วิธีทำ ปะนีส(เต้าหู้นม)
เพราะผมเกิดมาเป็นศิลปินหัวใจสีชมพู ผมจึงยังต้องขลุกอยู่แต่กับการพูดการเขียน ถึงเรื่องอาหารที่ดีที่สุดของมนุษย์ผู้เจริญ แถมยังสะกิจเกาศิลปินศิลปะศาสนา การเมืองแทนยุง มาตามรายทางอีกต่างหาก แต่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ทิศทางของโลกทุกวันนี้ ก็มีแต่กลิ่นเน่ากับกลิ่นคาวเป็นใหญ่ทั้งสิ้น
จิตใจคนที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า คือที่มาของกิเลสมารฉันใด ร่างกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาว ของกากกองซากศพสัตว์ (กระเพาะป่าช้า)อันโอชะ ก็ย่อมเป็นที่กินที่อยู่ของมะเร็งโรคร้ายนาๆฉันนั้น มนุษย์จึงไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ แต่ที่กินอยู่ได้ก็เพราะสัญญาติดกลิ่นลิ้นติดรส หลุดลุ่ยลืมบาปจนยอมเอาทั้งชีวิตไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ทั้งกับกิเลสและโรคร้ายอันหนาหนักเหมือนคนมืดบอดก็ไม่ปาน ที่ไม่มีความคิดว่าการแย่งกินศพมานั้นน่าละอาย หรือเกรงใจเสือแม้แต่น้อย
การกินเนื้อสัตว์กระทั่งติดรสเหม็นคาวมาเป็นอาหาร จนอัตโนมัติไหลลื่นตามพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์กันมาช้านาน อย่างไม่น่าจะเลอะกันไปถึงขนาดนั้น เท่านั้นยังไม่พอมนุษย์ก็ยังฉกฉวยโอกาสมาซ้ำเติมกันอีก ทั้งด้วยการชี้แนะและวิธีหากินแบบคนหาผลประโยชน์มาใส่ตน จนผมมองไปทางไหนก็มืด ห รือว่าโลกมนุษย์นี้มีแต่ความมืด ผมจึงไม่เห็นใครจะพึ่งพา นอกจากจะแก้ขวยให้จบกันไปเป็นวันๆ ด้วยอาหารมังสวิรัติขนานแท้ จากเมืองภารตะ ประเทศมังสวิรัติของลูกหลานพระตถาคต ว่าวันนี้เราจะทำปะนีสหรือที่แปลเป็นไทยว่าเต้าหู้นมมากินกันนั้นอย่างไร
วิธีทำ
๑ ต้มนมจืดสดร้อยเปอร์เซ็นต์จนเดือดสักสองสามนาที ๒ ให้หยดน้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาวอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป คนไปเรื่อยๆ กระทั่งน้ำนมเปลี่ยนสี จับตัวแยกน้ำแยกเนื้อจับตัวลอยเป็นก้อนๆ ๓ แล้วจึงปิดไฟ เทนมใส่ผ้าขาวบางห่อ แล้วรวบชายผ้ามาบิดน้ำออกก่อนวางกระดานกับครกหินทับสิบนาที ๔เมื่อเห็นว่าแห้งดีแล้วให้แก้ผ้าออก หั่นเป็นชิ้นๆแกงปะนีส หรือจะทอดแกงทอดกินทอดเก็บสารพัดได้ตามใจชอบ หรือจะขยำทำแบบไข่ผัดออมเล็ทโรยพริกแดงป่นสับต้นหอมผักชี คลุกข้าวร้อนๆเปิบอร่อยอย่าบอกใคร
หมายเหตุ ใช้เครื่องเทศปรุงอาหารทำให้ร่างกายอบอุ่น กินแล้วมือไม่เย็นเท้าไม่ชาหน้าไม่ซีด แต่เลือดลมจะไหลเวียน สมองฉับไวหัวใจแข็งแรงม้ามไม่บวมสร้างโลหิตแดงได้ดี
ปะนีส (เต้าหู้นม) ทำอย่างไร...?
เพราะผมเกิดมาเป็นศิลปินหัวใจสีชมพู ผมจึงยังต้องขลุกอยู่แต่กับการพูดการเขียน ถึงเรื่องอาหารที่ดีที่สุดของมนุษย์ผู้เจริญ แถมยังสะกิจเกาศิลปินศิลปะศาสนา การเมืองแทนยุง มาตามรายทางอีกต่างหาก แต่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ทิศทางของโลกทุกวันนี้ ก็มีแต่กลิ่นเน่ากับกลิ่นคาวเป็นใหญ่ทั้งสิ้น
จิตใจคนที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า คือที่มาของกิเลสมารฉันใด ร่างกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาว ของกากกองซากศพสัตว์ (กระเพาะป่าช้า)อันโอชะ ก็ย่อมเป็นที่กินที่อยู่ของมะเร็งโรคร้ายนาๆฉันนั้น มนุษย์จึงไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ แต่ที่กินอยู่ได้ก็เพราะสัญญาติดกลิ่นลิ้นติดรส หลุดลุ่ยลืมบาปจนยอมเอาทั้งชีวิตไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ทั้งกับกิเลสและโรคร้ายอันหนาหนักเหมือนคนมืดบอดก็ไม่ปาน ที่ไม่มีความคิดว่าการแย่งกินศพมานั้นน่าละอาย หรือเกรงใจเสือแม้แต่น้อย
การกินเนื้อสัตว์กระทั่งติดรสเหม็นคาวมาเป็นอาหาร จนอัตโนมัติไหลลื่นตามพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์กันมาช้านาน อย่างไม่น่าจะเลอะกันไปถึงขนาดนั้น เท่านั้นยังไม่พอมนุษย์ก็ยังฉกฉวยโอกาสมาซ้ำเติมกันอีก ทั้งด้วยการชี้แนะและวิธีหากินแบบคนหาผลประโยชน์มาใส่ตน จนผมมองไปทางไหนก็มืด ห รือว่าโลกมนุษย์นี้มีแต่ความมืด ผมจึงไม่เห็นใครจะพึ่งพา นอกจากจะแก้ขวยให้จบกันไปเป็นวันๆ ด้วยอาหารมังสวิรัติขนานแท้ จากเมืองภารตะ ประเทศมังสวิรัติของลูกหลานพระตถาคต ว่าวันนี้เราจะทำปะนีสหรือที่แปลเป็นไทยว่าเต้าหู้นมมากินกันนั้นอย่างไร
วิธีทำ
๑ ต้มนมจืดสดร้อยเปอร์เซ็นต์จนเดือดสักสองสามนาที ๒ ให้หยดน้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาวอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป คนไปเรื่อยๆ กระทั่งน้ำนมเปลี่ยนสี จับตัวแยกน้ำแยกเนื้อจับตัวลอยเป็นก้อนๆ ๓ แล้วจึงปิดไฟ เทนมใส่ผ้าขาวบางห่อ แล้วรวบชายผ้ามาบิดน้ำออกก่อนวางกระดานกับครกหินทับสิบนาที ๔เมื่อเห็นว่าแห้งดีแล้วให้แก้ผ้าออก หั่นเป็นชิ้นๆแกงปะนีส หรือจะทอดแกงทอดกินทอดเก็บสารพัดได้ตามใจชอบ หรือจะขยำทำแบบไข่ผัดออมเล็ทโรยพริกแดงป่นสับต้นหอมผักชี คลุกข้าวร้อนๆเปิบอร่อยอย่าบอกใคร
หมายเหตุ ใช้เครื่องเทศปรุงอาหารทำให้ร่างกายอบอุ่น กินแล้วมือไม่เย็นเท้าไม่ชาหน้าไม่ซีด แต่เลือดลมจะไหลเวียน สมองฉับไวหัวใจแข็งแรงม้ามไม่บวมสร้างโลหิตแดงได้ดี