจ้าตัวแสบก็ดันบอกว่า “ผู้ปฏิบัติย่อมได้เห็นธรรมตามสมควรต่อการปฏิบัติ” ผับผ่าสิมันช่างยุ่งยากอะไรขนาดนี้ แต่ผมบวชมาแล้วถ้าไม่ปฏิบัติธรรมแล้วนั่งหายใจทิ้งไปวัน ๆ มันคงไม่ใช่ตัวผมเท่าไหร่ (กระซิบตรงนี้เลยนะครับ ความจริงลูกพี่ลูกน้องสอนผมมาก่อนบวชว่าพระต้องตื่นเช้าเพียรปฏิบัติธรรม) ผมเริ่มสวดบททำวัตรเช้าเสร็จแล้ว ก็ตั้งนาฬิกาเดินถอยหลังไว้ 30 นาที นั่งได้แค่ 2 นาที ยุงกัด! คิดในใจ “เจ็บหนอ คันหนอ” ยุงมันคงคิดเรามาบริจาคเลือด ตัวที่หนึ่งก็แล้ว ตัวที่สองก็แล้ว พอเจอรุมกัด 5 จุดพร้อมกันสติแตกเลย ง้างมือจะตบก็นึกได้ว่า ‘ห้ามฆ่าสัตว์’ ในใจก็คิดว่าที่ได้ยินมาเขาว่า ‘ถ้ายุงกัดก็ต้องตบ’ แต่เสียใจด้วย ผมไม่ตบครับเพราะว่ากลัวละเมิดศีล ย้ำนะครับว่ากลัวละเมิดศีล
ที่วัดแห่งนี้พระนวกะ(พระบวชใหม่)ต้องขึ้นปฏิบัติธรรมวันพระ วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันพิเศษต่าง ๆ เช่น วันวิสาขบูชา วันแม่ วันพ่อ ฯ พร้อมกับผู้ถือศีลปฏิบัติธรรม ส่วนวันธรรมดาตอนช่วงบ่ายต้องเรียนนักธรรมตรี ช่วงหกโมงเย็นต้องไปซ้อมมนต์พิธีที่กุฏิหลวงพ่อเจ้าอาวาส หลังจากนั้นถ้าพระใหม่รูปใดประพฤติตัวไม่เรียบร้อย ท่านก็จะอบรมและลงโทษเสียวันนั้น มีประโยคหนึ่งที่ผมชอบมาก “ความเป็นพระไม่ใช่ว่าโกนหัวห่มผ้าเหลืองแล้วเป็นพระ แต่พระคือบุคคลที่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม เพียรปฏิบัติตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุคคลที่สมควรแล้วต่อการเคารพกราบไหว้ ถ้าพวกเธอไม่อยู่ในศีลในธรรม ไม่เพียรปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อญาติโยม พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย กราบไหว้ท่าน ท่านไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ ไม่รู้สึกเปลืองข้าวเปลืองน้ำที่เขาใส่บาตรเลี้ยงดูท่านบ้างหรือ แต่ว่าถ้าพวกเธอประพฤติปฏิบัติดีแล้ว เธอจะเป็นผู้ไม่เก้อเขิน ไม่ต้องละอายเมื่อเขากราบไหว้” คำพูดของหลวงพ่อเจ้าอาวาสประโยคนี้ ทำให้ผมและพระใหม่อีกหลาย ๆ รูปพยายามประพฤติปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้น
ผ่านไป 20 วัน ผมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จากที่เห็นท้องพอง – ท้องยุบ บ้าง ไม่เห็นบ้าง ช่วงนี้ผมเริ่มเห็นชัดเจนตลอด 1 ชั่วโมงที่นั่ง แต่ความเบื่อที่ต้องคอยกำหนดจับความปวด เสียง กลิ่น ยังมีอยู่ สาเหตุที่เห็นชัดคือผมเริ่มวางความคิดฟุ้งซ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ลงได้ เพราะผมสัญญากับตัวเองว่า ‘จะเลิกคิดถึงผลที่จะได้รับในการปฏิบัติ ความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยจะอยู่แต่กับปัจจุบันเท่านั้นจนกว่าจะออกพรรษา’
เวลาหนึ่งเดือนกว่าของการบวชเรียน ผมเรียนจบวิชาธรรมวิภาค และเย็นวันนั้นหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้แจกหนังสือนวโกวาทให้พระใหม่ เพื่อนำไปท่องจำแล้วกลับมาท่องส่งปากเปล่ากับท่านทุกวัน ผมเปิดหนังสือดูมีประมาณหนึ่งร้อยกว่าหน้า เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งขอสารภาพตรงนี้เลยว่า ผมเป็นคนขยันม๊าก! กว่าจะจบมาได้ก็เพราะอาจารย์ท่านเบื่อขี้หน้า เพราะฉะนั้นเรื่องเรียนเปรียบเหมือนกับยาขม แต่โบราณท่านว่าเกลียดอย่างใดได้อย่างนั้น ผมดันมาบวชวัดที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมแต่พวงดีกรีเป็นสำนักเรียนพระปริยัติธรรมด้วย! เอาล่ะสิทีนี้ทำยังไงดี คิดไปคิดมาก็นึกขึ้นได้ อุตส่าห์เรียนจบธรรมวิภาคมาทั้งที ขอทดลองหลักธรรมบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าหน่อยเถอะว่าได้ผลจริงหรือเปล่า ธรรมบทนั้นก็คือ อิทธิบาท ๔ (คุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ ๔ อย่าง) ฉันทะ(พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น) วิริยะ(เพียรประกอบสิ่งนั้น) จิตตะ(เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ) วิมังสา(หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น) คุณ ๔ อย่างนี้ มีบริบูรณ์แล้ว อาจชักนำบุคคลให้ถึงสิ่งที่ต้องประสงค์ซึ่งไม่เหลือวิสัย ผมอ่านสรรพคุณจบบอกกับตัวเองว่า “ขอลองหน่อยเถอะ”
ในวันรุ่งขึ้นและวันถัดไปหลังจากทำวัตรเช้าและปฏิบัติธรรม(ลดเวลาจาก2ชั่วโมงเป็น1ชั่วโมง) ผมก็จะท่องหนังสือจนกว่าจะไปบิณฑบาต หลังฉันเช้าเสร็จก็ท่องหนังสือจนกว่าจะลงทำวัตรเช้าที่อุโบสถ หลังทำวัตรเช้าที่อุโบสถก็ท่องหนังสือจนกว่าถึงเวลาเรียนตอนบ่าย บ่ายสามเรียนเสร็จก็ท่องหนังสือจนกว่าจะลงทำวัตรเย็นที่อุโบสถ หลังจากกวาดลานวิหารลานวัดก็ท่องหนังสือจนกว่าจะไปสวดมนต์ที่กุฏิหลวงพ่อเจ้าอาวาส ในวันแรกผมทำขนาดนี้ยังจำได้แค่ 3 หน้า บอกได้เลยครับว่าท้อใจ ตั้งแต่เกิดมาผมตั้งใจท่องหนังสือครั้งนี้มากกว่าก่อนสอบเสียอีก ทำขนาดนี้มันยังไม่เห็นได้เรื่องอะไรเลย แต่ผมก็ยังทำมันต่อไป เดชะบุญ ต้องขอบคุณความบ้าบิ่นหลังจากวันแรกผ่านไป วันที่ 2 ผมจำได้ 5 หน้า และเพิ่มเป็น 7 หน้า 10 หน้า 13 หน้า 17 หน้า ได้ตามลำดับ ผมจึงส่งนวโกวาททั้งเล่มภายใน 10 วัน พร้อมกับพระพรรษาเดียวกันที่เป็นทนาย มาถึงขั้นนี้ผมรู้สึกอัศจรรย์มาก แต่เดี๋ยวก่อนไม่ใช่ว่าอัศจรรย์ในความสำเร็จของอานิสงส์อิทธิบาท ๔ นะ แต่อัศจรรย์การพัฒนาความจำของสมองมนุษย์ มันเหมือนกับว่ายิ่งฝึกให้สมองจำมากขึ้นเท่าไหร่ สมองมันยิ่งพัฒนาขีดกำจัดความจำมากยิ่งขึ้น สรุป อิทธิบาท ๔ ผมคิดว่าธรรมบทนี้ใช้ได้จริงครับ
เวลาตี 3 ของเดือนที่ 2 หลังจากสวดมนต์เสร็จ ผมดีใจมากถึงมากที่สุด เพราะวันนี้ไม่มีเสียงจิ๊งหรีด กบ เขียด นก ตัวอะไรก็ตามที่มันส่งเสียงร้องแล้วต้องให้ผมคอยกำหนดว่า ‘เสียงหนอ ได้ยินหนอ เบื่อหนอ รำคาญหนอ’ ผมจึงหลับตากำหนดพองยุบอย่างมีความสุข หลับตาได้ไม่ถึง 2 นาที ผมก็ได้ยินเสียง ติ๊ก! ติ๊ก! ติ๊ก! พิจารณาดูแล้วมันต้องเป็นเสียงนาฬิกาแน่ ๆ จึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเอาถ่านนาฬิกาออก สนองคุณความดีที่สัตว์เหล่านั้นอุตส่าห์เงียบเสียงให้เรากำหนดบริกรรมอย่างสงบ ผมกลับมานั่งต่อมุ่งหมายว่า ’คราวนี้แหละจะได้นั่งแบบสงบเสียที’ ผมนั่งได้ประมาณ 2 นาทีเหมือนเดิมอีกแล้ว เสียงดังมาอีกแล้ว ตึกตึ๊ก! ตึกตึ๊ก! ตึกตึ๊ก! ‘เสียงหัวใจเรานี้เอง’ เอาละซิทีนี้เป็นเสียงหัวใจเต้น จะบังคับให้มันหยุดเต้นก็ไม่ได้ ผมหยุดบริกรรม ‘เสียงหนอ เสียงหนอ’ แล้วคิดเรื่องความสงบอยู่นานพอสมควร สุดท้ายผมก็นึกขำในใจให้กับความโง่เขลาของตัวเอง เพราะความสงบที่แท้จริงมันไม่ใช่เสียงรอบตัวที่เงียบหรือการอยู่ห่างจากความวุ่นวาย แต่มันสงบที่ใจ
5 วัน ก่อนออกพรรษา หลังจากจากกวาดลานวิหารเสร็จ ผมนั่งพักรับลมที่ศาลาริมน้ำ ความสุขถูกทำลายด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่แขนเพราะยุงกัด ขณะกำลังจะปัดไล่ก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ‘ค่อย ๆ ปัดนะระวังมันตาย’ มันเป็นความคิดที่ไม่ใช่กลัวว่ายุงตายแล้วเป็นอาบัติ แต่มันเป็นความรู้สึกเคารพต่อหนึ่งชีวิตที่มีค่าเหมือนกับเรา ผมค่อนข้างตกใจปนประหลาดใจกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ผมมองดูรอยจารึกแดง ๆ ที่ยุงฝากเอาไว้แล้วคิดต่อ ‘ถ้าเราตบมัน ๆ ก็ตาย แต่มันตายไปแล้วก็ไม่หายเจ็บไม่หายคันอยู่ดี ถึงเราไม่ตบอีกไม่นานมันก็ตายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ เราไม่ตบมันอีกไม่นานก็หายเจ็บก็หายคันไม่ใช่เหรอ’ สิ้นความคิดนั้นผมระลึกถึงความรู้สึกที่ไม่ตบยุงวันแรกที่บวชเพราะกลัวอาบัติได้โดยอัตโนมัติ ขอใช้คำว่าอัตโนมัติเพราะความคิดว่ามันแวบมันผุดขึ้นเอง
1 วันก่อนรับกฐิน ผมค่อนข้างจะอยู่อย่างเป็นสุขในชีวิตของความเป็นพระ เพราะยังมีปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ใจผมขุ่นมัวนั้นก็คือ พระรูปหนึ่งพรรษาเดียวกัน พระรูปนี้อายุ 20 ปี ความจริงเขาเป็นคนดีอยู่เหมือนกัน ทั้งความจริงใจ ความมีน้ำใจ แต่ข้อเสียของเขาคือ พูดจาหยาบคาย ไม่ค่อยสำรวมเท่าไหร่สำหรับความเป็นพระ และที่สำคัญดันมาชอบตบศีรษะพระพรรษาเดียวกันเล่น ผมเป็นคน ๆ หนึ่งที่ไม่ชอบใครให้เล่นหัวสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะเคยบอกกล่าวแล้วแต่ก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ค่ำวันนั้นผมก็โดนตบหัวไปครั้งหนึ่งระหว่างเดินกลับจากสรงน้ำ เมื่อกลับถึงกุฏิผมก็สวดบททำวัตรเย็น ระหว่างสวดผมวอกแวกถามตัวเองตลอดว่าเพราะอะไรถึงเป็นอย่างนี้ ทั้งทีเราก็ให้เกียรติเขาตลอดถึงแม้ว่าจะอายุน้อยกว่าก็ตาม หรือเพราะว่าเขาอายุยังน้อยนิสัยจึงยังไม่เป็นผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ หรือเป็นเพราะเราทำเวรกรรมอะไรเอาไว้