ใครเคยเปนบ้างคะ คุยกันทุกวันวันละหลายๆชั่วโมงแต่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร

กระทู้คำถาม
สวัสดีเพื่อนๆทุกคนนะคะเป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกของเราเอง ถ้าผิดพลาดอย่างไรก้อขออภัยด้วยนะคะ
ยิ้ม เราเชื่อว่าหลายคนคงมีโมเม้นต์นี้ไอความรู้สึกอัดอั้นอยู่ในใจกับการคุยกันแต่ไม่มีสถานะที่ชัดเจน. ตัวเราเองเป็นมาซักพักอยากจะถามแต่ไม่กล้าเสี่ยงประมาณว่ากลัวจะเสียเพื่อนไปอะไรประมาณนี้ ไม่รู้ว่าเราคิดเข้าข้างตัวเองหรือปล่าว. เรากะเอ(เราขอแทนชื่อผู้ชายคนนั้นว่าเอนะคะ)รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นคือเรียนห้องเดียวกันกับเรา. แต่เอเข้ามันเทอมที่สองคือเค้าเรียนเก่มมาก เราถามอะไรไม่เข้าใจตรงไหนเราก้อจะเข้าไปถามเอก็จะช่วยสอนตลอด ประมาณว่าช่วยเหลือเราตลอดยิ่งไปกว่านั้นคือเอตรงสเป็กเราเกือบทุกอย่างเราชอบผู้ชายตัวสูงค่ะ (เวลาเดินด้วยกันน่ารักดี) เรากะเอาก็สนิทกันในระดับหนึ่งแต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับเรา เพื่อนสมัยประถม(ขอแทนชื่อนางว่าวี)มาบอกเราว่านางชอบเอ ตอนนั้นเราอึ้งค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นวียังให้เราติดต่อขอเบอร์เอขอนู่นนี่นั้นเอาใบขอเป็นแฟน(ไม่รู้ตอนนี้ยังมีอยู่หรือปล่าว)ไปให้เอเขียนบ้างล่ะ สาระพัดที่วีให้เราทำให้ จนกระทั่งเอกับวีเป็นแฟนกัน ส่วนแม่สื่ออย่างเราได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ(พึ่งจะคิดได้มุงก้อชอบแล้วจะไปจีบให้มันทำไมฟร๊ะ) เอกับวีคบกันไม่นาก็เลิกกันไปเพราะเหตุอะไรเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร่แต่มันเป็นข่าวดีของเราล่ะ ดูเหมือนเอกับวีไม่ค่อยเสียใจเท่าไร่ แต่เรากับเอก็กลับมาสนิทกันเหมือนเดิม ตอนเย็นมีโทรคุยกันบ้างอาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้งแล้วแต่โอกาสจะแอบจิ๊กโทรศัพย์ของแม่มาได้ ความสัมพันธ์ก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ(แต่เพื่อนในห้องหรือกลุ่มเพื่อนสนิทของเราไม่รู้ เพราะเราไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองประมานชอบแต่แอบเก็บไว้ในใจ) อาจจะมาห่างๆกันบ้างในช่วงที่ใครคนใดคนหนึ่งมีแฟนและทุกครั้งก็จะกลับมาคุยกันเหมือนเดิม มันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง จนปิดเทอมใหญ่เราได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมของสภาเด็กและเยาวชนของตำบลก็จะมีงานเยอะมากจัดค่ายละครให้น้อง ๆชั้นประถมบ้าง ค่ายยาเสพติดบ้าง เราก็เจอคนเรื่อยๆงานเริ่มเยอะขึ้นเวลาก็ไม่ค่อยมีตอนเย็นเลยไม่ค่อยได้คุยกัน. มีน้องชายของพี่ที่อยู่ในค่ายมาจีบเรา(ขอแทนชื่อว่าบีนะ)เราก็คุยค่ะ พอคุยสักพักพี่บีเขาขอเราเป็นแฟนเราก้อยังสองจิตสองใจแตาสุดท้ายก็ตอบตกลงพี่เขาไป ก็เลยห่างๆจากเอหลังจากที่ไม่ค่อยได้คุยเลยกลายเป็นว่าไม่คุยกันเลย เจอกันที่โรงเรียนก็ไม่ค่อยได้ทักกันทั้งๆที่อยู่ห้องเดียวกัน. จนเราอยู่ชั้นม.3เราเลิกกับพี่บีตอนนั้นเราเสียใจมาก. ไปโรงเรียนแบบเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากเลยทีเดียว เอก็เริมเข้ามาพูดคุยถามนั้นถามนี่มาคอยให้กำลังใจปลอบใจเรา ตอนนั้นพูดเลยเราโอเคขึ้นมามากแต่สิ่งที่ไม่โอเคก็กำลังตามมาติดๆ ความรู้สึกเดิมๆที่เรามีให้เอมันกลับมาอีกแล้ว หลังจากเปิดเทอมได้สองเดือนเราตัดสินใจบอกเพื่อนในกลุ่มเลย(กลุ่มเรามีกันประมาณสิบกว่าคนแต่ละนางนี่สุดๆทั้งนั้นเลยเรื่องแซวเพื่อนเรื่องแม่สื่อ เรื่องเสียงดังต้องยกให้แก้งค์เราเลย) เพื่อนแซวสิคะแรกๆก็แซวแบบเบาๆ ให้เพื่อนในห้องสงสัยเล่นว่าใครชอบเอวะ พอหลังๆมันเริ่มไม่ใช่ล่ะเขียนจดหมายให้เองบ้าง วาดรูปการ์ตูนสองตัวคู่กันแล้วเขียนชื่อเรากะเอข้างล่างบ้าง จนรู้กันทั่วห้องวันดีคืนดีตะโกนบอกเอเลย เออิฟูมันชอบอ่ะ(ขอแทนตัวเราว่าฟูนะคะเมื่อก่อนหัวฟูมาก) เป็นอย่างนี้ประจำจนเรื่องถึงหูครูที่ปรึกษาแต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะแต่แกมีแซวบ้างในโอกาส  ช่วงม.3 เป็นอะไรที่เพื่อนทุกคนจะรักกันสนิทกันเป็นพิเศษห้องเราจะเล่นบัดดี้กัน จับฉลากใครได้ชื่อใครก็ต้องไปเทคแคร์คนนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าเราเป็นบัดดี้ของใคร เอแน่นอน(ก็เราเป็นคนม้วนชื่อทุกคนเองนี่) เราดูแลอย่างดีซื้อลูกอมไปใส่ในกระเป๋าบ้างฝากเพื่อนบ้าง แบบว่าออกนอกหน้ามากเอมันก็คงรู้มั้งว่าเป็นเรา. เพราะเพื่อนนิแซวทั้งอาทิตย์  จนวันศุกร์เราจะมาเฉลยกันว่าใครเป็นบัดดี้ใครพอเอออกไปร้องเพลง กันไปพอเพลงไกล้จะจบเราก้อลุกไปยืนอยู่ด้านหลังขอเอ พอเพลงจบเอหันมาเขาก็ยิ้มๆนะยื่นฮาทบีทให้  เราเองอยากหยุดเวลาไว้แค่ตรงนั้นจริงๆ พอเฉลยบัดดี้กันเสร็จแยกย้ายกันกลับบ้านเราก็โทรคุยกับเอประมาณว่ารู้แล้วใช่ใหมว่าเราเปนบัดดี้นาย เอก็หัวเราะก็แสดงออกขนาดนี้นจะไม่ให้รู้ได้ไงจ๊ะน้องหมู พอพูดจบเอก็ขอวางโทรศัพย์ไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่