สวัสดีค่าาา เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวพันทิปทุกคน : )
พอดีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (วันที่ 20 กันยายน) เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวที่
พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก หรือ
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก มาค่ะ ก็เลยอยากเอาประสบการณ์ดีๆ น่าประทับใจมาแบ่งปันให้ทุกคนได้อ่านกัน
ความจริงวันนั้นเรากับเดอะแกงค์ได้ไปเยี่ยมชมสถานฑูตฝรั่งเศสที่ซอยเจริญกรุง 36 ด้วยค่ะ เนื่องจากวันที่ 20 กันยายน เป็นวันมรดกยุโรปทางสถานฑูตเลยเปิดให้เข้าชมฟรี ภายในก็สวยงามคลาสสิคตามท้องเรื่องค่ะ ประทับใจมาก ยังไงถ้าใครสนใจปีหน้ามีโอกาสลองไปเยี่ยมชมดูนะคะ ^^
กลับมาที่พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกเมนหลักของกระทู้นี้นะคะ หลังจากเดินชมสถานฑูตฝรั่งเศสกันจนเต็มอิ่มแล้วพวกเราก็มาเที่ยวที่นี่ต่อ ทั้งสองที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกันเท่าไรค่ะ พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกตั้งอยู่ซอยเจริญกรุง 43 ประวัติโดยย่อที่ขออนุญาตยกมาจากใบโบรชัวร์ที่เขาแจกให้ก็คือที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดตั้งขึ้นตามความตั้งใจของ รศ. วราพร สุรวดี ค่ะ แต่เดิมที่นี่เป็นที่อยู่ของครอบครัวสุรวดี โดยบ้านหลังนี้เป็นมรดกที่อาจารย์ได้มาจากคุณแม่ก็คือ คุณยายสอาง โดยอาจารย์วราพรได้ทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ให้กรุงเทพมหานครเมื่อปี ๒๕๔๗ ค่ะ
ภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์จะมีเรือนทั้งหมดสี่หลัง เรือนหลังแรกมีลักษณะเป็นที่อยู่อาศัย เรือนหลังที่สองเป็นเรือนที่ยกมาจากทุ่งมหาเมฆ เรือนที่สามเมื่อก่อนเป็นห้องแถวยาวเรียงกันหกแถวให้คนเช่า ส่วนเรือนหลังที่สี่ปัจจุบันเป็นอาจารย์วราพรใช้เป็นที่พักค่ะ ด้านล่างเป็นเหมือนพื้นที่สำนักงานกับที่ขายของที่ระลึกประมาณนั้นค่ะ ยังไงเดี๋ยวเราจะอธิบายแต่ละส่วนอีกทีละกันเนาะ
วันที่เราไปพวกเราไปถึงกันประมาณบ่ายสองกว่าๆ แล้วค่ะ แอบรีบอยู่เหมือนกันเพราะกลัวจะไม่ทัน ปกติพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกปิดสี่โมงเย็นค่ะ พอไปถึงระหว่างยืนรอเพื่อนอีกคนอยู่ข้างหน้าก็มีคุณยายท่านหนึ่งเดินมาทักทาย พวกเราก็ยกมือไหว้กันไป คุณยายยิ้มแย้มแจ่มใส ใจดีมากๆ ค่ะ ซึ่งพวกเราก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคุณยายท่านนั้นคืออาจารย์วราพร ทายาทรุ่นปัจจุบันของคุณยายสอางที่เคยเป็นเจ้าของที่นี่นั่นเอง
พอสมาชิกมาครบอีกครั้ง พวกเราก็เริ่มต้นกันที่เรือนหลังแรกค่ะ ที่นี่มีไกด์ให้ด้วยนะคะ พี่ไกด์เค้าจะพาเราเดินชมทีละเรือนเลย อันนี้เราชอบมากเลยค่ะ เราว่ามันสนุกกว่าเดินดูๆ ถ่ายรูปๆ แล้วก็กลับเยอะ เหมือนเป็นการพูดคุยกัน เล่าสู่กันฟัง ได้ความรู้ด้วย เพลินด้วย
เรือนหลังแรกเป็นเรือนไม้สักสองชั้น พี่ไกด์บอกว่าการออกแบบได้รับอิทธิพลมาจากทางยุโรปซึ่งเป็นที่นิยมในยุคนั้นค่ะ เรียกกันว่า เรือนปั้นหยารุ่นปลาย อย่างที่เกริ่นตอนแรกที่นี่แต่เดิมเป็นเรือนที่ครอบครัวสุรวดีใช้เป็นที่อยู่อาศัยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดเห็นว่าอยู่กัน 11 คนเลยทีเดียว ชั้นล่างก็จะแบ่งเป็นห้องต่างๆ มีห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องหนังสือ แล้วก็ห้องน้ำ อันนี้พี่ไกด์ก็บอกเหมือนกันว่าปกติคนมีฐานะสมัยก่อนเค้าจะไม่ค่อยให้แขกเข้าไปถึงห้องรับแขกด้านในเท่าไร จะรับรองแค่ส่วนหน้าบ้านเท่านั้นค่ะ อ้อ ที่นี่ใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายละครด้วยนะคะ หลายเรื่องเลย ที่พี่ไกด์รู้จักก็จะมีเมื่อดอกรักบานกับบ่วงบาป
ขออนุญาตลงรูปกันยาวๆ ละกันเนาะ ด้านบนเป็นห้องรับแขกค่ะ
ขึ้นไปดูชั้นบนกันค่ะ ชั้นบนจะเป็นห้องนอน มีทั้งห้องนอนใหญ่ ห้องคุณยายสอางที่เป็นคุณแม่ของอาจารย์วราพร แล้วก็ห้องแต่งตัวค่ะ
เตียงนี้น่านอนมากกกก ขึ้นชั้นบนไปก็เจอเลย คิดว่าคงเอาไว้ให้คุณยายสอางพักผ่อนหย่อนใจ
ห้องด้านบนเป็นห้องคุณยายสอางค่ะ เราชอบห้องนี้ที่สุดเลย เป็นห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ อยู่สบายๆ เตียงนอนคือสวยมาก เดินเข้าไปนี่นึกว่าตัวเองเป็นแม่หญิงเลยค่ะ ฮ่าๆๆ
มีจักรเย็นผ้า singer ด้วย เคยเห็นกันไหมคะ? เมื่อก่อนคุณแม่เราก็ใช้จักรแบบนี้ เห็นแล้วคิดถึงวันวานมากๆ
ถัดไปจะเป็นห้องนอนใหญ่อีกห้องนึงนะคะ
มีห้องแต่งตัวด้วย ที่เห็นตู้เสื้อผ้าตู้ใหญ่ๆ อันนั้น พี่ไกด์บอกว่าเป็นตู้ที่คุณหมอฟรานซิส สามีคนแรกของคุณยายสอางซื้อให้เป็นของขวัญวันแต่งงานค่ะ
จบจากเรือนหลังแรกก็ไปต่อกันที่เรือนหลังที่สองนะคะ เรือนหลังนี้แต่เดิมตั้งอยู่ที่ซอยงามดูพลี ทุ่งมหาเมฆค่ะ ชั้นล่างจะเป็นคลีนิคของคุณหมอฟรานซิส ส่วนชั้นบนเป็นห้องนอน แต่ว่ายังสร้างไม่ทันเสร็จคุณหมอฟรานซิสก็ล้มป่วยและเสียชีวิตเสียก่อน พอมาถึงรุ่นอาจารย์วราพร อาจารย์ก็รื้อเรือนที่ทุ่งมหาเมฆมา ยกมาสร้างไว้ที่นี่ค่ะ
ปัจจุบันด้านล่างจะเป็นที่แสดงภาพวาด ขายด้วยนะคะ สวยทุกภาพเลย
ด้านบนเป็นภาพที่เราชอบที่สุดค่ะ แต่เค้าไม่มีราคาติดไว้ พี่ไกด์บอกว่าสงสัยจะไม่ขาย ฮ่าๆๆ ส่วนชั้นสองก็ยังคงเป็นห้องนอนของคุณหมอฟรานซิสตามความตั้งใจเดิมค่ะ
มีรูปปั้นคุณหมอฟรานซิสด้วยค่ะ ปั้นโดย ศ. ศิลป์ พีระศรี บรมครูศิลปะร่วมสมัยของไทย
ส่วนเรือนหลังที่สามนั้น ที่เกริ่นตอนแรกนะคะว่าเดิมเป็นห้องแถวหกแถวที่ให้คนเช่า หลังจากยกที่ให้กรุงเทพฯ ห้องแถวหกแถวก็ถูกทุบผนังรวมเป็นห้องกว้างๆ ห้องเดียวกันหนึ่งห้องค่ะ มีสองชั้นเหมือนกัน ชั้นล่างจะจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของชาวกรุงสมัยก่อน มีบัตรประชาชนของอาจารย์วราพรด้วย
ข้างบนเราพยายามอ่านหลายรอบมากว่าเป็นใบขับขี่ จักรยาน จริงๆ รึเปล่า สมัยนั้นคงยังไม่มีจักรยานยนต์เนาะ หรือมีแล้วก็ไม่แน่ใจ น่ารักดีค่ะ เราคนรุ่นนี้ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน
ข้าวของที่จัดแสดงเห็นแล้วนึกถึงปู่ย่าตายายเลยค่ะ เราจำได้อย่างชุดตักบาตร หม้อชามรามไห กระทะ ตะเกียง หรืออย่างตู้กับข้าว ของพวกนี้เราเคยเห็นที่บ้านปู่ย่าตายายของเรา เดินดูไปก็คิดถึงพวกท่านไปค่ะ
ชั้นสองของเรือนหลังนี้จะเป็นนิทรรศการภาพรวมของกรุงเทพฯ และบางรัก ซึ่งเป็นส่วนที่เราสามารถเดินอ่านเองได้ค่ะ
เรือนสุดท้าย พี่ไกด์บอกว่าเป็นที่พักของอาจารย์วราพรค่ะ แล้วด้านล่างก็ทำเป็นห้องสมุด สำนักงานนิดหน่อย แล้วก็ที่ขายของที่ระลึก ตอนเราไปอาจารย์วราพรนั่งเล่นเกมไพ่ในคอมอยู่ด้วย น่ารักมาๆ ^^
เราเดินชมที่นี่เสร็จกันตอนสี่โมงเย็นพอดีค่ะ ความจริงอยากจะอยู่กันต่ออีกสักหน่อยแต่เค้าจะปิดแล้ว ก่อนกลับได้ถ่ายรูปกับอาจารย์วราพรด้วย อาจารย์บอกว่า 'ถ้าชอบที่นี่ ก็ชวนเพื่อนๆ มากันอีกเยอะๆ นะ' จึงเป็นที่มาของกระทู้นี้ของเราค่ะ
เราชอบพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก เลยอยากบอกต่อ อยากชวนเพื่อนๆ มาย้อนวันวานของชาวกรุงที่นี่กัน
ถ้าใครสนใจวันเดย์ทริปแบบได้ความรู้ด้วยได้ความเพลิดเพลินด้วยก็หาโอกาสมาเที่ยวดูนะคะ
สุดท้ายนี้หากมีข้อมูลอะไรที่ผิดพลาดไปต้องขออภัย ไว้มีโอกาสได้ไปเที่ยวสถานที่น่าสนใจจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกนะคะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ด้วยค่า ^^
ข้อมูลเพิ่มเติม
- พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกตั้งอยู่ซอย เจริญกรุง 43 ค่ะ เดินทางสะดวก คือเรานั่งบีทีเอสไปลงสะพานตากสินแล้วต่อแท็กซี่เอา แป๊บเดียวก็ถึง รถตุ๊กตุ๊กก็มีนะคะ ส่วนรถเมล์สายอะไรอันนี้ไม่แน่ใจ
- ที่นี่เปิดวันพุธ ถึง วันอาทิตย์ ตั้งแต่สิบโมง ถึง สี่โมงเย็นค่ะ
- ไม่เสียค่าเข้าชม แต่ถ้าใครอยากช่วยค่าซ่อมบำรุงหรือค่าทิปพี่ไกด์เค้าก็จะมีกล่องน้อยๆ ให้หย่อนสินน้ำใจได้นะคะ แล้วแต่สะดวกเลย หรือจะซื้อของที่ระลึกก็ได้ เป็นพวกสมุด โปสการ์ด อะไรแบบนี้ มีหลายแบบให้เลือก น่ารักดีค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านอีกครั้งนะคะ ^^
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้facebook - https://www.facebook.com/mookz.wilyrover
twitter - https://twitter.com/WilyRover
ig - WilyRover
ย้อนวันวานชาวกรุงที่ - พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ช า ว บ า ง ก อ ก -
พอดีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (วันที่ 20 กันยายน) เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก หรือ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก มาค่ะ ก็เลยอยากเอาประสบการณ์ดีๆ น่าประทับใจมาแบ่งปันให้ทุกคนได้อ่านกัน
ความจริงวันนั้นเรากับเดอะแกงค์ได้ไปเยี่ยมชมสถานฑูตฝรั่งเศสที่ซอยเจริญกรุง 36 ด้วยค่ะ เนื่องจากวันที่ 20 กันยายน เป็นวันมรดกยุโรปทางสถานฑูตเลยเปิดให้เข้าชมฟรี ภายในก็สวยงามคลาสสิคตามท้องเรื่องค่ะ ประทับใจมาก ยังไงถ้าใครสนใจปีหน้ามีโอกาสลองไปเยี่ยมชมดูนะคะ ^^
กลับมาที่พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกเมนหลักของกระทู้นี้นะคะ หลังจากเดินชมสถานฑูตฝรั่งเศสกันจนเต็มอิ่มแล้วพวกเราก็มาเที่ยวที่นี่ต่อ ทั้งสองที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกันเท่าไรค่ะ พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกตั้งอยู่ซอยเจริญกรุง 43 ประวัติโดยย่อที่ขออนุญาตยกมาจากใบโบรชัวร์ที่เขาแจกให้ก็คือที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดตั้งขึ้นตามความตั้งใจของ รศ. วราพร สุรวดี ค่ะ แต่เดิมที่นี่เป็นที่อยู่ของครอบครัวสุรวดี โดยบ้านหลังนี้เป็นมรดกที่อาจารย์ได้มาจากคุณแม่ก็คือ คุณยายสอาง โดยอาจารย์วราพรได้ทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ให้กรุงเทพมหานครเมื่อปี ๒๕๔๗ ค่ะ
ภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์จะมีเรือนทั้งหมดสี่หลัง เรือนหลังแรกมีลักษณะเป็นที่อยู่อาศัย เรือนหลังที่สองเป็นเรือนที่ยกมาจากทุ่งมหาเมฆ เรือนที่สามเมื่อก่อนเป็นห้องแถวยาวเรียงกันหกแถวให้คนเช่า ส่วนเรือนหลังที่สี่ปัจจุบันเป็นอาจารย์วราพรใช้เป็นที่พักค่ะ ด้านล่างเป็นเหมือนพื้นที่สำนักงานกับที่ขายของที่ระลึกประมาณนั้นค่ะ ยังไงเดี๋ยวเราจะอธิบายแต่ละส่วนอีกทีละกันเนาะ
วันที่เราไปพวกเราไปถึงกันประมาณบ่ายสองกว่าๆ แล้วค่ะ แอบรีบอยู่เหมือนกันเพราะกลัวจะไม่ทัน ปกติพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกปิดสี่โมงเย็นค่ะ พอไปถึงระหว่างยืนรอเพื่อนอีกคนอยู่ข้างหน้าก็มีคุณยายท่านหนึ่งเดินมาทักทาย พวกเราก็ยกมือไหว้กันไป คุณยายยิ้มแย้มแจ่มใส ใจดีมากๆ ค่ะ ซึ่งพวกเราก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคุณยายท่านนั้นคืออาจารย์วราพร ทายาทรุ่นปัจจุบันของคุณยายสอางที่เคยเป็นเจ้าของที่นี่นั่นเอง
พอสมาชิกมาครบอีกครั้ง พวกเราก็เริ่มต้นกันที่เรือนหลังแรกค่ะ ที่นี่มีไกด์ให้ด้วยนะคะ พี่ไกด์เค้าจะพาเราเดินชมทีละเรือนเลย อันนี้เราชอบมากเลยค่ะ เราว่ามันสนุกกว่าเดินดูๆ ถ่ายรูปๆ แล้วก็กลับเยอะ เหมือนเป็นการพูดคุยกัน เล่าสู่กันฟัง ได้ความรู้ด้วย เพลินด้วย
เรือนหลังแรกเป็นเรือนไม้สักสองชั้น พี่ไกด์บอกว่าการออกแบบได้รับอิทธิพลมาจากทางยุโรปซึ่งเป็นที่นิยมในยุคนั้นค่ะ เรียกกันว่า เรือนปั้นหยารุ่นปลาย อย่างที่เกริ่นตอนแรกที่นี่แต่เดิมเป็นเรือนที่ครอบครัวสุรวดีใช้เป็นที่อยู่อาศัยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดเห็นว่าอยู่กัน 11 คนเลยทีเดียว ชั้นล่างก็จะแบ่งเป็นห้องต่างๆ มีห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องหนังสือ แล้วก็ห้องน้ำ อันนี้พี่ไกด์ก็บอกเหมือนกันว่าปกติคนมีฐานะสมัยก่อนเค้าจะไม่ค่อยให้แขกเข้าไปถึงห้องรับแขกด้านในเท่าไร จะรับรองแค่ส่วนหน้าบ้านเท่านั้นค่ะ อ้อ ที่นี่ใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายละครด้วยนะคะ หลายเรื่องเลย ที่พี่ไกด์รู้จักก็จะมีเมื่อดอกรักบานกับบ่วงบาป
ขออนุญาตลงรูปกันยาวๆ ละกันเนาะ ด้านบนเป็นห้องรับแขกค่ะ
ขึ้นไปดูชั้นบนกันค่ะ ชั้นบนจะเป็นห้องนอน มีทั้งห้องนอนใหญ่ ห้องคุณยายสอางที่เป็นคุณแม่ของอาจารย์วราพร แล้วก็ห้องแต่งตัวค่ะ
เตียงนี้น่านอนมากกกก ขึ้นชั้นบนไปก็เจอเลย คิดว่าคงเอาไว้ให้คุณยายสอางพักผ่อนหย่อนใจ
ห้องด้านบนเป็นห้องคุณยายสอางค่ะ เราชอบห้องนี้ที่สุดเลย เป็นห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ อยู่สบายๆ เตียงนอนคือสวยมาก เดินเข้าไปนี่นึกว่าตัวเองเป็นแม่หญิงเลยค่ะ ฮ่าๆๆ
มีจักรเย็นผ้า singer ด้วย เคยเห็นกันไหมคะ? เมื่อก่อนคุณแม่เราก็ใช้จักรแบบนี้ เห็นแล้วคิดถึงวันวานมากๆ
ถัดไปจะเป็นห้องนอนใหญ่อีกห้องนึงนะคะ
มีห้องแต่งตัวด้วย ที่เห็นตู้เสื้อผ้าตู้ใหญ่ๆ อันนั้น พี่ไกด์บอกว่าเป็นตู้ที่คุณหมอฟรานซิส สามีคนแรกของคุณยายสอางซื้อให้เป็นของขวัญวันแต่งงานค่ะ
จบจากเรือนหลังแรกก็ไปต่อกันที่เรือนหลังที่สองนะคะ เรือนหลังนี้แต่เดิมตั้งอยู่ที่ซอยงามดูพลี ทุ่งมหาเมฆค่ะ ชั้นล่างจะเป็นคลีนิคของคุณหมอฟรานซิส ส่วนชั้นบนเป็นห้องนอน แต่ว่ายังสร้างไม่ทันเสร็จคุณหมอฟรานซิสก็ล้มป่วยและเสียชีวิตเสียก่อน พอมาถึงรุ่นอาจารย์วราพร อาจารย์ก็รื้อเรือนที่ทุ่งมหาเมฆมา ยกมาสร้างไว้ที่นี่ค่ะ
ปัจจุบันด้านล่างจะเป็นที่แสดงภาพวาด ขายด้วยนะคะ สวยทุกภาพเลย
ด้านบนเป็นภาพที่เราชอบที่สุดค่ะ แต่เค้าไม่มีราคาติดไว้ พี่ไกด์บอกว่าสงสัยจะไม่ขาย ฮ่าๆๆ ส่วนชั้นสองก็ยังคงเป็นห้องนอนของคุณหมอฟรานซิสตามความตั้งใจเดิมค่ะ
มีรูปปั้นคุณหมอฟรานซิสด้วยค่ะ ปั้นโดย ศ. ศิลป์ พีระศรี บรมครูศิลปะร่วมสมัยของไทย
ส่วนเรือนหลังที่สามนั้น ที่เกริ่นตอนแรกนะคะว่าเดิมเป็นห้องแถวหกแถวที่ให้คนเช่า หลังจากยกที่ให้กรุงเทพฯ ห้องแถวหกแถวก็ถูกทุบผนังรวมเป็นห้องกว้างๆ ห้องเดียวกันหนึ่งห้องค่ะ มีสองชั้นเหมือนกัน ชั้นล่างจะจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของชาวกรุงสมัยก่อน มีบัตรประชาชนของอาจารย์วราพรด้วย
ข้างบนเราพยายามอ่านหลายรอบมากว่าเป็นใบขับขี่ จักรยาน จริงๆ รึเปล่า สมัยนั้นคงยังไม่มีจักรยานยนต์เนาะ หรือมีแล้วก็ไม่แน่ใจ น่ารักดีค่ะ เราคนรุ่นนี้ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน
ข้าวของที่จัดแสดงเห็นแล้วนึกถึงปู่ย่าตายายเลยค่ะ เราจำได้อย่างชุดตักบาตร หม้อชามรามไห กระทะ ตะเกียง หรืออย่างตู้กับข้าว ของพวกนี้เราเคยเห็นที่บ้านปู่ย่าตายายของเรา เดินดูไปก็คิดถึงพวกท่านไปค่ะ
ชั้นสองของเรือนหลังนี้จะเป็นนิทรรศการภาพรวมของกรุงเทพฯ และบางรัก ซึ่งเป็นส่วนที่เราสามารถเดินอ่านเองได้ค่ะ
เรือนสุดท้าย พี่ไกด์บอกว่าเป็นที่พักของอาจารย์วราพรค่ะ แล้วด้านล่างก็ทำเป็นห้องสมุด สำนักงานนิดหน่อย แล้วก็ที่ขายของที่ระลึก ตอนเราไปอาจารย์วราพรนั่งเล่นเกมไพ่ในคอมอยู่ด้วย น่ารักมาๆ ^^
เราเดินชมที่นี่เสร็จกันตอนสี่โมงเย็นพอดีค่ะ ความจริงอยากจะอยู่กันต่ออีกสักหน่อยแต่เค้าจะปิดแล้ว ก่อนกลับได้ถ่ายรูปกับอาจารย์วราพรด้วย อาจารย์บอกว่า 'ถ้าชอบที่นี่ ก็ชวนเพื่อนๆ มากันอีกเยอะๆ นะ' จึงเป็นที่มาของกระทู้นี้ของเราค่ะ
เราชอบพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก เลยอยากบอกต่อ อยากชวนเพื่อนๆ มาย้อนวันวานของชาวกรุงที่นี่กัน
ถ้าใครสนใจวันเดย์ทริปแบบได้ความรู้ด้วยได้ความเพลิดเพลินด้วยก็หาโอกาสมาเที่ยวดูนะคะ
สุดท้ายนี้หากมีข้อมูลอะไรที่ผิดพลาดไปต้องขออภัย ไว้มีโอกาสได้ไปเที่ยวสถานที่น่าสนใจจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกนะคะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ด้วยค่า ^^
ข้อมูลเพิ่มเติม
- พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกตั้งอยู่ซอย เจริญกรุง 43 ค่ะ เดินทางสะดวก คือเรานั่งบีทีเอสไปลงสะพานตากสินแล้วต่อแท็กซี่เอา แป๊บเดียวก็ถึง รถตุ๊กตุ๊กก็มีนะคะ ส่วนรถเมล์สายอะไรอันนี้ไม่แน่ใจ
- ที่นี่เปิดวันพุธ ถึง วันอาทิตย์ ตั้งแต่สิบโมง ถึง สี่โมงเย็นค่ะ
- ไม่เสียค่าเข้าชม แต่ถ้าใครอยากช่วยค่าซ่อมบำรุงหรือค่าทิปพี่ไกด์เค้าก็จะมีกล่องน้อยๆ ให้หย่อนสินน้ำใจได้นะคะ แล้วแต่สะดวกเลย หรือจะซื้อของที่ระลึกก็ได้ เป็นพวกสมุด โปสการ์ด อะไรแบบนี้ มีหลายแบบให้เลือก น่ารักดีค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านอีกครั้งนะคะ ^^
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้