[CR] ลุงกับป้าตะลุยยุโรป 64 วัน 33 ประเทศ [ตอนที่ 6 ] ท่องแดนประวัติศาสตร์โลก โปแลนด์-เชค-เยอรมันนี-ลักเซมเบิร์ก-ลิกเตนสไตน์


          ตอนที่ 6 ยาวมาก เพราะเราอยู่ที่โปแลนด์ 6 วัน และ อยู่ในเยอรมันนี 10 วัน จึงขอแบ่งออกเป็น 2 ตอนย่อย อ่านจบตอนแรกแล้ว อย่าลืมรออ่านตอนที่ 2 จากเม้นต์ด้วยนะคะ
ตอนที่ 6.1  ท่องแดนประวัติศาสตร์โลก สาธารณรัฐโปแลนด์ และ สาธารณรัฐเชค
          ตอนที่ข้ามแดนเข้าโปแลนด์ เริ่มมีไร่ข้าวโพด สลับกับนาข้าวสาลี ไร่ยาสูบ ทุ่งเลี้ยงวัว ทั้งที่ราบ บนเนิน และที่ราบสูง ที่ด่านชายแดนมีธงของ 2 ชาติตั้งคู่กัน เวลาเปลี่ยนเป็นช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง ก่อนถึงชายแดนที่ลิธัวเนียมีการใช้พลังงานจากกังหันลมด้วย ยังไม่มีประเทศไหนขับรถทางซ้ายเหมือนไทยเลย เราอุตส่าห์ทำใบขับขี่นานาชาติไป แต่ไม่กล้าเช่ารถขับเพราะกลัวลืมตัวขับชิดซ้าย
          ถนนในโปแลนด์ราบเรียบ ไม่เหมือนที่กรุงวิลนีอุส  ริก้า และทาลลินส์ ที่ขึ้นเขา ลงเขา มีการทำไม้สนให้เป็นสะเก็ด กองเป็นภูเขาอยู่มากมาย คาดว่าน่าจะเอาไปยุ่ยทำกระดาษ ป่าไม้ที่นั่นอุดมสมบูรณ์มากๆ ดูเหมือนจะมีความชุ่มชื้นตลอดปี นาข้าวสาลีกับข้าวโพดดูอวบอ้วน ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ก็ดูเขียวขจี สังคมเกษตรกรรมน่าจะมากกว่าอย่างอื่น บางสถานีมีนางสถานีออกมายืนถือธงโดยไม่แต่งเครื่องแบบ
                                  
          เราลงรถที่ Suwatki สถานีขนส่งชายแดนโปแลนด์ ขณะนั้นเวลา 16.50 น. เราเช็คเวลาจากตารางใน EURail Planner เห็นว่า มีรถออกจากสถานี Suwatki เที่ยวสุดท้ายในเวลา 17.30 น. เราคิดว่า สถานีรถไฟน่าจะหาไม่ยาก พยายามหาทางไปสถานีรถไฟอยู่ครู่ใหญ่ปัญหา คือ หาคนรู้ภาษาอังกฤษไม่ได้ กว่าจะรู้ว่าสถานีรถไฟอยู่ทางไหน ก็ 17.30 น. แล้ว ระหว่างที่เดินไปสถานีรถไฟ เราจึงมองหาโรงแรมไปด้วย  เพราะคิดว่าไปให้ถึงสถานีรถไฟก่อน แล้วค่อยย้อนกลับไปโรงแรม เพื่อที่ว่าจะได้วางแผนวันรุ่งขึ้นได้ถูก ครอบครัวสี่แม่ลูกพาเราไปดูแผนที่เมือง พยายามแนะนำเราให้ไปที่สถานีรถไฟจนได้
                                  
          เราเจอต้นพรุนป่ามี ลูกเล็กๆร่วงใต้ต้นเยอะมาก ลูกคล้ายๆพุทราป่า แต่สีเหลือง ผิวตึงจึงลองชิมดู รสชาติหวานหอม จึงแวะเก็บจากใต้ต้น ปรากฏว่ามีอีกหลายต้น และมองไปข้างหน้า เห็นมีลูกใหญ่ร่วงใต้ต้น เกลื่อนขอบทางเท้า จึงหาเก็บลูกที่ร่วงบนพื้นหญ้า คนเดินผ่านไปมามองเรายิ้มๆ เพราะมันเป็นผลไม้ที่มีอยู่ทั่วไป และเราพบว่ายิ่งแก่จัดยิ่งเปรี้ยวมาก
          ยิ่งเก็บยิ่งสนุกแต่มันเพิ่มน้ำหนักสัมภาระ ต้องตัดใจ เราคิดว่าอย่างไรวันนั้นก็ไม่มีรถแล้ว พอไปถึงสถานีรถไฟเห็นมีรถเก๋งไปรับคนอยู่ 2 คัน เต็มคันทั้งคู่ถามหาโรงแรม ผู้ชายที่พูดภาษาอังกฤษได้เล็กน้อย ชี้ไปโน้นนนน....จึงถามว่า อยู่แถวๆพลาซ่าตรงสามแยกหรือไม่ เขาบอกว่าใช่ แต่ทำมือตรงไปๆๆๆ เป็นอันเข้าใจว่าไกลมาก....สถานีเงียบมาก เปิดประตู  เดินเข้าไปข้างใน ก็ไม่มีจนท. แต่มีผู้โดยสารประปราย มองออกไปที่ชานชาลา เห็นมีรถไฟจอดอยู่ และมีพนง. ตรวจตั๋วยืนอยู่ด้านหัวของรถไฟ จึงวิ่งไปถาม เขาบอกให้ขึ้นรถเลย....สวรรค์!
          รถวิ่งผ่านป่าสนที่ได้เวลาตัด ต้นพรุนป่าที่ออกลูกดก เหลืองสลับเขียว มีพรุนใหญ่แซมอยู่บ้าง จึงคิดว่า มนุษย์มักเป็นแบบนี้ ของอะไรที่เรามีเยอะ เรามักไม่เห็นคุณค่า รถไฟแล่นผ่าน กว่า 20 สถานี ที่ซุกอยู่ในป่า แทบไม่มีจนท. มีแต่ตัวสถานีเก่า หรือมีแต่ป้าย แต่มีคนขึ้นลงตลอด เห็นมีรถเก๋งจอดอยู่ ตามสถานีที่มีจนท. มีผู้หญิงเปิดหน้าต่างออกมาดู 3 สถานี มองหาถนนไม่เห็นมี
          จนกระทั่งเห็นเป็นทางเกวียนซุกอยู่ในป่า นึกถึงสมัยที่เราใช้เกวียน แต่เขาใช้รถเก๋ง คิดว่าคงเป็นรถของนาย หรือนางสถานี เราถึงไบลี่สต็อค 20.10 น. ขณะที่เมืองไทย 01.55 น. ที่โปแลนด์ 20.55 น. พระอาทิตย์เพิ่งลับขอบฟ้าแต่กว่าจะขอสำรองที่นั่งในวันต่อไปเสร็จก็หลัง 3 ทุ่ม ป้าได้ข้อมูลที่พักจากหนุ่มน้อย และหนุ่มใหญ่ที่ป้ายรถเมล์ ลุงอาสาเดินไปติดต่อแล้วกลับไปบอกว่า เขาไม่รับเงินยูโร รับเฉพาะเงินโปลัน คืนละ 200 โปลัน ไม่แน่ใจว่ารับบัตรเครดิต บัตรวีซ่าหรือไม่ เพราะพวกเขาไม่รู้ภาษาอังกฤษเลย
                                        
          ป้าลองใช้บัตรวีซ่ากดเงิน แต่กดไม่ได้ เครื่องบอกว่า ไม่รู้จักเครือข่ายต้นสังกัด จึงตัดสินใจเดินไปที่โรงแรม ถามว่าใช้บัตรได้หรือไม่ พอไปถึงก็เอาบัตรเครดิตให้ดู พร้อมพาสปอร์ต คนที่นั่งตรงเคาน์เตอร์ออกอาการเอ๋อ แล้วขอไปตามคนอื่นมาคุยมีคนออกมาคุย และดูเรา 3 คน ทำท่าให้เรารู้ว่าที่นั่นไม่ใช่โรงแรม ถ้าต้องการโรงแรม ต้องเป็นอาคารถัดไป ป้าขอโทษแล้วบอกลา
          เดินไปอาคารที่อยู่ถัดไป ที่นั่นพนักงานต้อนรับสาวบอกว่า อาคารที่เราเข้าไปตอนแรก ไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นที่ที่กาชาดจัดไว้ สำหรับคนไร้บ้าน ป้าขำจนเบรกไม่อยู่ เป็นครั้งที่ 2 ที่ให้ลุงไปติดต่อโรงแรมแล้วเป็นเรื่อง เราผ่านค่ำคืนไปได้ด้วยดี ค่าที่พักคิดเป็นเงินยูโรเท่ากับ 25 ยูโร และพนักงานต้อนรับยินดีให้เราแลกเงินโปลันสำหรับค่าอาหารในวันต่อไป ด้วย แต่ไม่สามารถใช้ไวไฟได้เพราะเน็ตล่ม
                                      
          3 ส.ค. ตอนเช้า อากาศดี มีแดดตั้งแต่ตี 5 อยากให้เป็นแบบนั้นไปทั้งวัน ออกจากที่พัก เดินไปสถานีไบลี่สต็อค รอรถ 08.10 น. ลานหลังสถานี Biatystok (ตัว t เป็นตัวแอลที่มีขีดเล็กน้อย) ปูด้วยหินแกรนิตทั้งหมด เป็นหินไม่เรียบ รถไฟโปแลนด์สีขาว ขอบบนเขียว ขอบล่างแดง ที่นั่งเป็นเก้าอี้เหล็ก ขอบเหลือง เบาะบาง บุด้วยผ้าไหมพรมกำมะหยี่ พื้นแดง มีลายน่ารัก สีเหลือง น้ำเงิน ส้ม ตรงกลางด้านหน้า ต่ำลงไปเล็กน้อย ระหว่างที่นั่ง มีเต้าเสียบ 1 เต้า แต่รถออกจากสถานีแล้วก็ยังไม่มีไฟ  
                              
          ห้องน้ำกว้างขวาง สะอาดมีกระดาษชำระ และอ่างล้างมือ ข้างทางรถไฟมีต้นพรุนไปตลอด ทั้งพรุนป่า และพรุนลูกใหญ่ รถจอด 3 สถานีร้าง แต่มีคนขึ้นตลอด พวกเขาซื้อตั๋วบนรถ เพราะอาคารสถานี แม้แต่จะเข้าไปหลบฝนก็คงลำบาก ดูเหมือนปิดตาย สภาพภายนอกทรุดโทรม อิฐหลุดร่อน หน้าต่างมีไม้ตีทะแยง ห้ามเปิด สีซีด ราวกับร้างมาหลายสิบปี
          ถนนเข้าหมู่บ้านเป็นถนนดินไม่ใช่ลูกรัง ถนนเลียบรางรถไฟเป็นหินเกร็ดอัด ส่วนถนนสายหลักคล้ายๆ ถนนคอนกรีต แต่มีส่วนผสมของหินเกร็ดมากกว่าปูน ใกล้ๆสถานีที่มีชุมชน มีภูเขาสะเก็ดไม้สนอยู่มากมาย คาดว่าน่าจะเอาไปยุ่ยทำกระดาษ ถนนที่ดูเหมือนขนานไปกับรางรถไฟ มีรถวิ่งน้อยมาก แต่มีปั๊มน้ำมันเป็นระยะๆ ทางรถไฟจำนวนมาก เหมือนไม่ได้ใช้งานมาเป็นสิบๆปี เพราะมองไม่เห็นหมอนและหิน เห็นแต่สนิมจับรางกับต้นหญ้า ชานชาลาล้วนปูด้วยหินแกรนิตทุกสถานี บ้านเรือนในชนบทเป็นบ้านชั้นเดียวหลังคา เป็นกระเบื้องหรือแผ่นเหล็ก ลอนเล็กยาว เป็นสามเหลี่ยม ทรงค่อนข้างสูง มีปล่องไฟ ตอนเย็นเห็นควันออกจากปล่องไฟ มีควันลอยเหนือหมู่บ้าน เหมือนบ้านชนบทไทยที่ ใช้ฟืนในการประกอบอาหาร
          ขณะที่เดินทางมุ่งสู่ชายทะเลบอลติก ด้านที่ขนานอยู่กับโคเปนเฮเก้น มีกังหันลมไกลออกไปลิบๆ อยู่เป็นระยะ เสน่ห์ของการนั่งรถไฟ อยู่ที่ได้สัมผัสวิถีท้องถิ่น ถ้าเรานั่งเครื่องบินจะไม่มีโอกาสแบบนี้เลย ข้อเสียคือมันกินเวลามาก สำหรับคนไม่มีเวลาคงทำไม่ได้ ถ้าไม่ได้งบประมาณไปถ่ายทำรายการ แต่สำหรับคนว่างงานอย่างเรา มีข้อเสียตรงที่เราใช้เงินมากกว่าอยู่บ้าน และคงทำได้ไม่นานเพราะเรามีงบจำกัด
                                      
          ก่อนที่จะถึงสถานี  Gdynia Chylonia ซึ่งเป็นปลายทางที่ทะเลบอลติก เหนือสุดของโปแลนด์ เรานั่งรถไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่ตะวันตกของโปแลนด์ โดยไปต่อรถที่ ELK …Olszty Glonia…Ilawa Glowna…Malbork…TCZEW จาก TCZEW เราลงไปทางใต้ เพื่อประหยัดค่าโรงแรม โดยไปที่สถานี  Bydgoszcz Glowna ไปถึงที่นั่นเวลา 01.22 น. ยามสถานีนั้นน่ารักมาก เดินไป เดินมา อยู่เป็นเพื่อนเรา กับผู้โดยสารชายวัยประมาณเราอีก 1 คน ที่ชวนเรากินช็อคโกแล็ตด้วย พอได้เวลารถจะออก ยามก็เดินเข้าไปบอกให้เราไปซื้อตั๋ว ตอนนั้น จนท. ลุกขึ้นมาขายตั๋ว แต่เราบอกว่าเรามีตั๋วแล้ว เวลา 02.56 น. รถออกพาเราย้อนกลับขึ้นไปที่สถานี Gdansk Glowny ถึงที่นั่นเวลา 04.50 น.
                                        
          ที่นั่นอากาศดีไม่มีฝนตอนเช้า เราจึงเดินเที่ยวเมืองเก่า Gdansk ไม่รู้มาก่อนเลยว่า เมืองนี้เป็นเมืองเก่า ที่สวยมาก และเขาอนุรักษ์ให้เหมือนของเดิมโดยให้เช่าทำธุรกิจ แต่ต้องบูรณะให้เหมือนเดิมอยู่เสมอ รูปทรงของอาคารเหมือนๆ กันไม่ค่อยมีความแตกต่าง ตามลานหรือถนนคนเดิน ปูด้วยหินแกรนิตเป็นส่วนใหญ่ ช่วงนี้มีงานประจำปี แต่เราไปเดินตั้งแต่ก่อน 7.00 น. จึงยังไม่มีอะไรตั้งให้ดู
                                        
          นอกจากสิ่งก่อสร้างที่ตั้งอยู่แล้ว เดินไปเดินมาก็หลง กว่าจะหาทางกลับได้ก็ผ่านต้นพรุนป่า ที่มีทั้งลูกสีเหลืองและสีแดงร่วงเกลื่อนใต้ต้น แต่เรากลัวฤทธิ์เดชของพรุนที่ทำให้เสียวฟันและท้องเสีย จึงไม่สนใจจะเก็บ น่าเสียดายน่าจะมีใครไปตั้งโรงงานทำน้ำพรุนสกัด โดยเอาคนงานจากบ้านเราไปเก็บ ผลิตแล้วส่งมาขายเมืองไทย คงรวยไม่รู้เรื่องไปเลย เพราะมันเป็นผลไม้ ที่ชาวโปแลนด์ไม่เหลียวแล
                                      
           ออกจาก Gdansk Glowny เวลา 11.55 ไปที่สถานี Gdynia Glowna คิดว่าที่นั่นเป็นเมืองสวยงาม แต่ไม่ใช่ เราจึงย้อนไปที่ TCZEW เราได้ถ่ายรูปป้อมปราการ และสวนรถไฟ แล้วเข้าไปนั่งในสถานีเพราะมีทั้ง ที่เสียบชาร์จแบ็ต และ wifi ให้ใช้ฟรี สถานี TCZEW คนเข้า-ออก เป็นระยะ จนท. ก็ใจดี มีห้องน้ำ ครั้งละ .50 ยูโร มีแม่บ้านเข็นรถลูกผ่านไป มา เป็นระยะ มีย่า ยาย เลี้ยงหลาน
          เราได้เห็นว่า สาวๆ ที่นั่นนิยมใส่กางเกงยีนส์รัดรูป แต่แม่บ้านรุ่นใหม่ในโปแลนด์นิยมใส่กางเกงขาสั้น พวกเธอดูแลรูปร่างดี แต่งกายทันสมัย มองจากภายนอก เราไม่รู้เลยว่า พวกเธอไปจากสังคมเกษตรกรรม เพราะดูดีมากๆ แต่พวกเธอไม่ค่อยรู้เรื่องอื่นๆโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ถ้าจะถามต้องดูคนที่ใส่กระโปรง ใส่รองเท้ารัดส้น ถ้าเป็นพวกใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ หรือส้นสูงถามแล้วก็เหนื่อยทั้งคนถามและคนตอบ ส่วนพวกผู้ชายที่วัยเกิน 35 ถ้าใส่ยีนส์ หรือขาสั้น คาดหวังได้ยากมาก พวกเขาจะพูดจนเราเวียนหัว เพราะอยากช่วยเหลือเกิน
          หนุ่มโปแลนด์ส่วนใหญ่ ตัดผมเกรียน บางคนไถด้านข้างออก ยาวเฉพาะตรงกลาง บางคนไถออกข้างเดียว นอกจากฝรั่งเศสแล้ว ตั้งแต่ฟินแลนด์เป็นต้นมา เริ่มมีร้านทำผม เริ่มมีคนไว้ผมแปลกๆ แต่ประเทศอื่นๆสตรีไว้ผมยาว ที่โปแลนด์ มีเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง คือ เริ่มมีคนดัดฟัน ทั้งเด็กและวัยรุ่น และในโปแลนด์อีกเช่นกัน ที่มีคนเอาจักรยานขึ้นรถทัวร์ ยุโรปทุกประเทศมีไบค์เลน รถบัสบางประเทศก็ใช้ไฟฟ้าแทนน้ำมัน ค่ำนี้มีเรื่องเงิบ!....
          มีหนุ่มหล่อ นักเผยแพร่ศาสนา ชาวโปแลนด์ นั่งรอรถข้างเรา ชวนคุย ป้าเล่าให้เขาฟังเรื่องที่เราแวะเก็บลูกพรุนข้างทาง เขาสงสัย ป้าจึงเอาให้เขาดู เขาบอกว่า มัน คือ แอ๊ปเปิ้ล ป้าจึงให้เขาชิม เขาบอกว่า มันเป็นแอ๊ปเปิ้ลจริงๆ เราจึงนึกย้อนถึงตอนกินลูกพรุน แล้วก็นึกออกว่า จริงสิ…ลูกพรุนมันมีเม็ดแค่เม็ดเดียว แต่แอ๊ปเปิ้ล มันมีแกนและมีหลายเม็ด สรุปว่ามันเป็นแอ๊ปเปิ้ลเขียว ที่ขึ้นเอง มันจึงเป็นแอ๊ปเปิ้ลป่า
ชื่อสินค้า:   ยุโรป
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่