หลัง ๆ มานี่ดูละครไทยบ่อยขึ้น สลับ ๆ กันไป ไม่ได้ดูช่องไหนมากเป็นพิเศษ โดยทั่วไปก็มักจะติดตามละครที่ทำจาก "นิยาย" ที่เคยได้อ่านแล้ว บางเรื่องก็เป็นละครที่มาจาก Original Script ซึ่งส่วนหนึ่งหลังจากที่แคสติ้งฟิตติ้งอะไรต่าง ๆ มันก็ต้องมีบท และ ในบทก็คงหนีไม่พ้นการตีความตัวละครออกมา เราไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าอะไรมันมาก่อนกันสำหรับระบบการทำละครของไทย คือ ได้ตัวนักแสดงแล้วหาเรื่องมาทำ หรือ ได้เรื่องมาทำแล้ววางตัวนักแสดง แต่เอาเถอะถือว่าเป็นที่มาของกระทู้นี้ละกัน
คือว่าหลัง ๆ นี่ละครที่ผ่านตาเรา (กรณีนิยาย) ที่แบบว่าเป็นฟอร์มใหญ่นิยายดัง ดูการตีความตัวละคร ... ยังไงดีล่ะ ออกนอกกรอบบทประพันธ์ เรียกแบบนี้ได้ไหม ? ก็เข้าใจว่าการตีความก็ย่อมเป็นอิสระของทีมงาน (ผกก. คนเขียนบท ร่วมด้วยนักแสดงเอง) ซึ่งร่วมกันสร้างผลผลิตออกมาเป็นตัวละครนั้น ๆ ออกมาให้ชม บางทีเราในฐานะคนอ่านนิยายก็เคยออกโรงแย้ง ๆ ไปบ้าง และ หลายครั้งได้รับคำตอบกลับมาว่า "ทำไมต้องเหมือนบทประพันธ์ด้วย" (อ้าวววว แล้วที่เอาเรื่องเขามาทำไม่ได้ต้องการให้เหมือนหรอกรึ ? ) ถึงกับไปไม่เป็นไปพักนึง
ปัญหาเรื่องนอกกรอบบทประพันธ์ที่เราว่านั้นก็ประมาณว่า
ประการแรก ... ก็คงประเด็นเดียวกับคุณผู้สาวเมืองยศนะ คือไล่มาตั้งแต่การแคสกันเลย ตั้งแต่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกไปจนอินเนอร์ บางบทวางตัวละครบอกโต้ง ๆ ว่าเป็นผู้ใหญ่ บุคคลิกซับซ้อน แต่เอาเด็กน้อยที่ยังไม่มีประสบการณ์มาเล่น บอกตรง ๆ ตามเรื่องว่ามองหน้าแล้วอายุ 30 กว่า แคสเอานักแสดงหน้าใสแจ๋วแหววมาเล่น คือเล่นได้มันก็คงเล่นได้อ่ะแหละ เพียงแต่จะทำให้น่าเชื่อถือนั้นยากหน่อย เด็กวัย teen หรือ 20 น้อย ๆ จะแอ๊บอินเนอร์ว่ามีประสบการณ์ มีวัยวุฒิคุณวุฒิ (กรณีบทต้องการเช่นนั้นจริง ๆ เช่น เป็นนายคน เป็นผู้บริหาร เป็นคนถือไม้เรียวกำราบ อะไรก็ว่าไป) บางเรื่องมันแอ๊บกันไม่ได้นะเราว่า ยิ่งประดิษฐ์ไปประดิษฐ์มาอาจจะกลายเป็นเด็กเล่นขายของได้ อันนี้ไม่ต้องกล่าวเพิ่มเติมกันเนาะ กระทู้ของคุณผู้สาวฯก็ว่ากันไปเยอะแล้ว
ประการที่สอง ... กรณีนี้แคสไม่มีปัญหาจัดมาแบบเหมาะใจทั้งหน้าตา และ อินเนอร์ เห็นภาพตามบทประพันธ์ว่ามา แต่พอแสดงออกมาจริง ๆ แล้ว อะฮึ ... เรื่องเดียวกะที่ตูอ่านเรอะ ????? แนวนี้หลัง ๆ มีมาเรื่อย ๆ ในช่องหลัก (จริงก็น่าจะมีมานานแล้วแต่รู้สึกพักหลัง ๆ มาถี่) อย่างกรณีทวิภพ เวอร์ชั่นล่าสุด กับ ทรายสีเพลิงเวอร์ชั่นล่าสุด เป็น 2 เรื่องที่ รู้สึกว่าแคสก็โอเคนะ ดูท่าทางโปรดัคชั่นดีด้วย แต่พอออกมาแล้ว ... รู้สึกตะขิดตะขวงในฐานะคนอ่านนิยาย ตัวนำเป็นหญิงแบบแพ็คคู่เนอะทั้งสองเรื่อง
เรื่องแรก ... มณีจันทร์ หรือ เมณี่ เป็นสาวสมัย เรียบร้อยดังผ้าพับไว้ในโรงจำนำ (อย่างตรองว่า) หากแม่มณีเธอก็เป็นลูกสาวท่านทูตที่ไว้ลาย และ ไว้หน้าพ่อแม่อยู่บ้าง (ฮา) อาจจะช่างเย้าช่างแหย่ แต่รู้กาละ และ เทศะ กล้าแต่ไม่กระด้าง ร่าเริงช่างซักกล้าพูดกล้าคิดกว่าหญิงอื่นในสมัยนั้น แต่ก็มีมาดอย่างลูกผู้ดีได้รับการอบรมให้รู้การควรไม่ควร คุณหญิงแสร์มองว่ากล้าและน่ารัก คุณหลวงมองว่ามณีสดใสและสมาร์ท ส่วนคนนอกมองว่าเปิ๊ดสะก๊าดและทันสมัยเหมาะเป็นคุณหญิงทูต แต่พอมีตีบทออกมาจริง ๆ คุณมณีกลายเป็นแม่มณีรัตนาแก้วหน้าม้าไปซะยังงั้น ถ้าเอาตรง ๆ คือแทนที่จะดูว่าร่าเริงแจ่มใสพาลจะมองว่ามณีเต็มหรือไม่เต็มซะมากกว่า
เรื่องหลัง ... ละครดราม่า ว่าด้วยหญิงสาวที่จะกลับมาทวงทุกอย่างที่เป็นของตัวเองคืน หากว่าด้วยปัจจุบันผู้หญิงอย่างศรุตามีทุกอย่างมากกว่าที่บ้านทางเมืองไทยมี ดังนั้นจะว่ามาทวงสิ่งที่เป็นของตัวเองคืนก็คงจะไม่ถูกต้องนัก มันน่าจะเป็นการกลับมาทำลายสัญลักษณ์แห่งความพ่ายแพ้ (ครั้งแรก และ สำหรับศรุตาก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่แพ้ด้วย) ทรายไม่ได้กลับมาด้วยใบหน้าเคียดแค้นนะ แต่อารมณ์แบบดูถูกเนื่องด้วยว่าตัวเองมีทุกสิ่งอย่าง ที่มานี่ก็ว่าจะมาสร้างความปั่นหัวแบบเนียน ๆ ให้คุณเสาวณีย์และคุณศกให้เจ็บเหมือนที่เธอกับแม่เป็นเสียบ้าง เพราะฉะนั้นฉากหน้าเคลือบน้ำตาลมาจนใคร ๆ ก็ดูไม่ออก คนเห็นแต่ความหวังดีที่ทรายมีให้น้อง โดยที่ทรายนึกสมใจอยู่เงียบ ๆ แต่พอเป็นการแสดงในละครมันไม่ดูเนียน กลับทำให้คนดูส่วนใหญ่แปลกใจแทนว่าสรุปแล้วคือไม่มีใครดูออกเลยเหรอ หน้าชัดขนาดนั้น การแสดงออกชัดขนาดนั้น wave ขึ้นลงในคาแร็คเตอร์ช่วงท้าย ๆ ที่เริ่มสัมผัสความจริงใจจากลูกศรก็ไม่มี พอมาถึงฉากสำนึกภายหลังกลายเป็นไม่มีใครอยากให้อภัยทรายซะแล้ว ทรายจากบทประพันธ์ที่น่าเห็นใจกลายเป็นโดนกระหน่ำซ้ำเติมกันไปเลยทีเดียว
คือในประเด็นที่สองนี้มีข้อแก้ต่างที่เคยได้อ่านผ่านตาได้ยินผ่านหู เนื่องจากว่าเป็นละครรีเมค ก็เลยมีเสียงลอยลมมาว่า ก็นี่รีเมคนะไม่ได้ copy จะให้เหมือนเดิมได้ยังไง (ณ ตอนนั้นมีการเปรียบเทียบเวอร์ชั่นเก่า) จริง ๆ แล้วที่ต้องการจะสื่อก็คือว่า เปล่า ... ไม่ได้จะเอาไปเทียบกับเวอร์ชั่นเก่า แต่เราเทียบกับบทประพันธ์ว่าบุคคลิกลักษณะนิสัยตัวละครมันย่อมมีที่มาที่ไป และ มีความหมายที่ต้องการสื่อ สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน บริบทเปลี่ยนก็เอาเถอะ แต่แก่นที่เป็นตัวดำเนินเรื่องไป เช่น ใจความหลักของเรื่อง อุปนิสัยลักษณะตัวละคร ตรงนี้เราคิดว่ามันไม่น่าเป็นประเด็นที่ต้อง "ปรับให้เข้ากับยุคสมัย" ตามที่ได้ยินการกล่าวอ้างอยู่บ่อย ๆ
จากกระทู้แคสนักแสดง ... ขอตั้งข้อสังเกตถึงการตีความ "ตัวละคร"
คือว่าหลัง ๆ นี่ละครที่ผ่านตาเรา (กรณีนิยาย) ที่แบบว่าเป็นฟอร์มใหญ่นิยายดัง ดูการตีความตัวละคร ... ยังไงดีล่ะ ออกนอกกรอบบทประพันธ์ เรียกแบบนี้ได้ไหม ? ก็เข้าใจว่าการตีความก็ย่อมเป็นอิสระของทีมงาน (ผกก. คนเขียนบท ร่วมด้วยนักแสดงเอง) ซึ่งร่วมกันสร้างผลผลิตออกมาเป็นตัวละครนั้น ๆ ออกมาให้ชม บางทีเราในฐานะคนอ่านนิยายก็เคยออกโรงแย้ง ๆ ไปบ้าง และ หลายครั้งได้รับคำตอบกลับมาว่า "ทำไมต้องเหมือนบทประพันธ์ด้วย" (อ้าวววว แล้วที่เอาเรื่องเขามาทำไม่ได้ต้องการให้เหมือนหรอกรึ ? ) ถึงกับไปไม่เป็นไปพักนึง
ปัญหาเรื่องนอกกรอบบทประพันธ์ที่เราว่านั้นก็ประมาณว่า
ประการแรก ... ก็คงประเด็นเดียวกับคุณผู้สาวเมืองยศนะ คือไล่มาตั้งแต่การแคสกันเลย ตั้งแต่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกไปจนอินเนอร์ บางบทวางตัวละครบอกโต้ง ๆ ว่าเป็นผู้ใหญ่ บุคคลิกซับซ้อน แต่เอาเด็กน้อยที่ยังไม่มีประสบการณ์มาเล่น บอกตรง ๆ ตามเรื่องว่ามองหน้าแล้วอายุ 30 กว่า แคสเอานักแสดงหน้าใสแจ๋วแหววมาเล่น คือเล่นได้มันก็คงเล่นได้อ่ะแหละ เพียงแต่จะทำให้น่าเชื่อถือนั้นยากหน่อย เด็กวัย teen หรือ 20 น้อย ๆ จะแอ๊บอินเนอร์ว่ามีประสบการณ์ มีวัยวุฒิคุณวุฒิ (กรณีบทต้องการเช่นนั้นจริง ๆ เช่น เป็นนายคน เป็นผู้บริหาร เป็นคนถือไม้เรียวกำราบ อะไรก็ว่าไป) บางเรื่องมันแอ๊บกันไม่ได้นะเราว่า ยิ่งประดิษฐ์ไปประดิษฐ์มาอาจจะกลายเป็นเด็กเล่นขายของได้ อันนี้ไม่ต้องกล่าวเพิ่มเติมกันเนาะ กระทู้ของคุณผู้สาวฯก็ว่ากันไปเยอะแล้ว
ประการที่สอง ... กรณีนี้แคสไม่มีปัญหาจัดมาแบบเหมาะใจทั้งหน้าตา และ อินเนอร์ เห็นภาพตามบทประพันธ์ว่ามา แต่พอแสดงออกมาจริง ๆ แล้ว อะฮึ ... เรื่องเดียวกะที่ตูอ่านเรอะ ????? แนวนี้หลัง ๆ มีมาเรื่อย ๆ ในช่องหลัก (จริงก็น่าจะมีมานานแล้วแต่รู้สึกพักหลัง ๆ มาถี่) อย่างกรณีทวิภพ เวอร์ชั่นล่าสุด กับ ทรายสีเพลิงเวอร์ชั่นล่าสุด เป็น 2 เรื่องที่ รู้สึกว่าแคสก็โอเคนะ ดูท่าทางโปรดัคชั่นดีด้วย แต่พอออกมาแล้ว ... รู้สึกตะขิดตะขวงในฐานะคนอ่านนิยาย ตัวนำเป็นหญิงแบบแพ็คคู่เนอะทั้งสองเรื่อง
เรื่องแรก ... มณีจันทร์ หรือ เมณี่ เป็นสาวสมัย เรียบร้อยดังผ้าพับไว้ในโรงจำนำ (อย่างตรองว่า) หากแม่มณีเธอก็เป็นลูกสาวท่านทูตที่ไว้ลาย และ ไว้หน้าพ่อแม่อยู่บ้าง (ฮา) อาจจะช่างเย้าช่างแหย่ แต่รู้กาละ และ เทศะ กล้าแต่ไม่กระด้าง ร่าเริงช่างซักกล้าพูดกล้าคิดกว่าหญิงอื่นในสมัยนั้น แต่ก็มีมาดอย่างลูกผู้ดีได้รับการอบรมให้รู้การควรไม่ควร คุณหญิงแสร์มองว่ากล้าและน่ารัก คุณหลวงมองว่ามณีสดใสและสมาร์ท ส่วนคนนอกมองว่าเปิ๊ดสะก๊าดและทันสมัยเหมาะเป็นคุณหญิงทูต แต่พอมีตีบทออกมาจริง ๆ คุณมณีกลายเป็นแม่มณีรัตนาแก้วหน้าม้าไปซะยังงั้น ถ้าเอาตรง ๆ คือแทนที่จะดูว่าร่าเริงแจ่มใสพาลจะมองว่ามณีเต็มหรือไม่เต็มซะมากกว่า
เรื่องหลัง ... ละครดราม่า ว่าด้วยหญิงสาวที่จะกลับมาทวงทุกอย่างที่เป็นของตัวเองคืน หากว่าด้วยปัจจุบันผู้หญิงอย่างศรุตามีทุกอย่างมากกว่าที่บ้านทางเมืองไทยมี ดังนั้นจะว่ามาทวงสิ่งที่เป็นของตัวเองคืนก็คงจะไม่ถูกต้องนัก มันน่าจะเป็นการกลับมาทำลายสัญลักษณ์แห่งความพ่ายแพ้ (ครั้งแรก และ สำหรับศรุตาก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่แพ้ด้วย) ทรายไม่ได้กลับมาด้วยใบหน้าเคียดแค้นนะ แต่อารมณ์แบบดูถูกเนื่องด้วยว่าตัวเองมีทุกสิ่งอย่าง ที่มานี่ก็ว่าจะมาสร้างความปั่นหัวแบบเนียน ๆ ให้คุณเสาวณีย์และคุณศกให้เจ็บเหมือนที่เธอกับแม่เป็นเสียบ้าง เพราะฉะนั้นฉากหน้าเคลือบน้ำตาลมาจนใคร ๆ ก็ดูไม่ออก คนเห็นแต่ความหวังดีที่ทรายมีให้น้อง โดยที่ทรายนึกสมใจอยู่เงียบ ๆ แต่พอเป็นการแสดงในละครมันไม่ดูเนียน กลับทำให้คนดูส่วนใหญ่แปลกใจแทนว่าสรุปแล้วคือไม่มีใครดูออกเลยเหรอ หน้าชัดขนาดนั้น การแสดงออกชัดขนาดนั้น wave ขึ้นลงในคาแร็คเตอร์ช่วงท้าย ๆ ที่เริ่มสัมผัสความจริงใจจากลูกศรก็ไม่มี พอมาถึงฉากสำนึกภายหลังกลายเป็นไม่มีใครอยากให้อภัยทรายซะแล้ว ทรายจากบทประพันธ์ที่น่าเห็นใจกลายเป็นโดนกระหน่ำซ้ำเติมกันไปเลยทีเดียว
คือในประเด็นที่สองนี้มีข้อแก้ต่างที่เคยได้อ่านผ่านตาได้ยินผ่านหู เนื่องจากว่าเป็นละครรีเมค ก็เลยมีเสียงลอยลมมาว่า ก็นี่รีเมคนะไม่ได้ copy จะให้เหมือนเดิมได้ยังไง (ณ ตอนนั้นมีการเปรียบเทียบเวอร์ชั่นเก่า) จริง ๆ แล้วที่ต้องการจะสื่อก็คือว่า เปล่า ... ไม่ได้จะเอาไปเทียบกับเวอร์ชั่นเก่า แต่เราเทียบกับบทประพันธ์ว่าบุคคลิกลักษณะนิสัยตัวละครมันย่อมมีที่มาที่ไป และ มีความหมายที่ต้องการสื่อ สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน บริบทเปลี่ยนก็เอาเถอะ แต่แก่นที่เป็นตัวดำเนินเรื่องไป เช่น ใจความหลักของเรื่อง อุปนิสัยลักษณะตัวละคร ตรงนี้เราคิดว่ามันไม่น่าเป็นประเด็นที่ต้อง "ปรับให้เข้ากับยุคสมัย" ตามที่ได้ยินการกล่าวอ้างอยู่บ่อย ๆ