ถ้าเจอเพื่อนแบบนี้..ควรทำยังไง หรือว่าเราเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยไปเอง

เราคบเพื่อนกลุ่มนึง 4-5คน ในที่ทำงาน เจอกันทุกวัน แต่ก่อนไปกินข้าวด้วยกันทุกวัน ไปไหนก็ชวนเพื่อนๆไป เราเป็นคนชอบเที่ยว สนุกสนานและขี้เกรงใจ ค่อนข้างใจใหญ่ รวมไปถึงใจร้อน นึกอยากไปไหนก็ไป ชวนกันไปซึ่งแน่นอน มีเราคนเดียวที่มีรถ เราขับรถพาไปทุกครั้ง ซึ่งเรารู้ตัวว่าเราต้องขับกลับก็จะไม่ค่อยดื่ม เราจ่ายทุกครั้งที่ไปกัน ครั้งๆนึงขั้นต่ำก็สามพันมากสุดก็หกพันไม่รวมค่าน้ำมัน   นานๆครั้งจะมีควักสมทบทุนนั่นก็ประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์ที่เราจ่าย แม้กระทั่งกินข้าวกลางวัน เย็น กินส้มตำ กินอาหาร ตามร้านต่างๆ แรกๆเราไม่ได้สังเกตอะไรนะ คือพอบิลมาเราก็ควักจ่าย เห็นบิลมาสี่ห้าหกร้อย ก็ไม่เป็นไร บางทีก็พันต้นๆ เราก็จ่ายตลอด แฟนเรามาเที่ยวหาก็แฟนเราจ่ายเพราะตัวแฟนเราก็เกรงใจเพราะว่าเขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่ไปกินไปเที่ยวในกลุ่มผู้หญิง  บางทีแฟนเราหายไปนานๆ ก็จะถูกถามว่าแฟนจะมาเมื่อไหร่จะเลี้ยงคืนบ้างแต่แฟนเรามาทีไรก็จ่ายคนเดียวทุกที บางทีเราอยากหาคนไปเที่ยวเป็นเพื่อนเราก็เลยชวนเพื่อนอีกคนหรือสองคนไปด้วย แต่เขาก็ชวนคนอื่นต่อๆกันไปเพิ่มอีกนะ พอถึงคราวจ่ายนี่บางทีมีคนที่เป็นคนนอกกลุ่ม เขาเอ่ยถามว่าหารเท่าไหร่เขาจะช่วยจ่าย ไอ้เพื่อนอีกคนก็จะหน้าใหญ่แทนเราว่าไม่ต้องๆ ชิวๆ ไม่มีปัญหา ตอนนั้นก็ดันไม่ได้คิดอะไรอีกประจวบเหมาะที่ช่วงนั้นเราเศรษฐกิจดี มีรายได้ค่อนข้างเยอะ เลยชิวๆ เป็นแบบนั้นประจำมาสองสามปี  จนมาปีที่แล้วเราซื้อบ้าน ซึ่งเราก็ต้องเริ่มเซฟตัวเอง อีกอย่างรายได้พิเศษจากกิจการที่เคยมีเข้ามาก็ลดลงเป็นเพราะเราเอาเงินทุนธุรกิจที่หมุนไปดาวน์บ้านหมด รายได้ลดรายจ่ายเพิ่มเราก็ลดการเที่ยวลงจากถี่ค่อยๆห่าง และแทบไม่ไปเลย ใจเราก็อยากไปนะรอว่าจะมีใครชวนแล้วแบบเลี้ยงเราบ้างไหม แต่เคยลองไปแล้วเราก็จ่ายเหมือนเดิม การกินข้าวก็เหมือนกันหลังๆเราไม่รับบิลมาจ่ายเอง พวกเพื่อนๆก็จะเกี่ยงกันหรือไม่ก็หารเท่ากัน ซึ่งเราเองก็ยังคิดไม่ได้หรอก คิดแต่ว่าตัวเองต้องประหยัดขึ้นอย่างอื่นไม่คิดอะไร พอหลังๆมามันมีเหตุการณ์อะไรหลายๆอย่างให้เรารู้สึกแบบว่าไม่ดีกับเพื่อนกลุ่มนี้เลย หรือเราคิดไปเองไม่รู้นะ อย่างเช่น เคยไปกินหมูกระทะ สมัยเรามีเงินเราก็จ่ายตลอด แต่ตอนนี้เราไม่มีเราก็ยอมหารก็ได้ไม่อยากเอาเปรียบแต่ก็แอบคิดในใจนะว่าจะมีใครเอ่ยแบบว่าไม่ต้องให้เราหารสักมื้อ เพราะเราเลี้ยงมามากแล้ว แต่ก็ไม่มี หารเท่ากัน ครั้งนึงเงินเราขาดไปห้าสิบบาท เพราะเราไม่ได้พกกระเป๋าตังค์ไปคือเราเริ่มใช้เงินจำกัดต่อวันด้วยเลยกดใช้วันต่อวัน  เราก็เอ่ยปากยืมเพื่อนในกลุ่มให้ออกไปก่อนเดี๋ยวแวะกดให้ แต่เพื่อนแต่ละคนอิดออดมาก เราก็เริ่มคิดในใจแล้วนะเงินแค่ห้าสิบ ไม่มีใครเอ่ยว่าขาดแค่ห้าสิบบาทช่างมัน  หรือไม่ก็ควักให้เรายืมเลยเหรอวะ จนเราต้องเอ่ยชื่อยืมเฉพาะเจาะจงเขาถึงให้ เราก็แวะกดคืนนะ  พอมาหลังๆรู้ว่าเราไม่หน้าใหญ่จ่ายก็เริ่มชวนไปกินอาหารจานเดียวแล้วก็ออกใครออกมัน ถึงคราวจ่ายก็ควักกระเป๋าตังค์เหรียญออกมาอวดว่าเอาแต่ตังค์เหรียญมาเรารำคาญก็จ่ายๆไปแทน คุยกันแบบเฮฮาติดตลก แต่มันบ่อยเกินเราก็ไม่ค่อยตลกด้วย จนเราก็เริ่มถอยไม่ไหว พวกเขาก็ค่อยๆห่างพักเที่ยงหรือตอนเย็นก็ไม่เคยชวนเราออกไปกินที่ไหน  จากที่เคยมาเอ่ยชวนเราไปทุกมื้อทุกวัน  เราก็ปล่อยๆไม่คิดอะไรมากมาย ครั้งนึงเราจะไปธุระกับน้องคนนึง จริงๆเราตั้งใจจะไปทำธุระเสร็จแล้วแวะไปกินสเต๊กกันนั่นแหละเพื่อนๆกลุ่มนี้ก็ขอไปด้วยลากกันไปอีกสองสามคน เขาบอกว่าเขาอยากจะไปเลี้ยงแสดงความยินดีน้องคนนี้เรื่องอะไรเราก็จำไม่ได้ ไปถึงพอกินเสร็จเช็คบิลหกร้อยบาท เพื่อนคนนึงที่บอกว่าจะเลี้ยงน้องคนนี้ก็ควักจ่ายแล้วหยิบเครื่องคิดเลขมาหาร บอกว่าเลี้ยงน้องผู้ชายคนเดียว ไอ้เราก็คิดในใจ คือสมัยเรามีตังค์เงินหกร้อยนี่เราจ่ายไปประจำจิ๊บๆมาก แทบจะทุกมื้อที่จ่าย บอกตรงๆ ณ วันนี้ถึงเราจะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี เป็นเราถ้าตั้งใจจะเลี้ยงใครคนนึง ไหนๆก็มาด้วยกันแล้ว ไม่ได้มาบ่อยหกร้อยนี่ก็จ่ายๆไปเหอะ เลี้ยงทุกๆคนไป   แล้วก็มีอีกวันเกิดลูกชายเราซึ่งทุกปีไม่ว่าจะวันเกิดเราหรือลูกเรา ก็จะไปเลี้ยงที่ร้านอาหารเจตนาเราก็อยากพาแม่เราไปกินอาหาร อวยพรวันเกิดให้นั่นแหละ แต่ก็จะเพื่อนกลุ่มนี้ชวนต่อๆกันมา ตอนนั้นมีตังค์ไงก็โอเคอยู่ แต่ปีนี้ต้องประหยัดเราก็กะไม่ไปไหน เดี๋ยวให้ลูกเป่าเค้กที่บ้าน  เพื่อนคนนี้สายบิวท์ก็บิวท์หลานเร้าหรือคะยั้นคะยอ  ชวนคนอื่นๆรอ  คือเราก็อุตส่าห์เฉยๆ ไม่ไปไง สุดท้ายเกรงใจคนอื่นที่ถูกชวนก็เลยไป  เลยคำนวณแล้วไปร้านที่ถูกที่สุด หมดไปพันกว่าบาท แล้วทำให้เรารู้สึกเฟลสงสารลูกมากคือ  ไม่มีใครให้ของขวัญเขาเลย  ลูกเราผิดหวังมาก คือเราเป็นแม่เรารู้ไง เราสงสารลูกเรามาก ใจเราไม่อยากได้ของขวัญหรอกแต่สงสารเด็ก คือวันพิเศษเขาเขาก็อยากแกะของขวัญ แต่เขาไม่อยากได้ของมีค่าอะไรหรอก สรุปกินเสร็จแยกย้ายกันกลับ ลูกเราเงียบมาตลอดทาง  ถึงบ้านนอนคลุมโปงแอบร้องไห้ คือถ้าไม่ไปพูดไปเร้าหรือให้เขาคิดว่าเป็นวันพิเศษสำหรับเขา  เขาก็ไม่คาดหวังมาก เราทนไม่ได้ขับรถไปห้าทุ่มกว่าเข้าเมืองไปกลับแปดสิบโล ไปซื้อของขวัญมาเซอร์ไพรส์ลูก เพื่อให้ลูกไม่เสียใจ #มนุษย์แม่ ... ต่อมาเราก็ค่อยๆตีตัวออกห่างๆ  หรือเขาตีตัวออกไปเองก็ไม่รู้ 555 ใครชวนไปไหนก็ไม่ไปเพราะไปทีไรเราจ่ายตลอด  เวลาแฟนเรามาหาเราก็ไม่ให้พวกเพื่อนๆรู้  คือถ้ารู้ก็จะมาหาที่บ้านชวนออกไปไง แฟนเราเขาไม่รู้เรื่องอะไรก็จ่ายๆตลอด  เราก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟังด้วย .....  ก่อนหน้านี้แค่แอบนอยด์เป็นพักๆ เป็นครั้งๆแต่ละเหตุการณ์ไป ไม่คิดอะไรโยงเป็นเรื่องเป็นราวได้อย่างที่เล่าตอนนี้หรอก แล้วก็สาบานได้ว่าตอนมีเงินเลี้ยงเขา หรือเที่ยว อะไรก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรคือเลี้ยงก็เลี้ยงจ่ายก็จ่าย อาจเป็นตอนนั้นเงินหาง่ายด้วยมั้ง พอจับต้นชนความได้ คือ วันนึงไปนั่งกินข้าวคนเดียวที่โรงอาหารแล้วมีน้องที่ทำงานคนนึงมานั่งกินด้วยแล้วเขาเดินไปซื้อชามากิน แล้วเขาก็ถามเราว่าเอาชาไหม เราก็บอกว่าไม่เอาหรอกไม่มีตังค์ไม่ได้เอาตังค์มา คือ ณ เวลานั้นเราไม่ได้พกกระเป๋าตังค์มาจากโต๊ะทำงานไง ตั้งใจจะเดินมาซื้อผลไม้ เขาไม่มาขายเลยแวะกินข้าวไปเลย ขี้เกียจมาอีกรอบ  น้องคนนั้นเขาซื้อน้ำมาเผื่อเราแก้วนึง บอกไม่เป็นไร  เลี้ยงน้ำพี่  #เชื่อมั้ย  เพราะน้ำแก้วนั้น ทำเอาเหตุการณ์ต่างๆพรั่งพรูมาประมวลในสมองตามที่เล่าหมดเลย  วันก่อนๆเราก็เคยมานั่งกินข้าวกับเพื่อนกลุ่มนี้ที่โรงอาหาร เขาซื้อน้ำมากัน  มีเราคนเดียวไม่ได้ไปซื้อแต่ก็ไม่มีใครซื้อมาเผื่อ  คนที่เราเคยเลี้ยงเขาหมดเป็นหมื่นเป็นแสน พอวันนี้เราไม่ได้เลี้ยงเขา ไม่ชวนเขาเฮฮาที่ไหนด้วยเพราะเหตุผลที่เราต้องประหยัดเงิน  เขากลับไม่เคยมีน้ำใจกับเราเลย  แม้กระทั่งน้ำแก้วแค่ยี่สิบบาท ... แล้วก็เพราะน้ำแก้วเดียวของน้องคนนั้นแหละ ทำให้เราคิดวนเวียน คิดซ้ำๆกับคนพวกนี้ จนหน้าเราก็ไม่อยากจะมองพวกเขา ไม่อยากคุย  ไม่อยากสุงสิง ทำแต่งาน เย็นมารีบกลับบ้าน ปิดบ้านเงียบ  บางทีเราก็สับสนนะ  ว่าเราคิดมาก คิดเล็กคิดน้อยไปหรือเปล่า  .... อย่าด่าเรานะ  เราแค่ระบาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่