จากกระทู้ก่อนหน้านี้ (11 ก.ย. 58) เราแบกเป้ลุยเดี่ยวไปกาญฯ เพื่อหวังจะไปวิ่งที่งาน River Kwai International Half Marathon 2015
ก่อนงานวิ่งก็เลยแวะข้างๆทางสักหน่อย "บางทีเสน่ห์ของการเดินทาง คือ ระหว่างทางที่เราเดินมา" และ บ้านกกกอด คือ ระหว่างทางที่เราเลือกพัก
เหตุผลที่เราตัดสินใจแบกเต็นท์มานี่ไม่ฝช่เพราะอินดี้จัดหรอกนะค่ะ แต่ด้วยการจองห้องพักที่ใกล้งานวิ่งล่าช้า ทำให้ที่พักแถบนั้นเต็มหมดเลยค่ะ แต่เมื่อตั้งใจที่จะมาวิ่งแล้ว ถึงห้องพักจะเต็ม ยังไงเราก็ต้องมาให้ได้
(***งานวิ่งจัด 13 ก.ย. เราเริ่มโทรจองห้องพักกลางเดือน ก.ค. ค่ะ แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี ที่ยังพอมีเหลืออยู่ก็ไกลจากงานวิ่ง ซึ่งถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็คงลำบากนิดนึงค่ะ แนะนำหากใครอยากมางานนี้ รีบจองห้องตั้งแต่เนิ่นๆนะคะ หรือถ้าอยากมาชิวๆก็แบกเต็นท์มาอย่างเราก็ได้นะ***)
ลองแวะพักระหว่างทางไปกับเราได้ที่ :
http://pantip.com/topic/34224794
หลังจากพักจนเต็มอิ่มที่ บ้านกกกอด เราก็ออกเดินทางต่อเป้าหมาย คือ ไปงานวิ่ง เส้นทางกว่าจะถึงฮาล์ฟมาราธอนนั้นจะเป็นยังไงกันบ้าง จะลุยเดี่ยวถามลูกเดียวอีกรึเปล่า มาดูกันเลยค่ะ (ออกจากบ้านกกกอดประมาณเที่ยง ของวันที่ 12 ก.ย.)
จาก บ้านกกกอด ระยะทาง 5 กิโลกว่าๆ มายังแยกโป่งปัด พี่ผู้จัดการขับรถมาส่งเรา เพื่อไปรอรถเมล์เอราวัณที่จะไป บขส. เราเดินไปที่ศาลารอรถบังเอิญเจอพี่ผู้ชายกับแฟนเขาจะไป บขส. เหมือนกัน เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนิดหน่อย ไม่นานก็มีรถกระบะจอดทักทายพี่ผู้ชายคนนั้น ซึ่งทั้งสองรู้จักกัน คนขับชวนพี่ผู้ชายและแฟนให้ติดรถไปด้วยเพราะเขาจะเข้าตัวเมืองพอดี พี่ผู้ชายกับแฟนเลยชวนเราให้ไปกันด้วยเลย รู้สึกโชคดีมากๆเลยค่ะ มันเหมือนเป็นความน่ารักเล็กๆน้อยๆที่อยู่ข้างๆทาง นั่งรถมาประมาณ 40 กิโล ก็ถึง บขส.กาญค่ะ

ถึง บขส. ก็ใช้ไม้เดิมเลยคร่า เดินเข้าไปถาม "พี่ค่ะ รถนี่ผ่านโรงแรมริเวอร์แคววิลเลจปะ่ค่ะ" (งานวิ่งจัดขึ้นที่โรงแรมริเวอร์แคววิลเลจค่ะ) คุณพี่กระเป๋ารถเมล์ก็ไปถามลุงคนขับอีกที (นั่น แบบเดิมเด๊ะ) "ผ่านๆ น้องขึ้นเลย รถออก 12.45 น. ไปหาไรกินก่อนก็ได้" เรานี่ไม่รอช้า เห็น 7-11 เหมือนเห็นสวรรค์ (ขนาดนั้นเลย5555) รีบบึ่งเข้าไปซื้อ แบบถ้าไม่ได้กินข้าวไงก็รอด 555 ดูเวลาได้เวลาพอดีที่รถจะออก เลยขอเก็บรูปไว้สักหน่อย

รถที่เรานั่งไปผ่านโรงแรมริเวอร์แคววิลเลจ เป็นรถสังขละ ระยะทางประมาณ 60 กิโล ค่ารถ 60 บาท นั่งไปก็หลับไปจ้า คนข้างๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเราก็ถามว่าถ้าจะไปที่โน้นไปนี่ไปไง เอิ่ม...... นี่ก็ถามมาเหมือนกันค่ะ 5555 นั่งต่อไปสักพัก

ลุงคนขับก็จอด ตะโกนมา
"ถึงแล้วหนู"
"ต้องไปต่ออีก 300 เมตรอะค่ะ" (นี่ก็ตอบไปอย่างมั่น5555) ลุงขับต่อ เห็นป้าย บ้านภูผาโฮมสเตย์
"จอด ค่ะจอด ตรงนี้เลยค่ะลุง" (บอกเป็นวินมอไซต์เลยนะครัช แหม่) ลุงแกก็แบรกรถอย่างไว นี่รีบวิ่งลงเลยคร่า อารมณ์แบบ เขินๆหน่อยๆ ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆแบคแพคแบกเต็นท์ ป้ากระเป๋ารถเมล์ถามมา
"ไม่ลืมอะไรนะหนู"
"ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ" ตอบอย่างมั่น
ลงจากรถ คิดในใจ "ลีมไรรึเปล่าว่ะ....... อ่อ ขนมมมมม ถุงใหญ่" (เอิ่ม... รถไปแล้ววววว การเจอ 7-11 ที่ บขส.ก็หมดความหมาย ณ บัดดล)
ไม่เป็นไรว่ะ เดินหน้าต่อ ข้ามถนนไปอีกฟาก ลุงเจ้าของโฮมสเตย์ก็ออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง จัดที่จัดทางให้เรากางเต็นท์ ลุงถามว่ากางเองได้ใช่ไหม เรานี่มั่นใจมาก เพราะฝึกกางมาแล้วเรียบร้อย จากนั้นลุงก้เดินจากไป ไม่ถึง 10 วินาที ลุงก็เดินเข้ามา
"มา ลุงช่วยกาง" (ขอบคุณค่ะ)

รูปนี้ก็ถ่ายเอง ใช้ขาตั้งกล้อง + ไอโฟน + รีโมต จ้าาาา

กางเต็นท์เก็บของเสร็จ ก็ไปกินข้าวเที่ยงค่ะ ที่บ้านภูผา มีอาหารตามสั่งขายด้วยนะคะ คุณป้าแม่ครัวก็เป็นแฟนของลุงเจ้าของ พี่คนมาเสิร์ฟก็เป็นลูกของคุณลุงค่ะ คุณลุงเล่าให้ฟังความเป็นมาเป็นไปของที่นี่ทั้งยังบอกอีกว่า ที่นี่เราอยู่กันแบบครอบครัว เป็นที่พักเล็กๆ (แต่ก็อบอุ่น ด้วยความเอาใจใส่ลูกค้าของคุณลุง อันนี้เดิมให้นะคะ อิอิ) ข้าวกลางวันมื้อนี้เราสั่ง ข้าวผัดหมู+ไข่ดาวไปค่ะ เป็นอาหารง่ายๆ ได้เยอะมาก ความรู้สึกเหมือนนั่งกินที่บ้านเลยคร่า ราคาจานนี้ 50 บาท ค่ะ กินเสร็จก็ไปเดินเล่นหวังว่าจะเจอร้านขายขนมสักหน่อย ป้าที่ขายผลไม้ฝั่งตรงข้ามก็บอกให้เดินไปประมาณ 300 เมตร ก็จะเจอร้านค้า
เราเดินไปเรื่อยๆ ก็คิดว่านี่ก็เลย 300 เมตร แล้วนะ เลยเดินกลับคร่า เดินไปถึงร้านป้าคนเดิมบอกไม่เห็นมีร้านค้าเลย พี่ที่ร้านก็ขำ บอกถัดจากที่คุณเดินไปก็จะถึงแล้ว พี่คนนั้นเลยอาสาพาเราไปซื้อของ พี่แกบอกรอแปปนะ หายไปพักใหญ่ พี่แกมาพร้อมมอไซต์คู่ใจ เอิ่ม คือ แกอุตส่าห์ไปเอามอไซต์จากที่บ้านเพื่อจะพาเราไปซื้อของอีกร้านหนึ่ง ของคุณนะคร๊าฟฟฟฟฟฟ ซื้อของเสร็จก็พาเรามาส่งยังที่พัก ขอบคุณมากๆอีกครั้งคร่าาา
(เราโคตรรู้สึกดีเลยค่ะ แบบเราก็ไม่ได้รู้จักกัน แต่พี่ๆป้าๆที่นี่ก็หยิบยื่นน้ำใจให้เรา เราว่านี่แหละเสน่ห์ของคนข้างๆทาง)
จากนั้นก็พักผ่อน เตรียมตัวเพื่อฮาล์ฟ 21 กิโล พรุ่งนี้คร่าาาา
เมื่อเราตัดสินใจ แบคแพคแบกเต็นท์ไปฮาล์ฟมาราธอนคนเดียว : กาญจนบุรี (River Kwai International Half Marathon 2015)
จากกระทู้ก่อนหน้านี้ (11 ก.ย. 58) เราแบกเป้ลุยเดี่ยวไปกาญฯ เพื่อหวังจะไปวิ่งที่งาน River Kwai International Half Marathon 2015
ก่อนงานวิ่งก็เลยแวะข้างๆทางสักหน่อย "บางทีเสน่ห์ของการเดินทาง คือ ระหว่างทางที่เราเดินมา" และ บ้านกกกอด คือ ระหว่างทางที่เราเลือกพัก
เหตุผลที่เราตัดสินใจแบกเต็นท์มานี่ไม่ฝช่เพราะอินดี้จัดหรอกนะค่ะ แต่ด้วยการจองห้องพักที่ใกล้งานวิ่งล่าช้า ทำให้ที่พักแถบนั้นเต็มหมดเลยค่ะ แต่เมื่อตั้งใจที่จะมาวิ่งแล้ว ถึงห้องพักจะเต็ม ยังไงเราก็ต้องมาให้ได้
(***งานวิ่งจัด 13 ก.ย. เราเริ่มโทรจองห้องพักกลางเดือน ก.ค. ค่ะ แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี ที่ยังพอมีเหลืออยู่ก็ไกลจากงานวิ่ง ซึ่งถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็คงลำบากนิดนึงค่ะ แนะนำหากใครอยากมางานนี้ รีบจองห้องตั้งแต่เนิ่นๆนะคะ หรือถ้าอยากมาชิวๆก็แบกเต็นท์มาอย่างเราก็ได้นะ***)
ลองแวะพักระหว่างทางไปกับเราได้ที่ :
http://pantip.com/topic/34224794
หลังจากพักจนเต็มอิ่มที่ บ้านกกกอด เราก็ออกเดินทางต่อเป้าหมาย คือ ไปงานวิ่ง เส้นทางกว่าจะถึงฮาล์ฟมาราธอนนั้นจะเป็นยังไงกันบ้าง จะลุยเดี่ยวถามลูกเดียวอีกรึเปล่า มาดูกันเลยค่ะ (ออกจากบ้านกกกอดประมาณเที่ยง ของวันที่ 12 ก.ย.)
จาก บ้านกกกอด ระยะทาง 5 กิโลกว่าๆ มายังแยกโป่งปัด พี่ผู้จัดการขับรถมาส่งเรา เพื่อไปรอรถเมล์เอราวัณที่จะไป บขส. เราเดินไปที่ศาลารอรถบังเอิญเจอพี่ผู้ชายกับแฟนเขาจะไป บขส. เหมือนกัน เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนิดหน่อย ไม่นานก็มีรถกระบะจอดทักทายพี่ผู้ชายคนนั้น ซึ่งทั้งสองรู้จักกัน คนขับชวนพี่ผู้ชายและแฟนให้ติดรถไปด้วยเพราะเขาจะเข้าตัวเมืองพอดี พี่ผู้ชายกับแฟนเลยชวนเราให้ไปกันด้วยเลย รู้สึกโชคดีมากๆเลยค่ะ มันเหมือนเป็นความน่ารักเล็กๆน้อยๆที่อยู่ข้างๆทาง นั่งรถมาประมาณ 40 กิโล ก็ถึง บขส.กาญค่ะ
ถึง บขส. ก็ใช้ไม้เดิมเลยคร่า เดินเข้าไปถาม "พี่ค่ะ รถนี่ผ่านโรงแรมริเวอร์แคววิลเลจปะ่ค่ะ" (งานวิ่งจัดขึ้นที่โรงแรมริเวอร์แคววิลเลจค่ะ) คุณพี่กระเป๋ารถเมล์ก็ไปถามลุงคนขับอีกที (นั่น แบบเดิมเด๊ะ) "ผ่านๆ น้องขึ้นเลย รถออก 12.45 น. ไปหาไรกินก่อนก็ได้" เรานี่ไม่รอช้า เห็น 7-11 เหมือนเห็นสวรรค์ (ขนาดนั้นเลย5555) รีบบึ่งเข้าไปซื้อ แบบถ้าไม่ได้กินข้าวไงก็รอด 555 ดูเวลาได้เวลาพอดีที่รถจะออก เลยขอเก็บรูปไว้สักหน่อย
รถที่เรานั่งไปผ่านโรงแรมริเวอร์แคววิลเลจ เป็นรถสังขละ ระยะทางประมาณ 60 กิโล ค่ารถ 60 บาท นั่งไปก็หลับไปจ้า คนข้างๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเราก็ถามว่าถ้าจะไปที่โน้นไปนี่ไปไง เอิ่ม...... นี่ก็ถามมาเหมือนกันค่ะ 5555 นั่งต่อไปสักพัก
ลุงคนขับก็จอด ตะโกนมา
"ถึงแล้วหนู"
"ต้องไปต่ออีก 300 เมตรอะค่ะ" (นี่ก็ตอบไปอย่างมั่น5555) ลุงขับต่อ เห็นป้าย บ้านภูผาโฮมสเตย์
"จอด ค่ะจอด ตรงนี้เลยค่ะลุง" (บอกเป็นวินมอไซต์เลยนะครัช แหม่) ลุงแกก็แบรกรถอย่างไว นี่รีบวิ่งลงเลยคร่า อารมณ์แบบ เขินๆหน่อยๆ ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆแบคแพคแบกเต็นท์ ป้ากระเป๋ารถเมล์ถามมา
"ไม่ลืมอะไรนะหนู"
"ไม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ" ตอบอย่างมั่น
ลงจากรถ คิดในใจ "ลีมไรรึเปล่าว่ะ....... อ่อ ขนมมมมม ถุงใหญ่" (เอิ่ม... รถไปแล้ววววว การเจอ 7-11 ที่ บขส.ก็หมดความหมาย ณ บัดดล)
ไม่เป็นไรว่ะ เดินหน้าต่อ ข้ามถนนไปอีกฟาก ลุงเจ้าของโฮมสเตย์ก็ออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง จัดที่จัดทางให้เรากางเต็นท์ ลุงถามว่ากางเองได้ใช่ไหม เรานี่มั่นใจมาก เพราะฝึกกางมาแล้วเรียบร้อย จากนั้นลุงก้เดินจากไป ไม่ถึง 10 วินาที ลุงก็เดินเข้ามา
"มา ลุงช่วยกาง" (ขอบคุณค่ะ)
รูปนี้ก็ถ่ายเอง ใช้ขาตั้งกล้อง + ไอโฟน + รีโมต จ้าาาา
กางเต็นท์เก็บของเสร็จ ก็ไปกินข้าวเที่ยงค่ะ ที่บ้านภูผา มีอาหารตามสั่งขายด้วยนะคะ คุณป้าแม่ครัวก็เป็นแฟนของลุงเจ้าของ พี่คนมาเสิร์ฟก็เป็นลูกของคุณลุงค่ะ คุณลุงเล่าให้ฟังความเป็นมาเป็นไปของที่นี่ทั้งยังบอกอีกว่า ที่นี่เราอยู่กันแบบครอบครัว เป็นที่พักเล็กๆ (แต่ก็อบอุ่น ด้วยความเอาใจใส่ลูกค้าของคุณลุง อันนี้เดิมให้นะคะ อิอิ) ข้าวกลางวันมื้อนี้เราสั่ง ข้าวผัดหมู+ไข่ดาวไปค่ะ เป็นอาหารง่ายๆ ได้เยอะมาก ความรู้สึกเหมือนนั่งกินที่บ้านเลยคร่า ราคาจานนี้ 50 บาท ค่ะ กินเสร็จก็ไปเดินเล่นหวังว่าจะเจอร้านขายขนมสักหน่อย ป้าที่ขายผลไม้ฝั่งตรงข้ามก็บอกให้เดินไปประมาณ 300 เมตร ก็จะเจอร้านค้า
เราเดินไปเรื่อยๆ ก็คิดว่านี่ก็เลย 300 เมตร แล้วนะ เลยเดินกลับคร่า เดินไปถึงร้านป้าคนเดิมบอกไม่เห็นมีร้านค้าเลย พี่ที่ร้านก็ขำ บอกถัดจากที่คุณเดินไปก็จะถึงแล้ว พี่คนนั้นเลยอาสาพาเราไปซื้อของ พี่แกบอกรอแปปนะ หายไปพักใหญ่ พี่แกมาพร้อมมอไซต์คู่ใจ เอิ่ม คือ แกอุตส่าห์ไปเอามอไซต์จากที่บ้านเพื่อจะพาเราไปซื้อของอีกร้านหนึ่ง ของคุณนะคร๊าฟฟฟฟฟฟ ซื้อของเสร็จก็พาเรามาส่งยังที่พัก ขอบคุณมากๆอีกครั้งคร่าาา
(เราโคตรรู้สึกดีเลยค่ะ แบบเราก็ไม่ได้รู้จักกัน แต่พี่ๆป้าๆที่นี่ก็หยิบยื่นน้ำใจให้เรา เราว่านี่แหละเสน่ห์ของคนข้างๆทาง)
จากนั้นก็พักผ่อน เตรียมตัวเพื่อฮาล์ฟ 21 กิโล พรุ่งนี้คร่าาาา