ศาลปกครองฉีกหน้าศาล... ในคดีภาษีสรรพสามิตร

โดยศาลปกครองวินิฉัยว่า รัฐไม่ได้เสียหายจากการที่ ครม.ทักษิณแก้ไขกฎหมายสัมปทาน เพราะยังจ่ายเงินเข้ารัฐเท่าเดิม


ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2558 ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 1545/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 1439/2554 ซึ่งบมจ.ทีโอที ได้ยื่นฟ้องกระทรวงการคลัง (ในฐานะตัวแทนคณะรัฐมนตรี) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย

คดีดังกล่าว ทีโอทีได้อ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเมื่อ 28 ม.ค. 2546 เรื่อง การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากบริการ และมติเมื่อ 11 ก.พ. 2546 เรื่องการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากบริการโทรคมนาคม เนื่องจากมติดังกล่าวได้ทำให้คู่สัญญาสัญญาสัมปทานเกี่ยวกับโทรศัพท์ภายในประเทศกับ 3 บริษัทเอกชน ได้แก่ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(เอไอเอส) บริษัท ซี.พี.เทเลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ปัจจุบันคือ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น) และบริษัท ไทยเทเลโฟนแอนด์เทเลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ปัจจุบันคือ บมจ.ทีทีแอนด์ที) สามารถหักภาษีสรรพสามิตบริการโทรคมนาคมออกจากส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาสัมปทานที่คู่สัญยาต้องนำส่งให้ทีโอที ซึ่งต่อมาเมื่อ 23 ม.ค. 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีมติยกเลิกมติครม. ทั้งสองมติดังกล่าว

โดยทีโอทีได้ระบุว่า การออกมติ ครม. เมื่อ 28 ม.ค. 2546 และ 11 ก.พ. 2546 ทำให้ทีโอทีได้ส่วนแบ่งรายได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นรวมเป็นเงินกว่า 38,996 ล้านบาท แบ่งเป็นตามสัญญาสัมปทานเอไอเอส 36,816 ล้านบาท ทรู คอร์ปอเรชั่น 1,479 ล้านบาท ทีทีแอนด์ที 700 ล้านบาท ทั้งศาลฏีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยวินิจฉัยว่า การออกมติดังกล่าวเป็นการกระทำเอื้อประโยชน์ให้เอกชนของอดีตนายกรัฐมนตรี จึงขอให้ศาลสั่งให้กระทรวงการคลังชดใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ย 7.5% ให้ทีโอทีด้วย

เมื่อศาลปกครองกลางได้วิเคราะห์ข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า การออกพระราชกำหนดให้เก็บภาษีสรรพสามิตเป็นผลเนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ทำให้รัฐต้องหารายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะกระทำได้ ขณะที่การออกมติ ครม. ดังกล่าว ถือเป็นอำนาจของครม. ในการพิจารณาปรับโครงสร้างรายได้ของรัฐ โดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค เพราะหากให้เอกชนรับภาระทั้งหมด ก็จะมีการผลักภาระไปให้ผู้บริโภค รัฐจึงหาทางชดเชยโดยเลือกที่จะลดรายได้ในส่วนของผลประโยชน์ตอบแทนที่เอกชนต้องจ่ายให้คู่สัญญาภาครัฐ ซึ่งทีโอทีผู้ฟ้องก็เป็นองคาพยพหนึ่งของรัฐ นอกจากนั้นทั้งเอไอเอส ทรูคอร์ป และทีทีแอนด์ที ก็ไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของครม. ในการกำหนดแนวทางการหักภาษีสรรพสามิต เนื่องจากค่าตอบแทนตามสัมปทานที่ทั้งสามบริษัทต้องจ่ายให้ทีโอที ก็เท่ากับค่าภาษีที่เอกชนต้องจ่ายให้กรมสรรพสามิต

และไม่ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์แต่อย่างใด เพราะภาษีสรรพสามิตที่รัฐได้รับจากเอกชนโดยตรงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันที โดยไม่ต้องรอรับเงินปันผลจากทีโอที ดังนั้น มติ ครม. 28 ม.ค. 2546 และ 11 ก.พ. 2546 จึงเป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมาย

แม้ทีโอทีจะมีรายได้จากส่วนแบ่งสัมปทานที่ลดลง แต่เมื่อเป็นองคาพยพของรัฐ จำเป็นต้องปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้นได้ตระหนักดีอยู่แล้วว่า การดำเนินการดังกล่าวทำให้รายได้ของทีโอทีลดลง แต่มีผลให้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและเกิดประโยชน์โดยรวมต่อประเทศ จึงถือว่า ครม.ใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว จึงไม่เป็นการละเมิดผู้ฟ้องคดี และกระทรวงการคลังผู้ถูกฟ้องจึงไม่จำเป็นต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ส่วนกรณีที่ทีโอทีอ้างคำพิพากษาของศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในกรณีของอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ศาลเห็นว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีที่อัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ถูกกล่าวหาตกเป็นของแผ่นดิน โดยอ้างว่าได้ปฏิบัติหน้าที่และใช้ใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่นและบริษัทในเครือ 5 กรณี ซึ่งมีกรณีมติ ครม. เกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตด้วย จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า อดีตนายกรัฐมนตรีมีพฤติการณ์เอื้อประโยชน์ตามที่อัยการกล่าวอ้างหรือไม่

ในขณะที่คดีนี้มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า การที่ครม. มีมติทั้งสองครั้งเป็นการกระทำละเมิดต่อทีโอทีผู้ฟ้องคดีหรือไม่ คดีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง จึงมีข้อเท็จจริงและประเด็นที่ต้องวินิจฉัยแตกต่างจากคดีนี้ ข้ออ้างของทีโอทีจึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนข้ออ้างอื่นๆ ของทีโอทีในประเด็นอื่นๆ ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่