:: สวัสดีค่า รีวิวนี้ไม่ได้จะมาโชว์ประหยัดหรือว่าจะมาฝากเพจฝากไอจีอะไรทั้งนั้น เราแค่ไปเที่ยวปีนังมาเมื่อวันที่18-20 กันยาที่ผ่านมาค่ะ ก่อนจะไปเราก็ศึกษาข้อมูลจากในพันทิปค่อนข้างเยอะ(ไม่ใช่แค่ทริปนี้ หลายๆทริปก็สูบข้อมูลจากห้องบลูทั้งนั้นค่ะ) เราเลยอยากมารีวิวเพื่อเป็นข้อมูลให้คนอื่นๆบ้าง ประมาณว่าเก็บไว้เป็นคลังข้อมูลเยอะๆนั่นแหละค่ะ ถือเป็นการทดแทนบุญคุณที่สูบข้อมูลจากที่นี่ไปหลายครั้ง
รูปภาพและข้อมูลอาจจะไม่ได้ละเอียดมากนะคะ เพราะทีแรกไม่ได้ตั้งใจรีวิว พอกลับมาเห็นคนรอบตัวทำรีวิวกันหลายคนเลยเป็นแรงบันดาลใจประกอบกับอยากเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับปีนังที่เราไปเจอมาที่อาจจะเพิ่มเติมจากรีวิวอื่นๆค่ะ
:: มีช่วงนึงที่เราเห็นรีวิวปีนังจากพันทิปแบบรายวัน เลยอยากรู้ว่าเมืองนั้นจะมีอะไรดี ดูวนิดาก็มีสอบชิงทุนไปเรียนที่ปีนัง ดูหนึ่งในทรวงก็นำเสนอลูกสาวที่จบจากปีนังให้คุณหนึ่งได้เลือก ในรีวิวพันทิปทุกคนรีวิวไปในทางเดียวกันว่าเป็นเมืองฮิปสะเต้อ สโลล๊ายยยฟ์ฟ์ฟ์ แต่ในละครกลับนิยมส่งลูกหลานไปเรียนกันซะงั้น ตกลงเมืองนี้มันเป็นยังไงกันแน่
ตั้งใจจะไปกันน๊านนาน ไม่มีฤกษ์งงามยามดีซะที วันดีคืนร้ายก็ไปเจอโปรของเจ้าสิงโตน้อย กรุงเทพ-หาดใหญ่ ราคา595บาท อาจจะไม่ใช่ราคาที่ถูกนัก แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานในสถานที่ที่เปิด24ชั่วโมงและไม่มีวันหยุดอย่างเราเดินทางแต่ละทีก็ต้องกระทบวันยุดวันลาให้น้อยที่สุด จำเป็นจะต้องเป็นวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ได้ราคาเท่านี้ ถูกกว่ารถทัวร์เราก็โอเคแล้วค่ะ
ลางาน1วัน แลกเวรเสาร์อาทิตย์ออกแล้ว เก็บกระเป๋าแล้ว ก็เดินทางกันเลยค่ะ
ไฟลท์ดอนเมือง-หาดใหญ่ เช้าสุดได้เวลาที่ 7:55 น. ค่ะ ตามกำหนดการจะถึงหาดใหญ่9:15 น. ซึ่งบริษัทรถตู้ หาดใหญ่-ปีนังเนี่ย ทุกบริษัทเลยจะมีรอบแรกที่9โมงหรือ9โมงครึ่ง ถ้าพลาดรอบนี้ก็เป็นเที่ยงเลยค่ะ เพื่อเป็นการไม่อยากเสียเวลา เราเลยจองรถตู้รอบ9โมงครึ่ง แล้วนั่งแท็กซี่ไปเจอกับรถตู้กลางทางค่ะ ค่ารถถ้าจองแบบวันเวย์จะราคา400บาท ถ้าจองไป-กลับ 750บาทค่ะ ตอนจองเราสื่อสารกันผิดพลาดนิดหน่อย เลยเป็นการจองแบบวันเวย์ค่ะ

พอลงจากเครื่อง เงยหน้ามองนาฬิกา 9โมง20ค่ะ เราสองคนกับเพื่อนนี่วิ่งกันหูตูบไปขึ้นแท็กซี่ไปที่จุดที่นัดกับรถตู้ แต่ปรากฏว่ากว่ารถตู้จะมาก็นู่นนนน 10โมงกว่าแน่ะ
เอาน่า ดีกว่าตกรถละกันเนอะ
:: นั่งรถตู้ไปซักประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงด่านสะเดาค่ะ ก็ทำพิธีเข้าออกกันปกติ ถ้าจะแลกเงินที่นี่เลยก็ได้นะคะ คนขับรถตู้จะรอค่ะ แต่เราให้เพื่อนแลกมาจากซุปเปอร์ริชแล้ว ได้เรท8.45บาทต่อ1ริงกิตค่ะ
ตอนเข้าด่านมาเลแอบงงนิดนึง ตรงด่านเค้าจะใช้วิธีการแสกนนิ้วมือ ซึ่งบางช่องก็มี บางช่องก็ไม่มี เลยงงเหมือนกันว่าอะไรคือมาตรฐาน เราได้แสกน เพื่อนเราไม่ได้แสกน ก็เข้าออกได้ตามปกตินะคะ
:: จากตรงด่านนั่งรถมาซักประมาณสองชั่วโมงกว่าๆก็ข้ามสะพานยาวๆ พอถึงสะพานก็รู้เลยค่ะ ว่าถึงปีนังแล้ว ระหว่างข้ามสะพานนี่มองไม่เห็นอะไรเลยค่ะ หมอควันขาวโพลนเลย แหม่...ฮิปสเตอร์กันโดยไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์เลยทีเดียว
จากนั้นรถจะมาส่งเราที่โรงแรมค่ะ เราพักที่Supeer8 Hotel ไม่ได้จองมาด้วย วันแรกได้ห้องแบบเตียงเดี่ยว วันที่สองได้เตียงคู่ค่ะ

ไม่มีรูปสภาพห้องดีๆเลย เข้าห้องปุ๊บชะนีสองนางก็เหวี่ยงของกระจายเต็มห้องเลยค่ะ
ต้องคืนแรกเราได้ราคา117ริงกิต ห้องกว้างดีค่ะ มีเสากลางห้องด้วย กลางคืนดึกๆเอาไว้เต้นรูดเสา สนุกมากๆเลยค่ะ ....แฮ่ ล้อเล่น มีเสากลางห้องจริงๆแต่ไม่ได้เต้นค่ะ แต่ห้องไม่มีหน้าต่าง จะอับนิดๆ
คืนที่สองห้องตามรูปเลย ราคา107ริงกิต ห้องนี้แคบกว่าคืนแรกเยอะเลย แต่มีหน้าต่าง
ทั้งสองห้องจะมีแอร์ ทีวี ไวฟาย ไม่มีตู้เย็น แต่จะมีตู้กดน้ำร้อนน้ำเย็นตรงส่วนกลางให้(ชอบบบบบ ประหยัดค่าน้ำ ดี๊ดี)
ที่นี่จะใช้ปลั๊กสามขาแบบแบนๆ แต่เราไม่ได้ซื้อไป ก็ยืมที่โรงแรมเอาค่ะ
ไม่โอเคอย่างนึงคือไม่มีปลั๊กไฟหัวนอน คนมาเลย์เค้าไม่มีวัฒนธรรมการนอนบนเตียงชาร์จมือถือไปเล่นไปกันเหรอฟะ

เก็บของเสร็จ ชะนีสองคนหิวโหยอย่างแรง เลยออกไปหาอาหารกินกัน ไปสะดุดกับร้านนี้
เห็นภาษาไทยยังไงก็อุ่นใจเนอะ แม้จะเพิ่งออกนอกประเทศมาได้แค่สามสี่ชั่วโมงก็ตาม
ยืนจ้องๆมองๆ มีแก๊งคุณลุงในร้านกำลังนั่งจิบน้ำชายามบ่ายหันมาชูนิ้วโป้งใส่เรา1ที แล้วชี้ไปที่ร้านหมี่อะไรซักอย่าง แล้วทำหน้าอร่อยมาก เลยเข้าไปลองกิน

เหมือนภาพเดจาวูตอนไปสิงคโปรกลับมา ตอนนั้นก็เป็นร้านหมี่หน้าตาแบบนี้ มีคุณลุงหน้าจีนๆเหมือนกัน ชูนิ้วโป้งแล้วทำหน้าอร่อยเหมือนกัน ...และมันรสชาติเหมือนกันเลย คือไม่อร่อยอ่ะ
แง่ะ อาหารมื้อแรกไม่ประทับใจอย่างแรง

:: กินอาหารเสร็จก็เดินไปตึกkomtarเพื่อขึ้นรถเมล์ไปปีนังฮิลล์ค่ะ
ตึกคอมตาร์จะเป็นจุดที่รถเมล์ทุกสายจะต้องมาจอดที่ป้ายนี้ จะนั่งรถไปไหนก็มาขึ้นที่นี่เลย
(ความคิดเรานะคะ ถ้าพักโรงแรมใกล้ๆคอมตาร์ก็น่าจะสะดวกกับการเดินทาง โรงแรมที่เราพักห่างจากคอมตาร์ประมาณ5นาทีค่ะ)
รถเมล์ที่นี่ต้องเตรียมเงินให้พอดีนะคะ จะไม่มีทอน เรากับเพื่อนไม่มีเงินพอดีเลยต้องจ่ายเกินไป เสียดายอ่ะ

ปีนังฮิลล์เป็นภูเขาสูงๆ มีจุดชมวิว เสียค่ารถนั่งรถรางขึ้นไปคนละ30ริงกิต รถรางซิ่งมากกกกกก
เราว่าการต่อแถวขึ้นรถรางที่นี่มั่วมากอ่ะ คือเค้าไม่ต่อแถวกันอ่ะ แบบถ้าบ้านเราคนที่เข้าคิวก็ต้องมายืนต่อแถวใช่ป่ะ ถ้าออกจากแถวไปนั่งคือสละสิทธิ์ใช่มะ แต่ที่นี่ไม่จ้า คือเค้ามาก่อน เค้าไปนั่ง พอรถมาเค้ามาแซงเราไปเลยอ่ะ แล้วมามองแรงและซอรี่ใส่เราแรงๆ1ที ประดุจว่าเราแซงเค้า ซึ่งไม่ใช่ป่ะวะ คือป้ายมันก็มีเขียนบอกนะว่าถ้าจะต่อแถวให้ยืนต่อ ตอนนั้นอยากด่ากลับนะ แต่นึกภาษาอังกฤษไม่ออก และอีกอย่าง มันถิ่นเค้า เราไม่กล้าค่ะ เป็นชะนีป๊อดๆคนนึงแค่นั้น
อย่าให้มาไทยแลนด์นะเมิงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
:: ไปถึงข้างบนอากาศก็เย็นๆตามประสาที่สูง แต่วิวแบบบ อออหหหหห ขาวโพลนค่ะ ขาวมากกกกกกก มองไม่เห็นอะไรใดๆเลยหมอกควันหนามาก เป็นทั้งเมืองเหมือนโดนใส่หิลเตอร์ภาพซีด มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

นั่นล่ะฮะท่านผู้ชม

อันนี้คือทางรถรางที่นั่งขึ้นมา ขับซิ่งมากและมีลอดอุโมงค์ด้วย เป็นรถรางขึ้นเขาที่ชิคกิด้าวที่สุดเท่าที่เคยนั่งมา

ที่ใดมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่นั่นจะต้องมีคล้องกุญแจคู่รัก
แหม่ อยากจะเอาเลื่อยตัดออกให้หมด #โสดแล้วพาล
เออ อันนี้กุญแจมันหลุด เรากับเพื่อนพยายามใส่ให้แล้วนะ แต่มันพังอ่ะ ยัดไม่เข้าจริงๆ สู้ๆนะคะคุณมายา

บนนั้นมีศูนย์อาหารด้วย ไปเจอเมนูนี้น่ากินมากกกก เป้นน้ำแข็งใส ราดน้ำซาสี่ โปะไอติมวนิลา พร้อมด้วยอภิมหาทอปปิ้ง มีวุ้นสีๆและเฉาก๊วย ถั่วแดง(ที่ต้มจนซีด) ถั่วสีเหลืองๆ และผลไม้อีก1ตลาดไท
ดูน่ากินเนอะ แต่ไม่อร่อยอ่า ทุกอย่างมีรสชาติหวาน มารวมกันมันเลยพังค่ะกินแค่ผลไม้หมดก็ลุกหนี จังหวะลุกนี่รอป้าเจ้าของร้านเผลอด้วย กลัวป้าจะเสียใจที่กินเหลือเยอะ

บนปีนังฮิลล์ไม่ค่อยมีอะไรมาก มีมัสยิดเล็กๆ มีลิงหนึ่งฝูงเล็กๆ ไม่ได้มีอะไรมากมาย กับราคาเกือบสามร้อยบาทในวันหมอกควันหนาโคตรแบบนี้เราว่าไม่คุ้มค่ะ

จากนั้นเราก็ไปกินอาหารเย็นตรงตลาดโต้รุ่งเล็กๆแถวๆคอมตาร์ค่ะ มีร้านประมาณ20ร้าน พวกตลาดโต้รุ่งของที่นี่ ที่นั่งจะเป็นของร้านน้ำ เรานั่งต้องสั่งน้ำของเค้า แต่อาหารจะสั่งร้านไหนก็ได้ค่ะ

หมูสะเต๊ะอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกก หมูหมักเครื่องเทศหนักมาก แต่น้ำจิ้มบ้านเราอร่อยกว่า

เย็นวันนั้นตอนกลับโรงแรมก็ให้ที่โรงแรมโทรไปจองรถตู้ขากลับตามนามบัตรที่คนขับรถตู้ให้มา ราคารถตู้ขากลับ40ริงกิต คิดเป็นเงินไทย340บาท ถูกกว่าเงินไทยเยอะมากกกกกกก
[CR] :: ปีนัง ฉบับกินดีอยู่ดี ::
รูปภาพและข้อมูลอาจจะไม่ได้ละเอียดมากนะคะ เพราะทีแรกไม่ได้ตั้งใจรีวิว พอกลับมาเห็นคนรอบตัวทำรีวิวกันหลายคนเลยเป็นแรงบันดาลใจประกอบกับอยากเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับปีนังที่เราไปเจอมาที่อาจจะเพิ่มเติมจากรีวิวอื่นๆค่ะ
:: มีช่วงนึงที่เราเห็นรีวิวปีนังจากพันทิปแบบรายวัน เลยอยากรู้ว่าเมืองนั้นจะมีอะไรดี ดูวนิดาก็มีสอบชิงทุนไปเรียนที่ปีนัง ดูหนึ่งในทรวงก็นำเสนอลูกสาวที่จบจากปีนังให้คุณหนึ่งได้เลือก ในรีวิวพันทิปทุกคนรีวิวไปในทางเดียวกันว่าเป็นเมืองฮิปสะเต้อ สโลล๊ายยยฟ์ฟ์ฟ์ แต่ในละครกลับนิยมส่งลูกหลานไปเรียนกันซะงั้น ตกลงเมืองนี้มันเป็นยังไงกันแน่
ตั้งใจจะไปกันน๊านนาน ไม่มีฤกษ์งงามยามดีซะที วันดีคืนร้ายก็ไปเจอโปรของเจ้าสิงโตน้อย กรุงเทพ-หาดใหญ่ ราคา595บาท อาจจะไม่ใช่ราคาที่ถูกนัก แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานในสถานที่ที่เปิด24ชั่วโมงและไม่มีวันหยุดอย่างเราเดินทางแต่ละทีก็ต้องกระทบวันยุดวันลาให้น้อยที่สุด จำเป็นจะต้องเป็นวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ได้ราคาเท่านี้ ถูกกว่ารถทัวร์เราก็โอเคแล้วค่ะ
ลางาน1วัน แลกเวรเสาร์อาทิตย์ออกแล้ว เก็บกระเป๋าแล้ว ก็เดินทางกันเลยค่ะ
ไฟลท์ดอนเมือง-หาดใหญ่ เช้าสุดได้เวลาที่ 7:55 น. ค่ะ ตามกำหนดการจะถึงหาดใหญ่9:15 น. ซึ่งบริษัทรถตู้ หาดใหญ่-ปีนังเนี่ย ทุกบริษัทเลยจะมีรอบแรกที่9โมงหรือ9โมงครึ่ง ถ้าพลาดรอบนี้ก็เป็นเที่ยงเลยค่ะ เพื่อเป็นการไม่อยากเสียเวลา เราเลยจองรถตู้รอบ9โมงครึ่ง แล้วนั่งแท็กซี่ไปเจอกับรถตู้กลางทางค่ะ ค่ารถถ้าจองแบบวันเวย์จะราคา400บาท ถ้าจองไป-กลับ 750บาทค่ะ ตอนจองเราสื่อสารกันผิดพลาดนิดหน่อย เลยเป็นการจองแบบวันเวย์ค่ะ
พอลงจากเครื่อง เงยหน้ามองนาฬิกา 9โมง20ค่ะ เราสองคนกับเพื่อนนี่วิ่งกันหูตูบไปขึ้นแท็กซี่ไปที่จุดที่นัดกับรถตู้ แต่ปรากฏว่ากว่ารถตู้จะมาก็นู่นนนน 10โมงกว่าแน่ะ
เอาน่า ดีกว่าตกรถละกันเนอะ
:: นั่งรถตู้ไปซักประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงด่านสะเดาค่ะ ก็ทำพิธีเข้าออกกันปกติ ถ้าจะแลกเงินที่นี่เลยก็ได้นะคะ คนขับรถตู้จะรอค่ะ แต่เราให้เพื่อนแลกมาจากซุปเปอร์ริชแล้ว ได้เรท8.45บาทต่อ1ริงกิตค่ะ
ตอนเข้าด่านมาเลแอบงงนิดนึง ตรงด่านเค้าจะใช้วิธีการแสกนนิ้วมือ ซึ่งบางช่องก็มี บางช่องก็ไม่มี เลยงงเหมือนกันว่าอะไรคือมาตรฐาน เราได้แสกน เพื่อนเราไม่ได้แสกน ก็เข้าออกได้ตามปกตินะคะ
:: จากตรงด่านนั่งรถมาซักประมาณสองชั่วโมงกว่าๆก็ข้ามสะพานยาวๆ พอถึงสะพานก็รู้เลยค่ะ ว่าถึงปีนังแล้ว ระหว่างข้ามสะพานนี่มองไม่เห็นอะไรเลยค่ะ หมอควันขาวโพลนเลย แหม่...ฮิปสเตอร์กันโดยไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์เลยทีเดียว
จากนั้นรถจะมาส่งเราที่โรงแรมค่ะ เราพักที่Supeer8 Hotel ไม่ได้จองมาด้วย วันแรกได้ห้องแบบเตียงเดี่ยว วันที่สองได้เตียงคู่ค่ะ
ไม่มีรูปสภาพห้องดีๆเลย เข้าห้องปุ๊บชะนีสองนางก็เหวี่ยงของกระจายเต็มห้องเลยค่ะ
ต้องคืนแรกเราได้ราคา117ริงกิต ห้องกว้างดีค่ะ มีเสากลางห้องด้วย กลางคืนดึกๆเอาไว้เต้นรูดเสา สนุกมากๆเลยค่ะ ....แฮ่ ล้อเล่น มีเสากลางห้องจริงๆแต่ไม่ได้เต้นค่ะ แต่ห้องไม่มีหน้าต่าง จะอับนิดๆ
คืนที่สองห้องตามรูปเลย ราคา107ริงกิต ห้องนี้แคบกว่าคืนแรกเยอะเลย แต่มีหน้าต่าง
ทั้งสองห้องจะมีแอร์ ทีวี ไวฟาย ไม่มีตู้เย็น แต่จะมีตู้กดน้ำร้อนน้ำเย็นตรงส่วนกลางให้(ชอบบบบบ ประหยัดค่าน้ำ ดี๊ดี)
ที่นี่จะใช้ปลั๊กสามขาแบบแบนๆ แต่เราไม่ได้ซื้อไป ก็ยืมที่โรงแรมเอาค่ะ
ไม่โอเคอย่างนึงคือไม่มีปลั๊กไฟหัวนอน คนมาเลย์เค้าไม่มีวัฒนธรรมการนอนบนเตียงชาร์จมือถือไปเล่นไปกันเหรอฟะ
เก็บของเสร็จ ชะนีสองคนหิวโหยอย่างแรง เลยออกไปหาอาหารกินกัน ไปสะดุดกับร้านนี้
เห็นภาษาไทยยังไงก็อุ่นใจเนอะ แม้จะเพิ่งออกนอกประเทศมาได้แค่สามสี่ชั่วโมงก็ตาม
ยืนจ้องๆมองๆ มีแก๊งคุณลุงในร้านกำลังนั่งจิบน้ำชายามบ่ายหันมาชูนิ้วโป้งใส่เรา1ที แล้วชี้ไปที่ร้านหมี่อะไรซักอย่าง แล้วทำหน้าอร่อยมาก เลยเข้าไปลองกิน
เหมือนภาพเดจาวูตอนไปสิงคโปรกลับมา ตอนนั้นก็เป็นร้านหมี่หน้าตาแบบนี้ มีคุณลุงหน้าจีนๆเหมือนกัน ชูนิ้วโป้งแล้วทำหน้าอร่อยเหมือนกัน ...และมันรสชาติเหมือนกันเลย คือไม่อร่อยอ่ะ
แง่ะ อาหารมื้อแรกไม่ประทับใจอย่างแรง
:: กินอาหารเสร็จก็เดินไปตึกkomtarเพื่อขึ้นรถเมล์ไปปีนังฮิลล์ค่ะ
ตึกคอมตาร์จะเป็นจุดที่รถเมล์ทุกสายจะต้องมาจอดที่ป้ายนี้ จะนั่งรถไปไหนก็มาขึ้นที่นี่เลย
(ความคิดเรานะคะ ถ้าพักโรงแรมใกล้ๆคอมตาร์ก็น่าจะสะดวกกับการเดินทาง โรงแรมที่เราพักห่างจากคอมตาร์ประมาณ5นาทีค่ะ)
รถเมล์ที่นี่ต้องเตรียมเงินให้พอดีนะคะ จะไม่มีทอน เรากับเพื่อนไม่มีเงินพอดีเลยต้องจ่ายเกินไป เสียดายอ่ะ
ปีนังฮิลล์เป็นภูเขาสูงๆ มีจุดชมวิว เสียค่ารถนั่งรถรางขึ้นไปคนละ30ริงกิต รถรางซิ่งมากกกกกก
เราว่าการต่อแถวขึ้นรถรางที่นี่มั่วมากอ่ะ คือเค้าไม่ต่อแถวกันอ่ะ แบบถ้าบ้านเราคนที่เข้าคิวก็ต้องมายืนต่อแถวใช่ป่ะ ถ้าออกจากแถวไปนั่งคือสละสิทธิ์ใช่มะ แต่ที่นี่ไม่จ้า คือเค้ามาก่อน เค้าไปนั่ง พอรถมาเค้ามาแซงเราไปเลยอ่ะ แล้วมามองแรงและซอรี่ใส่เราแรงๆ1ที ประดุจว่าเราแซงเค้า ซึ่งไม่ใช่ป่ะวะ คือป้ายมันก็มีเขียนบอกนะว่าถ้าจะต่อแถวให้ยืนต่อ ตอนนั้นอยากด่ากลับนะ แต่นึกภาษาอังกฤษไม่ออก และอีกอย่าง มันถิ่นเค้า เราไม่กล้าค่ะ เป็นชะนีป๊อดๆคนนึงแค่นั้น
อย่าให้มาไทยแลนด์นะเมิงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
:: ไปถึงข้างบนอากาศก็เย็นๆตามประสาที่สูง แต่วิวแบบบ อออหหหหห ขาวโพลนค่ะ ขาวมากกกกกกก มองไม่เห็นอะไรใดๆเลยหมอกควันหนามาก เป็นทั้งเมืองเหมือนโดนใส่หิลเตอร์ภาพซีด มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
นั่นล่ะฮะท่านผู้ชม
อันนี้คือทางรถรางที่นั่งขึ้นมา ขับซิ่งมากและมีลอดอุโมงค์ด้วย เป็นรถรางขึ้นเขาที่ชิคกิด้าวที่สุดเท่าที่เคยนั่งมา
ที่ใดมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่นั่นจะต้องมีคล้องกุญแจคู่รัก
แหม่ อยากจะเอาเลื่อยตัดออกให้หมด #โสดแล้วพาล
เออ อันนี้กุญแจมันหลุด เรากับเพื่อนพยายามใส่ให้แล้วนะ แต่มันพังอ่ะ ยัดไม่เข้าจริงๆ สู้ๆนะคะคุณมายา
บนนั้นมีศูนย์อาหารด้วย ไปเจอเมนูนี้น่ากินมากกกก เป้นน้ำแข็งใส ราดน้ำซาสี่ โปะไอติมวนิลา พร้อมด้วยอภิมหาทอปปิ้ง มีวุ้นสีๆและเฉาก๊วย ถั่วแดง(ที่ต้มจนซีด) ถั่วสีเหลืองๆ และผลไม้อีก1ตลาดไท
ดูน่ากินเนอะ แต่ไม่อร่อยอ่า ทุกอย่างมีรสชาติหวาน มารวมกันมันเลยพังค่ะกินแค่ผลไม้หมดก็ลุกหนี จังหวะลุกนี่รอป้าเจ้าของร้านเผลอด้วย กลัวป้าจะเสียใจที่กินเหลือเยอะ
บนปีนังฮิลล์ไม่ค่อยมีอะไรมาก มีมัสยิดเล็กๆ มีลิงหนึ่งฝูงเล็กๆ ไม่ได้มีอะไรมากมาย กับราคาเกือบสามร้อยบาทในวันหมอกควันหนาโคตรแบบนี้เราว่าไม่คุ้มค่ะ
จากนั้นเราก็ไปกินอาหารเย็นตรงตลาดโต้รุ่งเล็กๆแถวๆคอมตาร์ค่ะ มีร้านประมาณ20ร้าน พวกตลาดโต้รุ่งของที่นี่ ที่นั่งจะเป็นของร้านน้ำ เรานั่งต้องสั่งน้ำของเค้า แต่อาหารจะสั่งร้านไหนก็ได้ค่ะ
หมูสะเต๊ะอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกก หมูหมักเครื่องเทศหนักมาก แต่น้ำจิ้มบ้านเราอร่อยกว่า
เย็นวันนั้นตอนกลับโรงแรมก็ให้ที่โรงแรมโทรไปจองรถตู้ขากลับตามนามบัตรที่คนขับรถตู้ให้มา ราคารถตู้ขากลับ40ริงกิต คิดเป็นเงินไทย340บาท ถูกกว่าเงินไทยเยอะมากกกกกกก