ภาพเปิดตอนนี้
- ต่อจากตอนที่แล้วที่พระเอกไปคุยกับอาจารย์คิริยะขอเขียนนิยายเรื่องหนึ่งแทนเขียนเรื่องสั้นอาทิตย์ละเรื่องที่ตกลงกันไว้ทีแรก
- หลังจากวันนั้น พระเอกก็แทบจะเอาแต่หมกตัวเขียนนิยายอยู่ในห้องแทบไม่สนใจอย่างอื่น กระทั่งข้าวปลายังแทบไม่เป็นอันกิน คนอื่นในครอบครัวทั้งพ่อ แม่เลี้ยง แล้วก็คนน้องเห็นพระเอกเป็นแบบนั้นก็เป็นห่วง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น
- ระหว่างนั้นคุณแม่ก็คุยกับคุณพ่อ เล่าให้ฟังว่าตัวเองขอให้นักสืบช่วยสืบหาที่อยู่ใหม่ของคนพี่จนตอนนี้รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน และตกลงกันว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับลูกๆ โดยเฉพาะพระเอกจะดีกว่า (จากที่คุยกัน เหมือนตอนนี้พ่อกับแม่ก็รู้แล้วว่าพระเอกกับคนพี่รักกัน คุณแม่ยังถึงกับเปรยกับคุณพ่อเลยว่าถ้ารู้แบบนี้พวกเราไม่แต่งงานใหม่ซะแต่แรกก็คงดี)
- สุดท้ายคนน้องเห็นพระเอกเป็นแบบนี้ก็ชักทนไม่ไหว เอาเรื่องไปปรึกษากับเพื่อนอ้วนของพระเอกกับลุงกะเทยเจ้าของร้านที่เพื่อนอ้วนทำงานอยู่ เจ้าของร้านฟังจบก็นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะฝากคนน้องไปบอกพระเอก (แกมบังคับ) ให้มาหาตัวเองตามที่นัดพบต่อไปนี้
- ซึ่งที่นัดพบที่เจ้าของร้านกะเทยนัดพระเอกก็คือ...โรงอาบน้ำสาธารณะ
- พระเอกก็งงว่าอยู่ๆ นัดมาเจอกันที่นี่ทำไม แต่สุดท้ายก็ยอมตามเจ้าของร้านเข้าไปแต่โดยดี
- ระหว่างถอดเสื้อเตรียมอาบน้ำ พระเอกก็ตกใจที่เห็นเจ้าของร้านสักลายสักแบบพวกยากูซ่า เจ้าของร้านก็เล่าให้ฟังว่าก่อนมาเปิดร้านนี้ ตัวเองเคยเป็นนายน้อยของแก๊งค์ยากูซ่ามาก่อน ก็เลยมีรอยสักตามประเพณีของยากูซ่าติดตัวมาจนทุกวันนี้
ลายสักของเจ้าของร้าน
- จากนั้นก็ชวนกันเข้าไปนั่งแช่น้ำร้อนด้วยกัน (ระหว่างทางมีหยอกเล่นกับพวกลุงๆ ที่มาใช้บริการด้วย เพราะเจ้าของร้านเป็นขาประจำของโรงอาบน้ำนี้ แถมยังทำหน้าที่เหมือนเป็นบอดี้การ์ดประจำร้านด้วย ลูกค้าเลยรู้จักกันหมด)
- พระเอกก็ถามว่าพาเขามาที่นี่ทำไม เจ้าของร้านก็บอกว่าได้ยินข่าวว่าหมู่นี้พระเอกจิตตกเอาแต่หมกตัวอยู่ ก็เลยลากคอมาแช่น้ำร้อนให้หัวโล่งขึ้นบ้างแค่นั้นแหละ
- เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่าบ้านเจ้าของร้านเป็นยากูซ่าสืบทอดกันมาหลายรุ่น (พ่อเป็นหัวหน้าแก๊งค์ เจ้าของร้านพออายุถึงเลยได้ตำแหน่งนายน้อยไป) ตัวเจ้าของร้านเองเกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ยากูซ่า ที่ผ่านมาจึงไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองต้องตัดขาดกับพ่อและออกจากบ้านไป จำได้ว่าตอนที่ตัวเองเดินไปบอกพ่อว่าจะลาออกจากแก๊งค์นั้น พ่อถึงกับโกรธจัดจนร้องไห้เลยทีเดียว
- เจ้าของร้านเล่าให้ฟังต่อว่าหลังออกจากบ้านจากแก๊งค์แล้ว ชีวิตตัวเองก็มีอิสระเต็มที่ ได้เปิดเผยตัวเองว่าเป็นกะเทยได้อย่างไม่ต้องกลัวสายตาใคร ได้ทำงานที่อยากทำ ได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ ได้คบเพื่อนที่อยากคบ แต่แล้ววันหนึ่งตอนที่คิดเรื่องลบรอยสักสัญลักษณ์ของยากูซ่าทิ้งนั้นเอง เจ้าของร้านก็ได้ข่าวว่าพ่อเป็นมะเร็งเสียชีวิต
- ข่าวนั้นสร้างความตกใจให้กับเจ้าของร้านมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าพ่อจะตายเอาดื้อๆ แบบนี้ ตอนนั้นเองที่เจ้าของร้านนึกไปถึงสีหน้าของพ่อตอนที่ตัวเองเข้าไปบอกว่าจะออกจากบ้านจากแก๊งค์ แล้วจึงคิดได้ว่าตอนนั้นพ่อจะเสียใจและผิดหวังขนาดไหน สุดท้ายก็เลยไม่กล้าแม้กระทั่งไปงานศพของพ่อเป็นครั้งสุดท้าย
- หลังเล่าจบ เจ้าของร้านก็พูดเป็นเชิงเตือนสติพระเอกว่าชีวิตคนเราตั้งแต่เกิดจนตายยังต้องเจออะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรหรือเจอเรื่องแบบไหน เวลาที่ผ่านไปแล้วก็ไม่มีวันเรียกคืนได้ จะทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นหรือไม่เคยมีอยู่ก็ไม่ได้
- เจ้าของร้าน
"มีแต่ต้องแบกรับมันไว้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเองไปชั่วชีวิตเท่านั้น"
- คำพูดเตือนสติของเจ้าของร้านทำให้พระเอกเริ่มคิดได้ คืนนั้นพอคนน้องยกข้าวเย็นมาให้อย่างทุกที พระเอกจึงเลือกหยิบมากินทันทีไม่ทิ้งไว้จนเย็นชืดค้างคืนเหมือนที่เคยมา แล้วหันไปขอบคุณคนน้องพลางชมว่าอร่อยมากเลย
- เห็นดังนั้น คนน้องก็ได้แต่ยิ้มอย่างดีใจที่ในที่สุดพระเอกก็เริ่มค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา แม้จะไม่กลับไปเป็นคนเดิมอย่างที่เคยเป็นก่อนคนพี่จากไปทั้งหมดก็ตาม
- หลังจากนั้นพระเอกก็ตะบี้ตะบันเขียนนิยายที่ตัวเองอยากเขียนออกมาจนเสร็จในที่สุด
เอาจริงตอนนี้ไม่มีอะไรมากแฮะ นอกจากเล่าเรื่องสภาพครอบครัวพระเอกหลังคนพี่จากไป กับให้เจ้าของร้านกะเทยมาช่วยเรียกสติพระเอกว่าอย่าจมอยู่แต่ตัวเองมากเกินไป หัดมองคนรอบตัวที่เค้าเป็นห่วงเสียบ้างแค่นั้นเอง
ตอนนี้อยากรู้มากกว่าว่านิยายที่พระเอกเขียนจะเป็นเรื่องแนวไหน แล้วพระเอกจะทำยังไงกับนิยายนั่น (พิมพ์หนังสือทำมือ? โพสให้อ่านบนเน็ต?)
[Spoil] Domestic na Kanojo #66 - ดิ้นรน
- ต่อจากตอนที่แล้วที่พระเอกไปคุยกับอาจารย์คิริยะขอเขียนนิยายเรื่องหนึ่งแทนเขียนเรื่องสั้นอาทิตย์ละเรื่องที่ตกลงกันไว้ทีแรก
- หลังจากวันนั้น พระเอกก็แทบจะเอาแต่หมกตัวเขียนนิยายอยู่ในห้องแทบไม่สนใจอย่างอื่น กระทั่งข้าวปลายังแทบไม่เป็นอันกิน คนอื่นในครอบครัวทั้งพ่อ แม่เลี้ยง แล้วก็คนน้องเห็นพระเอกเป็นแบบนั้นก็เป็นห่วง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น
- ระหว่างนั้นคุณแม่ก็คุยกับคุณพ่อ เล่าให้ฟังว่าตัวเองขอให้นักสืบช่วยสืบหาที่อยู่ใหม่ของคนพี่จนตอนนี้รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน และตกลงกันว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับลูกๆ โดยเฉพาะพระเอกจะดีกว่า (จากที่คุยกัน เหมือนตอนนี้พ่อกับแม่ก็รู้แล้วว่าพระเอกกับคนพี่รักกัน คุณแม่ยังถึงกับเปรยกับคุณพ่อเลยว่าถ้ารู้แบบนี้พวกเราไม่แต่งงานใหม่ซะแต่แรกก็คงดี)
- สุดท้ายคนน้องเห็นพระเอกเป็นแบบนี้ก็ชักทนไม่ไหว เอาเรื่องไปปรึกษากับเพื่อนอ้วนของพระเอกกับลุงกะเทยเจ้าของร้านที่เพื่อนอ้วนทำงานอยู่ เจ้าของร้านฟังจบก็นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะฝากคนน้องไปบอกพระเอก (แกมบังคับ) ให้มาหาตัวเองตามที่นัดพบต่อไปนี้
- ซึ่งที่นัดพบที่เจ้าของร้านกะเทยนัดพระเอกก็คือ...โรงอาบน้ำสาธารณะ
- พระเอกก็งงว่าอยู่ๆ นัดมาเจอกันที่นี่ทำไม แต่สุดท้ายก็ยอมตามเจ้าของร้านเข้าไปแต่โดยดี
- ระหว่างถอดเสื้อเตรียมอาบน้ำ พระเอกก็ตกใจที่เห็นเจ้าของร้านสักลายสักแบบพวกยากูซ่า เจ้าของร้านก็เล่าให้ฟังว่าก่อนมาเปิดร้านนี้ ตัวเองเคยเป็นนายน้อยของแก๊งค์ยากูซ่ามาก่อน ก็เลยมีรอยสักตามประเพณีของยากูซ่าติดตัวมาจนทุกวันนี้
ลายสักของเจ้าของร้าน
- จากนั้นก็ชวนกันเข้าไปนั่งแช่น้ำร้อนด้วยกัน (ระหว่างทางมีหยอกเล่นกับพวกลุงๆ ที่มาใช้บริการด้วย เพราะเจ้าของร้านเป็นขาประจำของโรงอาบน้ำนี้ แถมยังทำหน้าที่เหมือนเป็นบอดี้การ์ดประจำร้านด้วย ลูกค้าเลยรู้จักกันหมด)
- พระเอกก็ถามว่าพาเขามาที่นี่ทำไม เจ้าของร้านก็บอกว่าได้ยินข่าวว่าหมู่นี้พระเอกจิตตกเอาแต่หมกตัวอยู่ ก็เลยลากคอมาแช่น้ำร้อนให้หัวโล่งขึ้นบ้างแค่นั้นแหละ
- เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่าบ้านเจ้าของร้านเป็นยากูซ่าสืบทอดกันมาหลายรุ่น (พ่อเป็นหัวหน้าแก๊งค์ เจ้าของร้านพออายุถึงเลยได้ตำแหน่งนายน้อยไป) ตัวเจ้าของร้านเองเกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ยากูซ่า ที่ผ่านมาจึงไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองต้องตัดขาดกับพ่อและออกจากบ้านไป จำได้ว่าตอนที่ตัวเองเดินไปบอกพ่อว่าจะลาออกจากแก๊งค์นั้น พ่อถึงกับโกรธจัดจนร้องไห้เลยทีเดียว
- เจ้าของร้านเล่าให้ฟังต่อว่าหลังออกจากบ้านจากแก๊งค์แล้ว ชีวิตตัวเองก็มีอิสระเต็มที่ ได้เปิดเผยตัวเองว่าเป็นกะเทยได้อย่างไม่ต้องกลัวสายตาใคร ได้ทำงานที่อยากทำ ได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ ได้คบเพื่อนที่อยากคบ แต่แล้ววันหนึ่งตอนที่คิดเรื่องลบรอยสักสัญลักษณ์ของยากูซ่าทิ้งนั้นเอง เจ้าของร้านก็ได้ข่าวว่าพ่อเป็นมะเร็งเสียชีวิต
- ข่าวนั้นสร้างความตกใจให้กับเจ้าของร้านมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าพ่อจะตายเอาดื้อๆ แบบนี้ ตอนนั้นเองที่เจ้าของร้านนึกไปถึงสีหน้าของพ่อตอนที่ตัวเองเข้าไปบอกว่าจะออกจากบ้านจากแก๊งค์ แล้วจึงคิดได้ว่าตอนนั้นพ่อจะเสียใจและผิดหวังขนาดไหน สุดท้ายก็เลยไม่กล้าแม้กระทั่งไปงานศพของพ่อเป็นครั้งสุดท้าย
- หลังเล่าจบ เจ้าของร้านก็พูดเป็นเชิงเตือนสติพระเอกว่าชีวิตคนเราตั้งแต่เกิดจนตายยังต้องเจออะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรหรือเจอเรื่องแบบไหน เวลาที่ผ่านไปแล้วก็ไม่มีวันเรียกคืนได้ จะทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นหรือไม่เคยมีอยู่ก็ไม่ได้
- เจ้าของร้าน "มีแต่ต้องแบกรับมันไว้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเองไปชั่วชีวิตเท่านั้น"
- คำพูดเตือนสติของเจ้าของร้านทำให้พระเอกเริ่มคิดได้ คืนนั้นพอคนน้องยกข้าวเย็นมาให้อย่างทุกที พระเอกจึงเลือกหยิบมากินทันทีไม่ทิ้งไว้จนเย็นชืดค้างคืนเหมือนที่เคยมา แล้วหันไปขอบคุณคนน้องพลางชมว่าอร่อยมากเลย
- เห็นดังนั้น คนน้องก็ได้แต่ยิ้มอย่างดีใจที่ในที่สุดพระเอกก็เริ่มค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา แม้จะไม่กลับไปเป็นคนเดิมอย่างที่เคยเป็นก่อนคนพี่จากไปทั้งหมดก็ตาม
- หลังจากนั้นพระเอกก็ตะบี้ตะบันเขียนนิยายที่ตัวเองอยากเขียนออกมาจนเสร็จในที่สุด
เอาจริงตอนนี้ไม่มีอะไรมากแฮะ นอกจากเล่าเรื่องสภาพครอบครัวพระเอกหลังคนพี่จากไป กับให้เจ้าของร้านกะเทยมาช่วยเรียกสติพระเอกว่าอย่าจมอยู่แต่ตัวเองมากเกินไป หัดมองคนรอบตัวที่เค้าเป็นห่วงเสียบ้างแค่นั้นเอง
ตอนนี้อยากรู้มากกว่าว่านิยายที่พระเอกเขียนจะเป็นเรื่องแนวไหน แล้วพระเอกจะทำยังไงกับนิยายนั่น (พิมพ์หนังสือทำมือ? โพสให้อ่านบนเน็ต?)