ตะลึง!!! Programmer เป็นเพียงอาชีพใช้แรงงานโหลๆ เท่านั้น!!! ไม่ต่างกับกรรมกรที่หัดใช้เครื่องมือไฮเทคได้!!!
จาก thaigamasutra.com
จากที่เราได้เกริ่น และเขียนแผนภาพเกี่ยวกับ value chain ในครั้งที่แล้ว
สิ่ง หนึ่งที่ผมจะชี้ให้เห็นครับ คือ programming ถูกระบุว่าอยู่ในส่วนที่เป็น labor-intensive task หรือแปลเป็นไทยคือ งานที่เน้น "แรงงานมากกว่าสมอง" และในขณะเดียวกัน งานที่เป็น knowledge-oriented จะเป็นพวกทางด้าน พวกวาดรูป แต่งเรื่อง
ผมคิดว่าหลายคน จะต้องเกิดอาการ ทำใจไม่ถูก รู้สึกขัดแย้ง
การเขียนโปรแกรม กว่าจะทำได้ต้องใช้ความรู้เยอะแยะ อ่านหนังสือมากมาย
ส่วนวาดรูป แต่งเรื่อง แค่มีกระดาษกับดินสอ ไม่มีเห็นมีอะไรมาก low tech มากๆเลย ทำได้ตั้งแต่เกิดแล้ว
แล้วทำไม programming ถึงเป็นงาน แรงงาน ส่วน วาดรูป แต่งเรื่อง เป็นงานใช้สมอง
ก่อนอื่นผมให้เวลานั่งคิดก่อน สำหรับคนที่มีประสบการณ์เป็น programmer หรือเป็นอยู่
ผมถามว่า programming เป็น งานแรงงาน จริงหรือไม่?
ลองนั่งคิดดีๆ
ผมมีโอกาสได้ทำงานประสานงานกับ programmer พอสมควร ผมเห็นชีวิตการทำงานของพวกเขา
งานของเขาคือ นั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเดือนๆ เพื่อทำโปรแกรม ตามคำสั่ง spec ที่ได้กำหนดไว้
ต้องทำงานหนักและใช้เวลามาก
บางทีงานเร่งๆ ก็จะต้องอยู่ดึก บางทีไม่ได้กลับบ้าน และเครียดมาก
หลายครั้งเขาจะพร่ำบ่น และเรียกตัวเองว่า "กรรมกรไฮเทค"
หรือจะเอาแบบให้ตอกย้ำแบบเป็นทางการเลยก็คือ ให้ไปมองที่เวลาเราคุยธุรกิจกันเรื่องการจ้างงานในส่วนของ programming
หน่วยที่เขานับคือ "man hour" หรือ หน่วยการใช้แรงงานคนเทียบเป็น ชม.
อย่างเช่น คนญี่ปุ่นพูดว่า มีงาน programmer เป็น *หมื่นๆ* (จะเห็นว่ามหาศาล) man hour อยากจะหาคนมารับจ้างทำ
นับเป็น ชม. เลยนะเนี่ย เราจะเห็นว่าเน้นจำนวนเข้าว่า ไม่ได้พูดเรื่อง การ "ใช้ความคิด" เลย
แล้ว การที่ programmer ต้องอ่านหนังสือเยอะ แถมเป็นเรื่องยากๆ ที่มนุษย์ธรรมดาน้อยคนที่จะเข้าใจด้วย เราจะอธิบายอย่างไร เกี่ยวกับการเป็น labor-intensive task
ถ้าให้อุปมา ผมว่ามันคล้ายกับ แรงงานที่หัดใช้ "อุปกรณ์/เครื่องมือ" ขั้นสูง
เหมือน คนงานก่อสร้าง ที่บางคนแบกของอย่างได้อย่างเดียว บางคนมีทักษะเพิ่มขึ้น เช่น ขับรถได้ หรือใช้จอบใช้เสียมเป็น หรือใช้กล้องเป็น
เมื่อใช้เป็น ก็จบ ไปทำงาน *ตามคำสั่ง* ที่สั่งไว้
สิ่งนึงที่ให้สังเกตคือ คนคนนึงใช้เครื่องมือเป็นแล้ว ทุกคนที่ใช้เป็นก็จะเหมือนกันหมด
เช่น คนที่เขียนภาษา C++ ก็คือคนที่เขียนภาษา C++ เป็น ทุกคนก็จะเหมือนกันหมด ตำราก็เล่มเดียวกันหมด ไม่มีอะไรแตกต่าง ขอเพียงอ่านหนังสือแล้วทำตาม (อย่างมาก ก็แบ่งเป็น หลายระดับ เช่น junior ยังออกแบบไม่เป็น กับ senior ที่เริ่มออกแบบเป็น แต่ก็เท่านั้น แบ่งเป็นระดับชั้น แล้วแต่ละระดับชั้น ก็เหมือนกันหมด) เพราะโดยปรัชญามันก็ไม่ได้คิดจะให้ต่างอยู่แล้ว การที่ทุกคนเหมือนกันหมดเป็น "มาตรฐาน" มันเป็นปรัชญาของวิศวกรรมเลย เพื่อจะได้ถอดเปลี่ยนชิ้นง่าย สร้างชิ้นส่วนใหม่มาทดแทนได้ตลอด เป็นระบบ ไม่ยึดติดกับตัวบุคคล
career path ของ programmer นั้น มีตำราแน่นอนให้ทำตาม แค่เพียงก้มหน้าก้มตาฝึกฝน ตามตำราไปเรื่อยๆ ทำงานตามคำสั่ง ก็จะค่อยๆไต่ตาม career path ไป เป็นแรงงานฝีมือ ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่ง ถ้าเราไปเทียบกับชีวิตของ artist จะยิ่งพบความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ไม่มีตำราเล่มไหนบอกว่าจะไปถึงปลายยอดได้อย่างไร ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคง ความกลัวและความสิ้นหวังกับอนาคตมากมาย มีคนยอดภูเขาจำนวนไม่มากที่สามารถไต่ถึงความสำเร็จ (ไว้จะเขียนถึงวันหลังครับ)
ในทางเศรษฐศาสตร์ เราสามารถมองแรงงาน programmer เป็นสิ่งที่เรียกว่า "commodity"
ผม ไม่ค่อยอยากใช้คำไทย ที่แปลคำนี้ว่า "โภคภัณฑ์" เท่าไหร่ เพราะดูมันทำให้สูญเสียความหมายไป มันทำให้เรานึกถึงแค่พวกของกิน อย่าง ผัก ผลไม้ เนื้อหมู หรือข้าว ไป
ถ้าเราใช้คำทับศัพท์ เราจะได้เห็นว่า commodity มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า "common" หรือแปลไทยคือ "เหมือนกัน" หรือเอาให้ตรงประเด็นกับของเราในที่นี้คือ "โหลๆ เหมือนๆกันหมด"
ทีนี้ เรากล่าวถึงคำว่า commodity ขึ้นมาทำไม? ก็ให้มองงี้ครับ
commodity มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ "ซื้อที่ไหน ก็เหมือนกัน ซื้อที่ไหน ก็ได้" อย่างเช่น ทองแท่ง จะซื้อที่ไหนก็เป็นทองแท่ง ไม่ได้ต่างกัน
ทีนี้คือ ถ้ามีคนขายทองแท่ง 2 ที่ ในราคาที่ต่างกัน เราจะซื้อเจ้าไหน? เราก็เลือกเจ้าที่ขายถูกกว่า เพราะว่ามันทองแท่งเหมือนกัน จะไปซื้อแพงกว่าทำไม
สิ่งที่เห็นคือ สำหรับ commodity แล้วคนจะสนใจแต่ "ราคา" กับ "จำนวน" เท่านั้น
หลักการนี้ นำมาสู่การเรื่องของการ "offshoring" หรือ การที่แทนที่จะทำเองในประเทศตัวเอง ก็ไปจ้างคนประเทศอื่นทำ
เช่น ที่อเมริกา หรือญี่ปุ่น ชอบมา offshoring งาน ในส่วนที่เป็น commodity ใครๆก็ทำได้ ใครๆก็ทำเป็น มาทำในประเทศที่ค่าครองชีพ ค่าแรงถูกกว่าประเทศตัวเองหลายเท่า เช่น ไทย จีน อินเดีย เวียตนาม
ก็งานพวกนี้ ทำที่ไหนมันก็เหมือนๆกัน (commodity) จะจ่ายแพงทำไม ถ้าเอาแบบที่ถูกๆได้ ก็ขอแบบถูกๆดีกว่า
ก็ไว้จะเขียนเกี่ยวกับเรื่อง offshore และ outsource มากกว่านี้วันหลังครับ
วันนี้ผมเขียนชักจะยาวแล้ว ผมจะเริ่มปิดประเด็นและที่เหลือ (อีกเยอะ) ไว้เขียนเป็นหัวข้อย่อยวันหลังนะครับ
กลับมาที่คำถามว่า วาดรูป แต่งเรื่อง แค่มีกระดาษ กับดินสอ ใครๆก็ทำได้ มันจะยากอะไรนักหนา
เอ่อ . . . .
กระดาษ กับ ดินสอ มันเป็นเพียงแค่รูปแบบภายนอก แต่ภายในการจะเขียนให้ได้ดีๆ มีเพดานของระดับฝีมือที่สูงมาก
ให้เราลองมองถึง สิ่งที่เรียกว่า รางวัล SEA Write หรือการประกวดเรื่องสั้นต่างๆ
ถ้าแค่มีกระดาษกับดินสอแล้วใครๆก็เขียนได้เหมือนกัน แล้วทำไมถึงมีรางวัลซึ่งดูยิ่งใหญ่เหลือเกินเหล่านี้?
ผม ว่าคล้ายๆเกมหมากล้อม มีคนบอกว่า การเรียนรู้กฎให้เล่นได้ ใช้เวลาแค่ 5 นาที ด้วยกฎที่เรียบง่าย แต่การที่จะเล่นให้เก่ง ใช้เวลาทั้งชีวิต
ก็ไว้จะเขียนเรื่อง "แค่มีกระดาษกับดินสอ . . ." นี้ ในวันหลัง ครับ
ทีนี้กลับมาที่ สายงาน programmer
ผมไม่ได้ต้องการจะบอกว่า programmer เป็นสายงานที่ต่ำต้อย ไร้ค่า ไม่มีใครควรมาทำนะครับ
ตรง ข้าม ยังไงซะ programmer ก็เป็นส่วนที่จำเป็นมากๆส่วนหนึ่งของการทำเกม และไม่ได้ปฎิเสธความจริงที่ว่า การที่คนคนหนึ่งจะเป็น programmer ที่เก่งได้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และต้องเรียนรู้เรื่องยากๆมากมาย
programmer หรือวิศวกร เป็นสายงาน ของแรงงานเฉพาะ เรียกว่าระดับ "expert" หรือ "specialist" ไปในทางลึก ที่มีค่าตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับแรงงานสายอื่น เป็นการตอบแทนอยู่แล้ว มีเกียรติ ไม่ได้ต่ำต้อยแต่อย่างใด
เพียงแต่ผมให้เห็นมุมที่กว้างขึ้น
ว่า programming "สำคัญ" แต่ไม่ใช่ "ทั้งหมด"
เมื่อเราเห็นดังนั้นแล้ว จะทำให้เราเข้าใจ และสามารถหาทางจัดการอย่างถูกต้องมากขึ้น
และ ตอบคำถามที่บางคนอาจจะสงสัยตัวเองได้ว่า ทำไมท่องจำคำสั่งภาษานั้นภาษานี้ OpenGL ยากๆ มากมายได้หมด แต่ทำไมถึงยังไม่ได้เกมที่ดี ยิ่งสับสน ก็ยิ่งพยายามแก้ปัญหาโดยการท่องจำให้มากขึ้น แล้วก็ยิ่งหาคำตอบไม่เจอ
นั่นเพราะว่ายังมีด้านอื่นอีกเยอะที่เราอาจจะยังไม่ได้มอง
ถ้าเราพบว่า ตัวเรายังไม่มีด้านนั้น
เราอาจจะจัดการ โดยการอาจจะ
- ฝึกเองเพิ่มเติม
- หรือหาเพื่อนด้านนั้น
- หรือหาพันธมิตร
ช่องว่าง ไม่ได้มีไว้ให้ถอย
แต่มีไว้ให้เติมให้เต็ม
http://forums.thaigamedevx.com/index.php?topic=3656.0
อาชีพโปรแกรมเมอร์ เป็นเพียงอาชีพใช้แรงงานโหลๆ เท่านั้น!!! ไม่ต่างกับกรรมกรที่หัดใช้เครื่องมือไฮเทคได้
จาก thaigamasutra.com
จากที่เราได้เกริ่น และเขียนแผนภาพเกี่ยวกับ value chain ในครั้งที่แล้ว
สิ่ง หนึ่งที่ผมจะชี้ให้เห็นครับ คือ programming ถูกระบุว่าอยู่ในส่วนที่เป็น labor-intensive task หรือแปลเป็นไทยคือ งานที่เน้น "แรงงานมากกว่าสมอง" และในขณะเดียวกัน งานที่เป็น knowledge-oriented จะเป็นพวกทางด้าน พวกวาดรูป แต่งเรื่อง
ผมคิดว่าหลายคน จะต้องเกิดอาการ ทำใจไม่ถูก รู้สึกขัดแย้ง
การเขียนโปรแกรม กว่าจะทำได้ต้องใช้ความรู้เยอะแยะ อ่านหนังสือมากมาย
ส่วนวาดรูป แต่งเรื่อง แค่มีกระดาษกับดินสอ ไม่มีเห็นมีอะไรมาก low tech มากๆเลย ทำได้ตั้งแต่เกิดแล้ว
แล้วทำไม programming ถึงเป็นงาน แรงงาน ส่วน วาดรูป แต่งเรื่อง เป็นงานใช้สมอง
ก่อนอื่นผมให้เวลานั่งคิดก่อน สำหรับคนที่มีประสบการณ์เป็น programmer หรือเป็นอยู่
ผมถามว่า programming เป็น งานแรงงาน จริงหรือไม่?
ลองนั่งคิดดีๆ
ผมมีโอกาสได้ทำงานประสานงานกับ programmer พอสมควร ผมเห็นชีวิตการทำงานของพวกเขา
งานของเขาคือ นั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเดือนๆ เพื่อทำโปรแกรม ตามคำสั่ง spec ที่ได้กำหนดไว้
ต้องทำงานหนักและใช้เวลามาก
บางทีงานเร่งๆ ก็จะต้องอยู่ดึก บางทีไม่ได้กลับบ้าน และเครียดมาก
หลายครั้งเขาจะพร่ำบ่น และเรียกตัวเองว่า "กรรมกรไฮเทค"
หรือจะเอาแบบให้ตอกย้ำแบบเป็นทางการเลยก็คือ ให้ไปมองที่เวลาเราคุยธุรกิจกันเรื่องการจ้างงานในส่วนของ programming
หน่วยที่เขานับคือ "man hour" หรือ หน่วยการใช้แรงงานคนเทียบเป็น ชม.
อย่างเช่น คนญี่ปุ่นพูดว่า มีงาน programmer เป็น *หมื่นๆ* (จะเห็นว่ามหาศาล) man hour อยากจะหาคนมารับจ้างทำ
นับเป็น ชม. เลยนะเนี่ย เราจะเห็นว่าเน้นจำนวนเข้าว่า ไม่ได้พูดเรื่อง การ "ใช้ความคิด" เลย
แล้ว การที่ programmer ต้องอ่านหนังสือเยอะ แถมเป็นเรื่องยากๆ ที่มนุษย์ธรรมดาน้อยคนที่จะเข้าใจด้วย เราจะอธิบายอย่างไร เกี่ยวกับการเป็น labor-intensive task
ถ้าให้อุปมา ผมว่ามันคล้ายกับ แรงงานที่หัดใช้ "อุปกรณ์/เครื่องมือ" ขั้นสูง
เหมือน คนงานก่อสร้าง ที่บางคนแบกของอย่างได้อย่างเดียว บางคนมีทักษะเพิ่มขึ้น เช่น ขับรถได้ หรือใช้จอบใช้เสียมเป็น หรือใช้กล้องเป็น
เมื่อใช้เป็น ก็จบ ไปทำงาน *ตามคำสั่ง* ที่สั่งไว้
สิ่งนึงที่ให้สังเกตคือ คนคนนึงใช้เครื่องมือเป็นแล้ว ทุกคนที่ใช้เป็นก็จะเหมือนกันหมด
เช่น คนที่เขียนภาษา C++ ก็คือคนที่เขียนภาษา C++ เป็น ทุกคนก็จะเหมือนกันหมด ตำราก็เล่มเดียวกันหมด ไม่มีอะไรแตกต่าง ขอเพียงอ่านหนังสือแล้วทำตาม (อย่างมาก ก็แบ่งเป็น หลายระดับ เช่น junior ยังออกแบบไม่เป็น กับ senior ที่เริ่มออกแบบเป็น แต่ก็เท่านั้น แบ่งเป็นระดับชั้น แล้วแต่ละระดับชั้น ก็เหมือนกันหมด) เพราะโดยปรัชญามันก็ไม่ได้คิดจะให้ต่างอยู่แล้ว การที่ทุกคนเหมือนกันหมดเป็น "มาตรฐาน" มันเป็นปรัชญาของวิศวกรรมเลย เพื่อจะได้ถอดเปลี่ยนชิ้นง่าย สร้างชิ้นส่วนใหม่มาทดแทนได้ตลอด เป็นระบบ ไม่ยึดติดกับตัวบุคคล
career path ของ programmer นั้น มีตำราแน่นอนให้ทำตาม แค่เพียงก้มหน้าก้มตาฝึกฝน ตามตำราไปเรื่อยๆ ทำงานตามคำสั่ง ก็จะค่อยๆไต่ตาม career path ไป เป็นแรงงานฝีมือ ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่ง ถ้าเราไปเทียบกับชีวิตของ artist จะยิ่งพบความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ไม่มีตำราเล่มไหนบอกว่าจะไปถึงปลายยอดได้อย่างไร ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคง ความกลัวและความสิ้นหวังกับอนาคตมากมาย มีคนยอดภูเขาจำนวนไม่มากที่สามารถไต่ถึงความสำเร็จ (ไว้จะเขียนถึงวันหลังครับ)
ในทางเศรษฐศาสตร์ เราสามารถมองแรงงาน programmer เป็นสิ่งที่เรียกว่า "commodity"
ผม ไม่ค่อยอยากใช้คำไทย ที่แปลคำนี้ว่า "โภคภัณฑ์" เท่าไหร่ เพราะดูมันทำให้สูญเสียความหมายไป มันทำให้เรานึกถึงแค่พวกของกิน อย่าง ผัก ผลไม้ เนื้อหมู หรือข้าว ไป
ถ้าเราใช้คำทับศัพท์ เราจะได้เห็นว่า commodity มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า "common" หรือแปลไทยคือ "เหมือนกัน" หรือเอาให้ตรงประเด็นกับของเราในที่นี้คือ "โหลๆ เหมือนๆกันหมด"
ทีนี้ เรากล่าวถึงคำว่า commodity ขึ้นมาทำไม? ก็ให้มองงี้ครับ
commodity มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ "ซื้อที่ไหน ก็เหมือนกัน ซื้อที่ไหน ก็ได้" อย่างเช่น ทองแท่ง จะซื้อที่ไหนก็เป็นทองแท่ง ไม่ได้ต่างกัน
ทีนี้คือ ถ้ามีคนขายทองแท่ง 2 ที่ ในราคาที่ต่างกัน เราจะซื้อเจ้าไหน? เราก็เลือกเจ้าที่ขายถูกกว่า เพราะว่ามันทองแท่งเหมือนกัน จะไปซื้อแพงกว่าทำไม
สิ่งที่เห็นคือ สำหรับ commodity แล้วคนจะสนใจแต่ "ราคา" กับ "จำนวน" เท่านั้น
หลักการนี้ นำมาสู่การเรื่องของการ "offshoring" หรือ การที่แทนที่จะทำเองในประเทศตัวเอง ก็ไปจ้างคนประเทศอื่นทำ
เช่น ที่อเมริกา หรือญี่ปุ่น ชอบมา offshoring งาน ในส่วนที่เป็น commodity ใครๆก็ทำได้ ใครๆก็ทำเป็น มาทำในประเทศที่ค่าครองชีพ ค่าแรงถูกกว่าประเทศตัวเองหลายเท่า เช่น ไทย จีน อินเดีย เวียตนาม
ก็งานพวกนี้ ทำที่ไหนมันก็เหมือนๆกัน (commodity) จะจ่ายแพงทำไม ถ้าเอาแบบที่ถูกๆได้ ก็ขอแบบถูกๆดีกว่า
ก็ไว้จะเขียนเกี่ยวกับเรื่อง offshore และ outsource มากกว่านี้วันหลังครับ
วันนี้ผมเขียนชักจะยาวแล้ว ผมจะเริ่มปิดประเด็นและที่เหลือ (อีกเยอะ) ไว้เขียนเป็นหัวข้อย่อยวันหลังนะครับ
กลับมาที่คำถามว่า วาดรูป แต่งเรื่อง แค่มีกระดาษ กับดินสอ ใครๆก็ทำได้ มันจะยากอะไรนักหนา
เอ่อ . . . .
กระดาษ กับ ดินสอ มันเป็นเพียงแค่รูปแบบภายนอก แต่ภายในการจะเขียนให้ได้ดีๆ มีเพดานของระดับฝีมือที่สูงมาก
ให้เราลองมองถึง สิ่งที่เรียกว่า รางวัล SEA Write หรือการประกวดเรื่องสั้นต่างๆ
ถ้าแค่มีกระดาษกับดินสอแล้วใครๆก็เขียนได้เหมือนกัน แล้วทำไมถึงมีรางวัลซึ่งดูยิ่งใหญ่เหลือเกินเหล่านี้?
ผม ว่าคล้ายๆเกมหมากล้อม มีคนบอกว่า การเรียนรู้กฎให้เล่นได้ ใช้เวลาแค่ 5 นาที ด้วยกฎที่เรียบง่าย แต่การที่จะเล่นให้เก่ง ใช้เวลาทั้งชีวิต
ก็ไว้จะเขียนเรื่อง "แค่มีกระดาษกับดินสอ . . ." นี้ ในวันหลัง ครับ
ทีนี้กลับมาที่ สายงาน programmer
ผมไม่ได้ต้องการจะบอกว่า programmer เป็นสายงานที่ต่ำต้อย ไร้ค่า ไม่มีใครควรมาทำนะครับ
ตรง ข้าม ยังไงซะ programmer ก็เป็นส่วนที่จำเป็นมากๆส่วนหนึ่งของการทำเกม และไม่ได้ปฎิเสธความจริงที่ว่า การที่คนคนหนึ่งจะเป็น programmer ที่เก่งได้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และต้องเรียนรู้เรื่องยากๆมากมาย
programmer หรือวิศวกร เป็นสายงาน ของแรงงานเฉพาะ เรียกว่าระดับ "expert" หรือ "specialist" ไปในทางลึก ที่มีค่าตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับแรงงานสายอื่น เป็นการตอบแทนอยู่แล้ว มีเกียรติ ไม่ได้ต่ำต้อยแต่อย่างใด
เพียงแต่ผมให้เห็นมุมที่กว้างขึ้น
ว่า programming "สำคัญ" แต่ไม่ใช่ "ทั้งหมด"
เมื่อเราเห็นดังนั้นแล้ว จะทำให้เราเข้าใจ และสามารถหาทางจัดการอย่างถูกต้องมากขึ้น
และ ตอบคำถามที่บางคนอาจจะสงสัยตัวเองได้ว่า ทำไมท่องจำคำสั่งภาษานั้นภาษานี้ OpenGL ยากๆ มากมายได้หมด แต่ทำไมถึงยังไม่ได้เกมที่ดี ยิ่งสับสน ก็ยิ่งพยายามแก้ปัญหาโดยการท่องจำให้มากขึ้น แล้วก็ยิ่งหาคำตอบไม่เจอ
นั่นเพราะว่ายังมีด้านอื่นอีกเยอะที่เราอาจจะยังไม่ได้มอง
ถ้าเราพบว่า ตัวเรายังไม่มีด้านนั้น
เราอาจจะจัดการ โดยการอาจจะ
- ฝึกเองเพิ่มเติม
- หรือหาเพื่อนด้านนั้น
- หรือหาพันธมิตร
ช่องว่าง ไม่ได้มีไว้ให้ถอย
แต่มีไว้ให้เติมให้เต็ม
http://forums.thaigamedevx.com/index.php?topic=3656.0